พิษณุโลก - เอ็นจีโออัดสร้างเขื่อนแม่วงก์-นครสวรรค์แก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ คนป่าไม้-สำนักอนุรักษ์ฯ 12 รับเสียผืนป่าเพียบ ด้านเลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียรบอก ไม่คุ้มเลยถ้าคิดจะสร้างเขื่อนในเขตอุทยานฯ ทั้งผืนป่า-สัตว์ป่าพินาศแน่
รายงานข่าวแจ้งว่า บนเวทีเสวนาเชิงปฏิบัติการแนวทางการประเมินทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ที่กลุ่มองค์กรเอกชนร่วมกันจัดขึ้น ณ โรงแรมแกรนด์ฮิลล์ รีสอร์ทแอนด์สปา ถ.ถนนนครสวรรค์-พิษณุโลก โดยมีนายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร, นายอดิศักดิ์ จันทวิชานุวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือตอนล่าง และนายณรงค์ แรงกสิกร เครือข่ายชุมชนคนรักษ์ป่าเขาแม่กระทู้ อ.แม่วงก์, นายประกอบ อินชูพงษ์ ประธานกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมพยุหะคีรี พร้อมเครือข่ายเอ็นจีโอ, สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 กรมอุทยานฯ, หอการค้าจังหวัดนครสวรรค์ และสภาอุตสหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมเสวนาประมาณ 20-30 คนนั้น
ประเด็นหลักๆ ที่มีการพูดคุยกันคือ การติดตามตรวจสอบผลกระทบโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ชุมชน เศรษฐกิจ สังคม ร่างรายงานยังไม่ผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แต่ประเมินแล้วว่าถ้ามีการสร้างเขื่อนแม่วงก์จริงๆ จะเกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง (เป็น 1 ใน 11 ประเภทโครงการรุนแรง) ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ และต้องดึงประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมก่อนจะสร้างเขื่อน
ผู้เข้าร่วมเสวนามองว่า การสร้างเขื่อนแม่วงก์จะแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่มั่นใจว่าแก้ปัญหาน้ำท่วมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ควรเปลี่ยนไปทำฝายชะลอน้ำ บ่อน้ำ แหล่งเก็บกักน้ำธรรมชาติดีกว่า เพราะหากสร้างเขื่อน สัตว์ป่าและระบบนิเวศป่าไม้สูญเสียเพราะมีการเวนคืนที่ดินและจัดการระบบชลประทานใหม่ ส่วนการปลูกป่าทดแทนไม่มีความชัดเจนของแผนงาน ที่ผ่านมากรมชลประทานเก็บข้อมูลเบื้องต้นนั้นเชื่อว่ามีความผิดพลาดสูง
นักวิชาการป่าไม้ ในฐานะตัวแทนสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า หน่วยงานป่าไม้ก็คือหน่วยงานภาครัฐที่มีรัฐบาลเป็นหัวหน้า จะพูดอะไรก็ลำบากเพราะรับคำสั่งโดยตรงจากรัฐบาล ทราบเพียงว่าหากสร้างเขื่อนแม่วงก์ก็จะสูญเสียป่าไม้เป็นหมื่นไร่ สัตว์ป่าก็หนีหาย เสียสมดุลป่า-ระบบนิเวศวงกว้าง ปัจจุบันคนไทยต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์ผืนป่าและแหล่งต้นน้ำให้อุดมสมบูรณ์
ตัวแทนหอการค้าจังหวัดนครสวรรค์กล่าวว่า ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน อยากให้รัฐบาลคิดให้รอบคอบก่อนสร้างเขื่อนแม่วงก์ การแก้ปัญหาน้ำท่วมมีทางเลือกอื่นๆ อีกมาก
นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยต่อ “ASTVผู้จัดการ” ว่า การสร้างเขื่อนแม่วงก์จะทำให้ป่าไม้เสียหายจำนวน 13,000 ไร่ แต่คำว่าสูญเสียนั้นสูงมาก พื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์เป็นพื้นราบ มีป่าไม้ขึ้นอยู่ข้างลำธารหรือแม่น้ำแม่วงก์ทั้งสองฝั่ง ทำให้สัตว์ป่าจำนวนมากอาศัยอยู่ต้องถูกทำลาย
ทั้งนี้ เพราะการสร้างเขื่อนต้องให้เวลา 7-8 ปี ทันทีที่อมุมัติการก่อสร้างเขื่อนจะมีขบวนการล่าสัตว์ ขบวนการตัดไม้เข้าไปทำลายก่อนสร้างเขื่อน อย่าลืมว่า อช.แม่วงก์เดิมมีประชาชนเข้าไปอาศัยอยู่ แต่ปัจจุบันกลับพลิกฟื้นเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ไม่มีคน แล้วทำไมจะต้องไปทำลายอีก ณ วันนี้ไม่มีใครเขาสร้างเขื่อนภายในอุทยานแห่งชาติแล้ว นายสืบ นาคะเสถียร ก็ต่อต้านจนปรากฏภาพช่วยชีวิตสัตว์ที่เขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี จากนั้น 20 ปีต่อมาก็ไม่มีใครคิดจะสร้างเขื่อนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติอีกเลยเพราะมันไม่คุ้ม
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการต่างๆ ไม่ว่า เหมืองแร่หรือเขื่อนต่างๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง นำเสนอข้อมูลต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา กรณีเขื่อนแม่วงก์ก็เช่นกัน ได้รับงบประมาณจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมมาดำเนินงานศึกษาข้อเท็จจริงในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ เพื่อหาข้อเท็จจริงควบคู่ไปกับบริษัทเอกชนต่างๆ ที่ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
