ศูนย์ข่าวศรีราชา-ชาวบ้านกลัวภาครัฐเลิกพิสูจน์ตู้คอนเทนเนอร์ปริศนา เหตุติดปัญหางบประมาณ ขู่ลงตรวจสอบเอง จะได้หายสงสัย ยืนยันมีอีก 6 ตู้ที่ยังไม่สำรวจ ระบุหากไม่มีศพวีรชนพฤษภาก็ถือว่าเป็นการกำจัดสิ่งปฏิกูลใต้ทะเล
จากกรณีที่แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมคณะได้เดินทางมาพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อทำการตรวจพิสูจน์ตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 1 ตู้ ที่อ่าวแสมสาร พิกัดพิกัดแลตติจูด 12 องศา 310.172 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 101 องศา 04.109 ลิปดาตะวันออก เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้รับการสนับสนุนเรือหลวงภูเก็ต ในการเดินทาง เรือหลวงวังนอกเป็นศูนย์กลางค้นหาในทะเลของนักประดาน้ำ กรมสรรพาวุธทหารเรือ และเรือตรวจการณ์ จากพลเรือโทชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ ผู้บัญชาการ ทัพเรือภาคที่ 1 ผลการพิสูจน์ปรากฏว่าได้พบตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 1 ตู้ มีปะการัง เพรียง และหญ้าทะเลเกาะเต็มไปหมด
เมื่อสันนิษฐานจากสภาพแวดล้อมการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตภายนอกตู้ คาดว่าน่าจะจมมาแล้วประมาณ 20 ปี แต่ยังไม่มีการยกขึ้นมาพิสูจน์แต่อย่างใดเพราะต้องใช้อุปกรณ์ กำลังพล และที่สำคัญต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการจำนวนมาก ต้องเสนองบประมาณเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงได้ทำการผูกทุ่นบอกตำแหน่งเอาไว้่ก่อน
เบื้องต้นชุดประดาน้ำของกรมสรรพาวุธทหารเรือ ได้พบอุปสรรคคลื่นลมจัด น้ำขุน ท้องฟ้ามืด มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง นักประดาน้ำได้ดำน้ำลงไปขูดเพรียงบริเวณรอบตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อหาหมายเลข ตัวอักษร และหลักฐานอื่นที่จะสามารถตรวจสอบที่มาของตู้คอนเทนเนอร์ได้
ความคืบหน้าเรื่องดังกล่าว วันนี้(16 พ.ค.52) พลเรือโท ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ ผู้บัญชาการ ทัพเรือภาคที่ 1 กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้สนับสนุนยุทโธปกรณ์ทางทหารให้กับแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์และคณะออกไปตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ในทะเล ได้พบอุปสรรคในการกู้ขึ้นมาจากทะเล ต้องใช้เรือเครนขนาดใหญ่ นักประดาน้ำและชุดปฏิบัติการพิเศษลงไปหาทางใช้ลวดสลิงขนาดใหญ่ผูกตู้ให้แน่นเสียก่อน ซึ่งคาดว่าตู้คงผุ ยกขึ้นมาอาจจะแตกหรือแยกออกจากกันได้ ต้องรอดูนโยบายของรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรตามความเหมาะสม
ในส่วนของกองทัพเรือ โดยทัพเรือภาคที่ 1 ได้ประสานการเตรียมพร้อมในการใช้เรือตรวจทุ่นระเบิดในทะเล มาสนับสนุนการค้นหาตู้คอนเทนเนอร์ในอีกหลายใบตามที่ได้รับรายงานในขณะนี้ เท่าที่ทราบมาบางใบพิกัดยังไม่ตรงกับความเป็นจริง มีการเคลื่อนย้ายเพราะเรืออวนลากต่างถิ่นที่ไม่รู้ ลากตู้ให้เคลื่อนที่บ่อยครั้ง
ผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถาม นายปราโมทย์ โถวสกุล กำนันตำบลแสมสาร และ นายแดงระ (ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง) เกี่ยวกับเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ที่พบในทะเล ซึ่งทั้ง 2 คนยังยืนยันว่าตู้ตามพิกัดที่มีอยู่นั้นอีกประมาณ 7 ตู้ และมีพิกัดเรือจมมีวัตถุโบราณอยู่บริเวณดังกล่าว อยู่ในร่องน้ำลึกเรือเดินทะเลด้านหลังเกาะสีชัง เกาะคราม และเกาะจวง น้ำลึก 20 เมตรขึ้นไปทั้งหมด ตู้ที่ 1 พิกัด แลตติจูด 12 องศา 30.5 ลิปดาเหนือ ลองกิจูด 101 องศา 05.5 ลิปดาตะวันออก ตู้ที่ 2 พิกัดแลตติจูด 12 องศา 29.5 ลิปดาเหนือ ลองกิจูด 101 องศา 04.5 ลิปดาตะวันออก
