ASTVผู้จัดการรายวัน - “วิทยา” ปฎิเสธไม่รู้เรื่องคนสนิท ขรก.ระดับสูง เอี่ยว ยาซูโดฯ ย้ำหากผิดจริงพร้อมตัดทิ้ง ปลัด สธ. คอนเฟอเรนซ์นพ.สสจ.ทั่วประเทศ ด้าน”พสิษฐ์” สาวพบความผิดปกติ ที่ รพ.นวมินทร์ 9 เขต มีนบุรีเพิ่ม ขณะที่ศรีษะเกษ ตั้ง กก.สอบ “ยาซูโดฯ” หายคาด 20 วันรู้ผล
วานนี้ ( 23 มี.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการติดตามสอบสวนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต่างๆ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ที่มีการสั่งซื้อและเบิกจ่ายยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนที่เป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด ซึ่งพบราว 10 แห่ง ขณะที่มีการเผยว่าเภสัชกรที่เกี่ยวข้องเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน และมีข้าราชการระดับสูงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ว่า ตนไม่ได้รับรายงานใดๆ ทราบเพียงมีการตรวจพบความผิดปกติที่โรงพยาบาล(รพ.) ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ดังนั้น กรณีที่ นายพสิษฐ์ ศักดิ์ดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี พูดถึงถือเป็นความเห็นส่วนตัว สิ่งที่กล่าวก็ไม่ได้รับการยืนยันชัดเจนว่า เกี่ยวข้องกับใคร เป็นคนสนิทของข้าราชการระดับสูงคนไหนอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ตน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องรอนายพสิษฐ์ รายงานชัดเจน พร้อมทั้งหลักฐานที่กล่าวถึงว่า มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ต่อข้อถามว่า กังวลหรือไม่ว่ากรณีดังกล่าวจะกลายเป็นปัญหาภายในกระทรวง ที่อาจส่งผลต่อการทำงาน นายวิทยา กล่าวว่า หากมีหลักฐานพิสูจน์จริง ก็คงว่ากันไปตามความผิดว่าเกี่ยวข้องกับใคร และจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งหากผิดจริง นิ้วไหนเสียก็ต้องตัดทิ้ง ส่วนจะเป็นปัญหาภายในหรือไม่ ไม่น่าเกี่ยวข้อง ซึ่งตนมองว่า เรื่องการเบิกจ่ายยาซูโดฯ ผิดปกติน่าจะเป็นเรื่องของรพ.มากกว่า
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. กล่าวภายหลังการประชุมคอนเฟอเรนซ์กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด(นพ.สสจ.) ทั่วประเทศ ถึงมาตรการคุมเข้มเกี่ยวกับยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน ว่า ตนได้เน้นย้ำใน 2 เรื่อง คือ 1. เรื่องการระงับการสั่งซื้อ และจ่ายยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนอย่างเด็ดขาในทุกแห่ง และ2.เรื่องระบบการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ เพื่อแก้ปัญหา รพ.ขนาดเล็ก โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชน(รพช.) ที่ส่วนใหญ่บุคลากรจำกัด มีเภสัชกรเพียง 1 คน ทำงานทุกอย่าง ตรงนี้กำชับในเรื่องการอุดช่องโหว่ โดยให้มีการส่งบุคลากรเพิ่มเติมเข้าไปช่วยด้านการบริหาร และปรับระบบให้มีความชัดเจน ไม่เอื้อต่อการกระทำผิด โดยเฉพาะการคุมสต็อคยา ขณะที่รพ.ขนาดใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมีคณะกรรมการบริหารงานและเวชภัณฑ์คอยตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ประมาท ได้สั่งการให้ตรวจสอบทั้งหมดเช่นกัน
วันเดียวกัน นายพสิษฐ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบ รพ.นวมินทร์1 และ 9 กรณียาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน โดยพบว่ามีความผิดปกติ ที่ รพ.นวมินทร์ 9 เขต มีนบุรี คือ รายงานการใช้ยาของบริษัทและรพ.ไม่ตรงกัน โดยบริษัทระบุว่า มีการสั่งซื้อ 6 แสนเม็ด แต่ รพ.มีรายงานเพียง 3 แสนเม็ด ซึ่งโรงพยาบาลได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการมอบหลักฐานทั้งหมดในการสั่งยา เช็คสั่งจ่ายบริษัท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปสอบสวนต่อ ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิดอย่างไร