รายงานข่าวแจ้งว่า บนเวทีเสวนาเชิงปฏิบัติการแนวทางการประเมินทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ที่กลุ่มองค์กรเอกชนร่วมกันจัดขึ้น ณ โรงแรมแกรนด์ฮิลล์ รีสอร์ทแอนด์สปา ถ.ถนนนครสวรรค์-พิษณุโลก โดยมีนายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร, นายอดิศักดิ์ จันทวิชานุวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือตอนล่าง และนายณรงค์ แรงกสิกร เครือข่ายชุมชนคนรักษ์ป่าเขาแม่กระทู้ อ.แม่วงก์, นายประกอบ อินชูพงษ์ ประธานกลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมพยุหะคีรี พร้อมเครือข่ายเอ็นจีโอ, สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 กรมอุทยานฯ, หอการค้าจังหวัดนครสวรรค์ และสภาอุตสหกรรมจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมเสวนาประมาณ 20-30 คนนั้น
ประเด็นหลักๆ ที่มีการพูดคุยกันคือ การติดตามตรวจสอบผลกระทบโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ชุมชน เศรษฐกิจ สังคม ร่างรายงานยังไม่ผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แต่ประเมินแล้วว่าถ้ามีการสร้างเขื่อนแม่วงก์จริงๆ จะเกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง (เป็น 1 ใน 11 ประเภทโครงการรุนแรง) ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ และต้องดึงประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมก่อนจะสร้างเขื่อน
ผู้เข้าร่วมเสวนามองว่า การสร้างเขื่อนแม่วงก์จะแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่มั่นใจว่าแก้ปัญหาน้ำท่วมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ควรเปลี่ยนไปทำฝายชะลอน้ำ บ่อน้ำ แหล่งเก็บกักน้ำธรรมชาติดีกว่า เพราะหากสร้างเขื่อน สัตว์ป่าและระบบนิเวศป่าไม้สูญเสียเพราะมีการเวนคืนที่ดินและจัดการระบบชลประทานใหม่ ส่วนการปลูกป่าทดแทนไม่มีความชัดเจนของแผนงาน ที่ผ่านมากรมชลประทานเก็บข้อมูลเบื้องต้นนั้นเชื่อว่ามีความผิดพลาดสูง
นักวิชาการป่าไม้ ในฐานะตัวแทนสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 12 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า หน่วยงานป่าไม้ก็คือหน่วยงานภาครัฐที่มีรัฐบาลเป็นหัวหน้า จะพูดอะไรก็ลำบากเพราะรับคำสั่งโดยตรงจากรัฐบาล ทราบเพียงว่าหากสร้างเขื่อนแม่วงก์ก็จะสูญเสียป่าไม้เป็นหมื่นไร่ สัตว์ป่าก็หนีหาย เสียสมดุลป่า-ระบบนิเวศวงกว้าง ปัจจุบันคนไทยต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์ผืนป่าและแหล่งต้นน้ำให้อุดมสมบูรณ์
ตัวแทนหอการค้าจังหวัดนครสวรรค์กล่าวว่า ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการสร้างเขื่อน อยากให้รัฐบาลคิดให้รอบคอบก่อนสร้างเขื่อนแม่วงก์ การแก้ปัญหาน้ำท่วมมีทางเลือกอื่นๆ อีกมาก
นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยต่อ “ASTVผู้จัดการ” ว่า การสร้างเขื่อนแม่วงก์จะทำให้ป่าไม้เสียหายจำนวน 13,000 ไร่ แต่คำว่าสูญเสียนั้นสูงมาก พื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์เป็นพื้นราบ มีป่าไม้ขึ้นอยู่ข้างลำธารหรือแม่น้ำแม่วงก์ทั้งสองฝั่ง ทำให้สัตว์ป่าจำนวนมากอาศัยอยู่ต้องถูกทำลาย
ทั้งนี้ เพราะการสร้างเขื่อนต้องให้เวลา 7-8 ปี ทันทีที่อมุมัติการก่อสร้างเขื่อนจะมีขบวนการล่าสัตว์ ขบวนการตัดไม้เข้าไปทำลายก่อนสร้างเขื่อน อย่าลืมว่า อช.แม่วงก์เดิมมีประชาชนเข้าไปอาศัยอยู่ แต่ปัจจุบันกลับพลิกฟื้นเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ไม่มีคน แล้วทำไมจะต้องไปทำลายอีก ณ วันนี้ไม่มีใครเขาสร้างเขื่อนภายในอุทยานแห่งชาติแล้ว นายสืบ นาคะเสถียร ก็ต่อต้านจนปรากฏภาพช่วยชีวิตสัตว์ที่เขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี จากนั้น 20 ปีต่อมาก็ไม่มีใครคิดจะสร้างเขื่อนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติอีกเลยเพราะมันไม่คุ้ม
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการต่างๆ ไม่ว่า เหมืองแร่หรือเขื่อนต่างๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง นำเสนอข้อมูลต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา กรณีเขื่อนแม่วงก์ก็เช่นกัน ได้รับงบประมาณจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมมาดำเนินงานศึกษาข้อเท็จจริงในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ เพื่อหาข้อเท็จจริงควบคู่ไปกับบริษัทเอกชนต่างๆ ที่ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