ตู้ที่ 3 แลตติจูด 12 องศา 30.15 ลิปดาเหนือ ลองกิจูด 101 องศา 01.12 ลิปดาตะวันออก ตู้ที่ 4 แลตติจูด 12 องศา 21.5 ลิปดาเหนือ ลองกืจูด 100 องศา 38.5 ลิปดาตะวันออก ตู้ที่ 5 แลตติจูด 12 องศา 21.5 ลิปดาเหนือ ลองกิจูด 100 องศา 32.5 ลิปดาตะวันออก ตู้ที่ 6 และตู้ที่ 7 อยู่ในพิกัดเดียวกัน แลตติจูด 11 องศา 15.09 ลิปดาเหนือ ลองกิจูด 101 องศา 06.07 ลิปดาตะวันออก และเป้าหมายเรือจมที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ก็คือ เรือจมที่มีวัตถุโบราณ หรือสังคโลก แลตติจูด 12 องศา 21.5 ลิปดาเหนือ ลองกิจูด 100 องศา 33.5 ลิปดาตะวันออก ซึ่งพิกัดเหล่านี้เรือประมงอวนลากที่มีเครื่องมือทันสมัยสามารถจับจุดพิกัดได้
ส่วนการเคลื่อนย้ายพิกัดที่ผ่านมา เพราะมีเรืออวนลากต่างถิ่นมาลากไม่รู้ว่ามีสิ่งกีดขวางเพิ่มจากเดิมทำให้ตู้เคลื่อนย้ายไปบ้าง แต่จนถึงวันนี้บรรดาไต๋เรือรุ่นเก่ารุ่นใหม่ก็ยังยืนยันว่าตู้คอนเทนเนอร์ปริศนายังอยู่ครบ และตู้ที่มีไขมันผุดออกมาเป็นตู้ที่อยู่ในน้ำลึกพอสมควร
แหล่งข่าวอ้างว่า การตรวจสอบครั้งนี้ถือว่าได้ไขปริศนาความจริงให้กับสังคม แต่ไม่ต้องการให้มีการลดกระแสสื่อและกระแสสังคม ต้องนำความจริงมาเปิดเผยกับประชาชน ภาครัฐสามารถดำเนินการได้ เพราะมีหน่วยงานทางทะเลจำนวนมากที่มีศักยภาพ และขอร้องว่าอย่าอ้างว่าการดำเนินการไม่คุ้มกับงบประมาณที่เสียไป เพราะเป็นการผลักดันภาระทั้งหมด ถ้ารัฐไม่ดำเนินการในโอกาสแรก และเร็ว ๆ นี้ ภาคประชาชนจะรวมตัวกันนำตู้คอนเทนเนอร์มาเปิดพิสูจน์กันเอง หรือไม่ก็ดำน้ำลงไปเปิดตู้พิสูจน์ โดยมีหน่วยงานอิสระเข้ามาเป็นพยานก็คือ องค์กรสื่อมวลชน เพื่อป้องกันปัญหาหลายๆ ด้าน
ทั้งนี้ ถ้ารัฐไม่สนใจก็แสดงว่าใครจะดำเนินการก็ไม่มีความผิด เพราะตู้คอนเทนเนอร์เป็นสิ่งกีดขวางในทะเล ถ้าเป็นสารพิษ อาจเกิดมลพิษในทะเลทำให้ปลาทะเลหนี และตาย ส่งผลในภาพรวมของประเทศ นักดำน้ำก็ไม่กล้าดำน้ำ ประชาชนเกรงว่าถ้าเป็นสารพิษจะทำให้ประเทศชาติ การท่องเที่ยวเสียหายในโอกาสต่อไป จึงจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเพียงกระแสเท่านั้น ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ได้ และไม่ได้ระบุว่าจะต้องเป็นศพในเหตุพฤษภาทมิฬที่หายไป แต่ต้องการนำสิ่งปฎิกูลในทะเลออกไปเท่านั้น ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามอำนาจรัฐ
แหล่งข่าวยังเปิดเผยอีกว่า ชาวประมงยืนยันว่า ตู้คอนเทนเนอร์ปริศนา ต้องมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตู้แน่นอน โดยได้ตั้งเป้าไว้ 2 พื้นที่ ก็คือ ถ้าเปิดตู้ที่หมอพรทิพย์ไปตรวจพบ อาจจะเป็นสารพิษตามที่มีกระแสข่าวว่ามีการนำสารพิษจากทางด้านระยองมาทิ้งในทะเล
ส่วนตู้อีก 6 ตู้ที่อยู่ในล่องน้ำเดินเรือน่าสนใจยิ่งนักเพราะมีไขมันผุดออกมาบนผิวน้ำ และถ้าตู้เหล่านี้ไม่มีปริศนารับรองได้ว่าถูกเปิดค้นหาของมีค่าหมดไปแล้ว ไม่ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้ พยานบุคคลพวกแสวงหาโชคดำค้นหาวัตถุโบราณและสังคโลกได้ เคยบอกเล่ากันไว้ว่าตู้คอนเทนเนอร์มีปริศนาจริง ๆ จนไม่มีใครกล้านำเรื่องนี้ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่เพราะเกรงความผิด และเกรงจะเป็นพยาน เพราะถ้ามีการสืบหาข้อเท็จจริงจะเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