ต่อข้อถามถึงประเด็นที่มีการเปิดเผยว่า คนสนิทข้าราชการระดับสูงมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณียาหายในหลาย รพ.นั้น นายพสิษฐ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวจะมีการประชุมร่วมกับผู้บริหารของกระทรวงในสัปดาห์หน้า แต่ในขณะนี้มีการดำเนินการภายในเพื่อหาความจริงไปบ้างแล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจมีผู้ร่วมกระทำผิดอยู่ในกระทรวง และยังเป็นคนใกล้ชิดข้าราชการระดับสูง ซึ่งหลักฐานที่พบ ไม่ได้พบเพียงรพ.เดียวแต่มีหลักฐานที่สามารถระบุตัวบุคคล คนเดียวกันนี้ได้ จาก 2 รพ. คือ รพ.กมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ และ รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการสอบสวนในเชิงลึก เพื่อขยายผลที่เกิดขึ้น
วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงาน ความคืบหน้าคดียาแก้หวัดโรงพยาบาลกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ หายจากคลังเก็บยา 356,535 เม็ด ซึ่ง นางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสยผู้ต้องหายักยอกทรัพย์ ซัดทอดว่า นางสุภคนิจ ศรีพนา อดีตเจ้าหน้าที่พยาบาลโรงพยาบาลร้อยเอ็ด เป็นผู้สั่งซื้อ
ขณะที่ พ.ต.อ.วันชัย รณชาติชัย ผกก.สภ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จากคำให้การจาก นางสุภคนิจ ศรีพนา ผู้ต้องสงสัย เบื้องต้นเชื่อว่า นางสุภคนิจไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และการโทรศัพท์เข้าหากันก็เป็นเรื่องที่ นางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสย ผู้ต้องหา โทรสอบถามอาการเจ็บป่วยเท่านั้นพนักงานสอบสวนก็จะทำการสอบสวนใหม่เพื่อหาเส้นทางยาเสพติดต่อไป
สำหรับความคืบหน้ากรณียาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเสพติด หายไปจากโรงพยาบาลภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ จำนวนประมาณกว่า 2 แสนเม็ด จากการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสภ.ภูสิงห์ เบื้องต้นทราบว่ามีผู้ต้องสงสัย 1 คน เป็นเภสัชกรประจำโรงพยาบาล ซึ่งไม่ได้เดินทางมาทำงานได้ 2 วันแล้ว และขณะนี้ไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อได้ โดย นพ.ประวิ อ่ำพันธุ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับลงมาว่า ให้สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษเร่งดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยด่วน และขอทราบผลการสอบสวนภายใน 20 วัน ซึ่งหลังจากการแต่งตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบแล้วก็จะทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดทันที
วานนี้ ( 23 มี.ค.) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการติดตามสอบสวนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต่างๆ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ที่มีการสั่งซื้อและเบิกจ่ายยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนที่เป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด ซึ่งพบราว 10 แห่ง ขณะที่มีการเผยว่าเภสัชกรที่เกี่ยวข้องเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน และมีข้าราชการระดับสูงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ว่า ตนไม่ได้รับรายงานใดๆ ทราบเพียงมีการตรวจพบความผิดปกติที่โรงพยาบาล(รพ.) ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ดังนั้น กรณีที่ นายพสิษฐ์ ศักดิ์ดาณรงค์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี พูดถึงถือเป็นความเห็นส่วนตัว สิ่งที่กล่าวก็ไม่ได้รับการยืนยันชัดเจนว่า เกี่ยวข้องกับใคร เป็นคนสนิทของข้าราชการระดับสูงคนไหนอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ตน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องรอนายพสิษฐ์ รายงานชัดเจน พร้อมทั้งหลักฐานที่กล่าวถึงว่า มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ต่อข้อถามว่า กังวลหรือไม่ว่ากรณีดังกล่าวจะกลายเป็นปัญหาภายในกระทรวง ที่อาจส่งผลต่อการทำงาน นายวิทยา กล่าวว่า หากมีหลักฐานพิสูจน์จริง ก็คงว่ากันไปตามความผิดว่าเกี่ยวข้องกับใคร และจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งหากผิดจริง นิ้วไหนเสียก็ต้องตัดทิ้ง ส่วนจะเป็นปัญหาภายในหรือไม่ ไม่น่าเกี่ยวข้อง ซึ่งตนมองว่า เรื่องการเบิกจ่ายยาซูโดฯ ผิดปกติน่าจะเป็นเรื่องของรพ.มากกว่า
