กาฬสินธุ์ - ผู้ว่าฯกาฬสินธุ์ กำชับสาธารณสุขและตำรวจสอบวินัยร้ายแรงเจ้าหน้าที่หาเหตุ “ยาแอดติเฟด” ยาแก้หวัด หนึ่งในสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด หายจาก รพ.กมลาไสย เกือบครึ่งล้านเม็ด เน้นหาแหล่งปล่อยยาหวั่นถูกนำไปผลิตเป็นยาบ้า ยาไอซ์ ขณะที่ สสจ.กาฬสินธุ์ สั่งพักงาน 3 เจ้าหน้าที่ห้องยาพร้อมตั้งกรรมการสอบ ด้าน ผบก.ระบุ ตำรวจสืบรู้ยาถูกปล่อยเข้าร้อยเอ็ด เผย สตช.ส่งเจ้าหน้าที่ปราบยาเสพติดร่วมสางคดี
จากกรณีเรื่องอื้อฉาวที่โรงพยาบาลกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ ตรวจสอบพบ “ยาแอคติเฟด” ยาแก้หวัด หนึ่งในยาที่มีส่วนประกอบของ “ซูโดอีเฟดีน” ซึ่งมีสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด ได้หลายไปจากห้องเก็บยามากถึง 356,535 เม็ด ซึ่ง นพ.สุพัฒน์ ธาตุเพชร ผอ.รพ.กมลาไสย ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.กมลาไสย เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพราะเกรงว่ายาจำนวนนี้หากถูกนำไปผลิตยาเสพติดจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของยาบ้าและยาไอซ์ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันนี้ (16 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ รายงานว่า นพ.พิสิทธิ์ เอื้อวงศ์กูล สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า กรณี “ยาแอคติเฟด” หายไปจากคลังเก็บยาของโรงพยาบาลกมลาไสย ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลกมลาไสยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทราบว่า นพ.สุพัฒน์ ธาตุเพชร ผอ.รพ.กมลาไสย ได้แจ้งความไว้กับ พนักงานสอบสวน สภ.กมลาไสย เอาไว้แล้ว
นพ.พิสิทธิ์ เอื้อวงศ์กูล สาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า กรณี “ยาแอคติเฟด” ที่โรงพยาลกมลาไสย หายไปจากคลังเก็บยา ได้รับรายงานเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งจำนวนที่หายไปเกือบ 4 แสนเม็ด ยังพบว่านอกจากยาชนิดนี้ยังพบว่ามียาชนิดอื่นหายไปด้วย เบื้องต้น หลังจากที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกมลาไสย ได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้ตำรวจได้สืบสวนสอบสวน ในส่วนที่รับผิดชอบก็ได้สั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
และได้สั่งเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวม 3 คน เข้ามาช่วยราชการยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในส่วนของขั้นตอนการดำเนินคดีนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องสืบหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
“เรื่องนี้ตามกระบวนการรับผิดชอบนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณการสั่งยา ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข ได้กำชับมาตลอดที่ผ่านมาจะต้องสั่งตามความจริง ซึ่งในปริมาณที่ตรวจสอบก็พบว่า เฉพาะที่โรงพยาบาลกมลาไสย มีการสั่งยาที่มากกว่าโรงพยาบาลชุมชนอื่นหลายเท่า ซึ่งหากปกติแต่ละแห่งอาจจะสั่ง โรงพยาบาลละ 1 แสนเม็ดต่อปี แต่สำหรับที่นี่มีการสั่งยามากถึงครั้งละ 5 แสนเม็ดต่อปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ”
นพ.พิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกคำสั่งห้ามสั่งหรือห้ามจำหน่ายยาให้กับผู้ป่วยโดยเด็ดขาด เพราะยาที่มีส่วนผสมของ “ซูโดอีเฟดีน” นับเป็นยาที่มีผลต่อประสาทหรือถือเป็นยาเสพติดประเภท 2 เพราะมีส่วนผสมของตัวยาที่จะสามารถนำไปผลิตเป็นยาเสพติดทั้ง ยาบ้าและยาไอซ์ได้ อีกทั้งในปริมาณยา 1 เม็ด หากผ่านกรรมวิธีผลิตยาเสพติดก็จะสามารถผลิตเป็นยาเสพติดได้ถึง 3-5 เม็ด
สำนักงานสาธารณสุขก็จะได้ทำการตรวจเช็คสต็อกยาให้ละเอียดเพื่อเป็นการป้องกันอีกครั้ง ทั้งนี้ หากผลสอบออกมาอย่างไร ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้อำนวยการ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบก็จะต้องรับโทษเช่นกันส่วนจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับผลสอบ
ด้าน พล.ต.ต.คณิสร น้อยนารถ ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ผลการสอบสวนเบื้องต้นชัดเจนแล้วว่าเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ดูแลห้องเก็บยา แต่จะเป็นคนไหนนั้นก็ยังคงต้องสืบสวนเพราะยาทั้งหมดทราบว่าได้ส่งขายไปยัง จ.ร้อยเอ็ด และเพื่อให้เกิดความรัดกุมมากยิ่งขึ้นขณะนี้เรื่องดังกล่าวได้รายงานไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งได้รับการประสานมาจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะมีเจ้าหน้าที่ชุด ปปส.เข้ามาร่วมตรวจสอบ
เนื่องจากผู้ต้องสงสัยยังคงให้การวกวน ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ จึงได้แต่งตั้งให้ พ.ต.อ.วิเชียร พินดวง รองผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ เข้าคลี่คลายคดีด้วย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการตรวจสอบบัญชีเงินหมุนเวียนในส่วนที่เกี่ยวข้องทุกคน และคาดว่าจะสามารถรู้ผลและจับกุมได้ในเร็วๆ นี้
ด้าน นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ กล่าวว่า กรณีนี้ได้กำชับให้สาธารณสุข ตำรวจได้ดำเนินการตรวจสอบและสืบสวนอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง เนื่องจากจังหวัดกำลังดำเนินการเอาชนะให้จังหวัดกาฬสินธุ์ปลอดยาเสพติด แต่หากพบว่าสิ่งที่ไม่ดีเกิดจากข้าราชการทำเสียเองผลรับก็คือการลงโทษที่จะต้องหนักกว่าประชาชนทั่วไป
โดยเฉพาะในกรณีนี้หลังจากที่ก่อนหน้ามีข่าวเรื่องยาชนิดเดียวกันหาย จังหวัดก็ได้กำชับให้ทางสาธารณสุขดำเนินการตรวจสอบจนพบความผิดปกติ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเอกซเรย์ที่ได้ผล ซึ่งกรณีนี้ไม่ว่าจะออกมาอย่างไรทุกฝ่ายก็จะต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด