กาฬสินธุ์-อดีตเจ้าหน้าที่พยาบาลโรงพยาบาลร้อยเอ็ด ผู้ต้องสงสัยคดีสาร “ซูโดอีเฟดรีน”หาย เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนฯ โดยให้การปฏิเสธคำซัดทอด เภสัชกรรมผู้ต้องหายักยอกทรัพย์ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อยา พร้อมระบุสาเหตุที่ยังไม่ให้ปากคำเพราะป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย เรียกร้องให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งออกข่าวกล่าวหาว่าตนเป็นผู้ต้องหาเตรียมหลบหนีให้รับผิดชอบการนำเสนอข่าว เพราะได้สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูล
ความคืบหน้าคดียาแก้หวัดโรงพยาบาลกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ หายจากคลังเก็บยา 356,535 เม็ด ซึ่ง นางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสยผู้ต้องหายักยอกทรัพย์ ซัดทอดว่า นางสุภคนิจ ศรีพนา อดีตเจ้าหน้าที่พยาบาลโรงพยาบาลร้อยเอ็ด เป็นผู้สั่งซื้อ ซึ่งตำรวจชุดคลี่คลายคดียังคงเฝ้ารอเข้าให้ปากคำ
ล่าสุด วันนี้( 23 มี.ค.)ที่สภ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ นางสุภคนิจ ศรีพนา อายุ 58 ปี อดีตเจ้าหน้าที่พยาบาลโรงพยาบาลร้อยเอ็ด พร้อมด้วย นายอำนวย ธรรมชาติ อายุ 55 ปี สามี ผู้ต้องสงสัยคดีรับซื้อยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน ซึ่งถูกนางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสย ผู้ต้องหายักยอกยาแก้หวัดกว่า 3 แสน 5 หมื่นเม็ด ซัดทอดว่าเป็นผู้รับซื้อยา ได้เข้าให้ปากคำกับ ร.ต.อ.มณี สารขันธุ์พนักงานสอบสวนฯ ด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรยหลังถูกกระแสสังคมกดดันอย่างหนักว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับยาชนิดนี้
นางสุภคนิจ ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาที่หายไป พร้อมหลั่งน้ำตาและเปิดเสื้อผ้าโชว์แผลผ่าตัด ที่เกิดขึ้นเกือบรอบตัวให้สื่อมวลชนดู และให้เหตุผลว่าที่ยังไม่มาให้การต่อพนักงานสอบสวน เพราะต้องเข้ารับการรักษาตัวด้วยอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย
นางสุภคนิจ ศรีพนา ผู้ต้องสงสัย อยู่บ้านเลขที่ 39/3 ถ.ผดุงพานิชย์ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด กล่าวทั้งน้ำตาว่า การติดต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตนได้รับทราบมาโดยตลอด และเหตุผลที่ผัดผ่อนพนักงานสอบสวน ก็เนื่องจากตนเองจะต้องทำคีโม เพราะได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม และที่ได้ผัดผ่อนเป็นครั้งที่ 2 คือจะให้ปากคำในวันที่ 29 มีนาคมนี้ ก็เพราะว่า ในวันที่ 27 มีนาคม ตนจะต้องเข้ารับการรักษาอีกครั้งกับแพทย์โรงพยาบาลร้อยเอ็ด และคิดว่าในหลังจากวันที่ 27 มีนาคม ก็จะพักผ่อน 1 วันคือวันที่ 28 มีนาคม จากนั้นเมื่อร่างกายแข็งแรงก็จะเดินทางมาให้ปากคำ
แต่ที่ต้องมาในวันนี้ก็เนื่องจากการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งได้นำรูปภาพในบัตรประชาชนออกทีวีและยังบอกว่าตนเองเป็นผู้ต้องหาที่กำลังหลบหนี อีกทั้งกำลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการยึดทรัพย์
“หลังดูข่าวภาคค่ำเมื่อวานนี้บอกตามตรงว่าทำให้ตนเองเกือบหัวใจวายตาย เพราะร่างกายก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมระยะสุดท้ายอยู่แล้ว อีกทั้งการนำเสนอข่าวเช่นนี้ได้ส่งผลเสียให้กับวงศ์ตระกูล เสมือนถูกตัดสินโดยสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เพื่อนๆที่เป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลต่างพากันโทรศัพท์มาสอบถาม จึงต้องการให้ผู้สื่อข่าวช่อง 3 ได้สอบถามข้อเท็จจริงก่อนที่จะนำเสนอเพราะคุณได้ทำร้ายให้คนที่ไม่รู้เรื่องตายทั้งเป็นจากการนำเสนอข่าวชิ้นนี้” นางสุภคนิจ
นางสุภคนิจ ผู้ต้องสงสัยยังได้เรียกร้องให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งวานนี้ได้นำเสนอข่าวว่าตนเป็นผู้ต้องหาและกำลังจะหลบหนี ให้แสดงความรับผิดชอบ โดยได้ยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและพร้อมจะให้ตรวจสอบทุกกรณีและพร้อมให้ตรวจสอบทั้งค้นบ้านหรือทำอะไรก็ได้
ทั้งนี้ เพราะในปัจจุบันชีวิตความเป็นอยู่ก็ยากจนหลังจากที่ลาออกจากโรงพยาบาลก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ครอบครัวยังต้องรักษาอีกทั้งสิ่งนี้ยังส่งผลกระทบให้ ลูกสาว ที่เรียนหนังสืออยู่ถูกสังคมรุมประมาณและเสื่อมเสียชื่อเสียงกับวงศ์ตระกูล
ด้าน นายอำนวย ธรรมชาติ สามีผู้ต้องสงสัย กล่าวด้วยอารมณ์ว่า การเป็นสื่อต้องตรวจสอบว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่ เพราะตนเองก็มีอาชีพเก็บขวดน้ำพลาสติกขาย หลังจากที่มีข่าวช่อง 3 ออกมา ตนเองได้เดินทางมาถึง สภ.กมลาไสย ตั้งแต่เช้า และได้ให้การไปจนหมด
“ผมเสียใจจริงๆ ทำไมนักข่าวช่อง 3 ไม่ตรวจสอบซะก่อน เราเป็นผู้ต้องสงสัยไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่กลับออกข่าวในลักษณะเช่นนี้ก็ฝากไปถึงเจ้าของสถานีได้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย” นายอำนวยกล่าวในที่สุด
ขณะที่ พ.ต.อ.วันชัย รณชาติชัย ผกก.สภ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จากคำให้การจาก นางสุภคนิจ ศรีพนา ผู้ต้องสงสัย เบื้องต้นเชื่อว่า นางสุภคนิจไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และการโทรศัพท์เข้าหากันก็เป็นเรื่องที่ นางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสย ผู้ต้องหา โทรสอบถามอาการเจ็บป่วยเท่านั้นเนื่องจากมีบ้านที่อยู่ในละแวกเดียวกัน อีกทั้ง นางสุภคนิจ ก็มีอาชีพขายขนมหวาน ที่เชื่อว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน กรณีนี้ นางสุภคนิจก็จะต้องถูกตัดออกไปจากคดี โดยพนักงานสอบสวนก็จะทำการสอบสวนใหม่เพื่อหาเส้นทางยาเสพติดต่อไป