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. กล่าวภายหลังการประชุมคอนเฟอเรนซ์กับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด(นพ.สสจ.) ทั่วประเทศ ถึงมาตรการคุมเข้มเกี่ยวกับยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน ว่า ตนได้เน้นย้ำใน 2 เรื่อง คือ 1. เรื่องการระงับการสั่งซื้อ และจ่ายยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนอย่างเด็ดขาในทุกแห่ง และ2.เรื่องระบบการบริหารจัดการยาและเวชภัณฑ์ เพื่อแก้ปัญหา รพ.ขนาดเล็ก โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชน(รพช.) ที่ส่วนใหญ่บุคลากรจำกัด มีเภสัชกรเพียง 1 คน ทำงานทุกอย่าง ตรงนี้กำชับในเรื่องการอุดช่องโหว่ โดยให้มีการส่งบุคลากรเพิ่มเติมเข้าไปช่วยด้านการบริหาร และปรับระบบให้มีความชัดเจน ไม่เอื้อต่อการกระทำผิด โดยเฉพาะการคุมสต็อคยา ขณะที่รพ.ขนาดใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะมีคณะกรรมการบริหารงานและเวชภัณฑ์คอยตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ประมาท ได้สั่งการให้ตรวจสอบทั้งหมดเช่นกัน
วันเดียวกัน นายพสิษฐ์ กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบ รพ.นวมินทร์1 และ 9 กรณียาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน โดยพบว่ามีความผิดปกติ ที่ รพ.นวมินทร์ 9 เขต มีนบุรี คือ รายงานการใช้ยาของบริษัทและรพ.ไม่ตรงกัน โดยบริษัทระบุว่า มีการสั่งซื้อ 6 แสนเม็ด แต่ รพ.มีรายงานเพียง 3 แสนเม็ด ซึ่งโรงพยาบาลได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการมอบหลักฐานทั้งหมดในการสั่งยา เช็คสั่งจ่ายบริษัท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปสอบสวนต่อ ซึ่งยังไม่สามารถสรุปได้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิดอย่างไร
ต่อข้อถามถึงประเด็นที่มีการเปิดเผยว่า คนสนิทข้าราชการระดับสูงมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณียาหายในหลาย รพ.นั้น นายพสิษฐ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวจะมีการประชุมร่วมกับผู้บริหารของกระทรวงในสัปดาห์หน้า แต่ในขณะนี้มีการดำเนินการภายในเพื่อหาความจริงไปบ้างแล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะอาจมีผู้ร่วมกระทำผิดอยู่ในกระทรวง และยังเป็นคนใกล้ชิดข้าราชการระดับสูง ซึ่งหลักฐานที่พบ ไม่ได้พบเพียงรพ.เดียวแต่มีหลักฐานที่สามารถระบุตัวบุคคล คนเดียวกันนี้ได้ จาก 2 รพ. คือ รพ.กมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ และ รพ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการสอบสวนในเชิงลึก เพื่อขยายผลที่เกิดขึ้น
วันเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงาน ความคืบหน้าคดียาแก้หวัดโรงพยาบาลกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ หายจากคลังเก็บยา 356,535 เม็ด ซึ่ง นางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสยผู้ต้องหายักยอกทรัพย์ ซัดทอดว่า นางสุภคนิจ ศรีพนา อดีตเจ้าหน้าที่พยาบาลโรงพยาบาลร้อยเอ็ด เป็นผู้สั่งซื้อ
ขณะที่ พ.ต.อ.วันชัย รณชาติชัย ผกก.สภ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า จากคำให้การจาก นางสุภคนิจ ศรีพนา ผู้ต้องสงสัย เบื้องต้นเชื่อว่า นางสุภคนิจไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และการโทรศัพท์เข้าหากันก็เป็นเรื่องที่ นางสดชื่น วิโทจิตร เภสัชกรรมโรงพยาบาลกมลาไสย ผู้ต้องหา โทรสอบถามอาการเจ็บป่วยเท่านั้นพนักงานสอบสวนก็จะทำการสอบสวนใหม่เพื่อหาเส้นทางยาเสพติดต่อไป
สำหรับความคืบหน้ากรณียาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเสพติด หายไปจากโรงพยาบาลภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ จำนวนประมาณกว่า 2 แสนเม็ด จากการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสภ.ภูสิงห์ เบื้องต้นทราบว่ามีผู้ต้องสงสัย 1 คน เป็นเภสัชกรประจำโรงพยาบาล ซึ่งไม่ได้เดินทางมาทำงานได้ 2 วันแล้ว และขณะนี้ไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อได้ โดย นพ.ประวิ อ่ำพันธุ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขได้กำชับลงมาว่า ให้สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษเร่งดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จโดยด่วน และขอทราบผลการสอบสวนภายใน 20 วัน ซึ่งหลังจากการแต่งตั้งคณะกรรมการไปตรวจสอบแล้วก็จะทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดทันที