ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนร่อนแถลงการณ์วันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 55 บอกคนค้านแก้ รธน.ภายใต้ข้ออ้างจะนำไปสู่ความขัดแย้ง เป็นการปกป้องรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับที่ไม่ชอบธรรม-ไม่สอดคล้อง ปชต.
ในวันรัฐธรรมนูญวันนี้ (10 ธ.ค.) มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “ข้อเสนอกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550” ส่งถึงสื่อมวลชนหลายแขนง โดยระบุเนื้อหาว่า ปมปัญหาของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ไม่ได้มีเพียงที่มาอันสืบเนื่องจากการรัฐประหารเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการกำหนดโครงสร้างของสถาบันทางการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย
การกล่าวอ้างว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะนำไปสู่ความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับที่ทั้งไม่ชอบธรรม ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยเอาไว้ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว 3 ประการ
ประเด็นแรก การแก้ไขเพื่อให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องไม่จำกัดขอบเขตเอาไว้เฉพาะเพียงความขัดแย้ง “ทางการเมือง/เฉพาะหน้า/ระหว่างสี” เท่านั้น เพราะจะทำให้การพิจารณารัฐธรรมนูญวางอยู่บนปมขัดแย้งทางการเมืองและอาจนำไปสู่การต่อต้านโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือหลายฝ่าย และอาจจะได้รัฐธรรมนูญที่ไม่ช่วยในการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เอื้อต่อการบรรลุเป้าหมายที่ดีงามอื่นๆ ในบริบทของสังคมไทยและสังคมโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเท่าที่ควร
ในด้านหนึ่ง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาในแง่ของความชอบธรรมของการกำเนิดขึ้น และทั้งในด้านโครงสร้างขององค์กรและสถาบันต่างๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุง ขณะเดียวกัน สังคมไทยก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างอีกหลายประการที่เป็นปัจจัยสำคัญของความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำของรายได้และทรัพย์สิน การรวมศูนย์อำนาจรัฐ วัฒนธรรมแห่งชาติที่เป็นรากฐานของความไม่เสมอภาคทางสังคม ฯลฯ
ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงควรเป็นกรอบกติกาในการต่อรองระหว่างคนกลุ่มต่างๆ และการค้ำประกัน ตลอดจนการวางขอบเขตแห่งสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่จำกัดอยู่แต่เฉพาะการกำหนดโครงสร้างสถาบันการเมืองเท่านั้น
โดยจะต้องพิจารณารัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการวางกฎเกณฑ์ที่บุคคลและกลุ่มสังคมแต่ละฝ่ายสามารถต่อรองและแข่งขันกันได้อย่างกว้างขวางและเป็นธรรมที่สุด
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนยังระบุในแถลงการณ์อีกว่า โครงสร้างสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ หรือตุลาการ จะต้องถูกปรับให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย โดยมีหลักการสำคัญคือ ต้องยอมรับอำนาจนำของสถาบันการเมืองจากระบบเลือกตั้ง แต่จะต้องมีกระบวนการตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจทางการเมืองจากประชาชนและองค์กรอิสระ
ทั้งนี้ องค์กรอิสระจะต้องปรับโครงสร้างให้มีความเชื่อมโยงและมีความรับผิดชอบ (accountability) ต่อประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจไปในทางที่ไม่เป็นธรรมและเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะคนบางกลุ่ม
ประเด็นที่สอง การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและชุมชน ต้องยอมรับสิทธิในการปกครองของท้องถิ่นและชุมชนในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายในแต่ละพื้นที่ โดยต้องยอมรับสิทธิของชุมชนและอำนาจในการจัดการท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งอำนาจในการจัดการทรัพยากร และการเลือกตั้งองค์กรทางการเมืองการปกครองในทุกระดับ ซึ่งย่อมหมายถึงการยกเลิกระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ให้เหลือเพียงราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเท่านั้น
ประเด็นที่สาม สร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่มต่างๆ เป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และมีผลกระทบอย่างมากต่อคนตัวเล็กๆ ในสังคม ซึ่งนับวันจะสร้างความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการรับรองสิทธิในปัจจัยและความจำเป็นพื้นฐานของบุคคล การใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้เหลือน้อยที่สุดและสร้างความเป็นธรรมในด้านต่างๆ โดยเร็ว และการสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของภาครัฐและภาคเอกชนที่เอื้อต่อการกำกับตรวจสอบ และการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม
ประเด็นที่สี่ สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนต้องได้รับการปกป้องโดยกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิจากการถูกละเมิดโดยอำนาจรัฐอย่างฉ้อฉล รวมทั้งต้องสร้างกระบวนการในการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐอย่างเข้มงวด
ส่วนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นอำนาจของรัฐสภาที่สามารถทำได้ทั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมา แต่ควรเพิ่มหลักการมีส่วนร่วมและอำนาจตัดสินใจของปวงชนเข้าไปในกระบวนการดังกล่าวนี้ด้วย
ในวันรัฐธรรมนูญวันนี้ (10 ธ.ค.) มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้ออกแถลงการณ์เรื่อง “ข้อเสนอกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550” ส่งถึงสื่อมวลชนหลายแขนง โดยระบุเนื้อหาว่า ปมปัญหาของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ไม่ได้มีเพียงที่มาอันสืบเนื่องจากการรัฐประหารเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการกำหนดโครงสร้างของสถาบันทางการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย
การกล่าวอ้างว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วจะนำไปสู่ความขัดแย้งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับที่ทั้งไม่ชอบธรรม ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยเอาไว้ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าว 3 ประการ
ประเด็นแรก การแก้ไขเพื่อให้เกิดการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องไม่จำกัดขอบเขตเอาไว้เฉพาะเพียงความขัดแย้ง “ทางการเมือง/เฉพาะหน้า/ระหว่างสี” เท่านั้น เพราะจะทำให้การพิจารณารัฐธรรมนูญวางอยู่บนปมขัดแย้งทางการเมืองและอาจนำไปสู่การต่อต้านโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือหลายฝ่าย และอาจจะได้รัฐธรรมนูญที่ไม่ช่วยในการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เอื้อต่อการบรรลุเป้าหมายที่ดีงามอื่นๆ ในบริบทของสังคมไทยและสังคมโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเท่าที่ควร
ในด้านหนึ่ง รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหาในแง่ของความชอบธรรมของการกำเนิดขึ้น และทั้งในด้านโครงสร้างขององค์กรและสถาบันต่างๆ ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุง ขณะเดียวกัน สังคมไทยก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างอีกหลายประการที่เป็นปัจจัยสำคัญของความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำของรายได้และทรัพย์สิน การรวมศูนย์อำนาจรัฐ วัฒนธรรมแห่งชาติที่เป็นรากฐานของความไม่เสมอภาคทางสังคม ฯลฯ
ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงควรเป็นกรอบกติกาในการต่อรองระหว่างคนกลุ่มต่างๆ และการค้ำประกัน ตลอดจนการวางขอบเขตแห่งสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล ไม่ใช่จำกัดอยู่แต่เฉพาะการกำหนดโครงสร้างสถาบันการเมืองเท่านั้น
โดยจะต้องพิจารณารัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการวางกฎเกณฑ์ที่บุคคลและกลุ่มสังคมแต่ละฝ่ายสามารถต่อรองและแข่งขันกันได้อย่างกว้างขวางและเป็นธรรมที่สุด
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนยังระบุในแถลงการณ์อีกว่า โครงสร้างสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ หรือตุลาการ จะต้องถูกปรับให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย โดยมีหลักการสำคัญคือ ต้องยอมรับอำนาจนำของสถาบันการเมืองจากระบบเลือกตั้ง แต่จะต้องมีกระบวนการตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจทางการเมืองจากประชาชนและองค์กรอิสระ
ทั้งนี้ องค์กรอิสระจะต้องปรับโครงสร้างให้มีความเชื่อมโยงและมีความรับผิดชอบ (accountability) ต่อประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจไปในทางที่ไม่เป็นธรรมและเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะคนบางกลุ่ม
ประเด็นที่สอง การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและชุมชน ต้องยอมรับสิทธิในการปกครองของท้องถิ่นและชุมชนในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดการตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายในแต่ละพื้นที่ โดยต้องยอมรับสิทธิของชุมชนและอำนาจในการจัดการท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งอำนาจในการจัดการทรัพยากร และการเลือกตั้งองค์กรทางการเมืองการปกครองในทุกระดับ ซึ่งย่อมหมายถึงการยกเลิกระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ให้เหลือเพียงราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเท่านั้น
ประเด็นที่สาม สร้างความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ความแตกต่างระหว่างบุคคลและกลุ่มต่างๆ เป็นปัญหาที่หยั่งรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และมีผลกระทบอย่างมากต่อคนตัวเล็กๆ ในสังคม ซึ่งนับวันจะสร้างความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการรับรองสิทธิในปัจจัยและความจำเป็นพื้นฐานของบุคคล การใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำให้เหลือน้อยที่สุดและสร้างความเป็นธรรมในด้านต่างๆ โดยเร็ว และการสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของภาครัฐและภาคเอกชนที่เอื้อต่อการกำกับตรวจสอบ และการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม
ประเด็นที่สี่ สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนต้องได้รับการปกป้องโดยกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิจากการถูกละเมิดโดยอำนาจรัฐอย่างฉ้อฉล รวมทั้งต้องสร้างกระบวนการในการควบคุมและตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐอย่างเข้มงวด
ส่วนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นอำนาจของรัฐสภาที่สามารถทำได้ทั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมา แต่ควรเพิ่มหลักการมีส่วนร่วมและอำนาจตัดสินใจของปวงชนเข้าไปในกระบวนการดังกล่าวนี้ด้วย