รถทัวร์ไทยร่วมใจ วิจารณ์ “แจ๊กแปปโฮ” โชว์คอนเทนต์ขยะ “ถอดเสื้อ-ยืนเต้น” บนหลังคารถ ณ แลนด์มาร์กแดนอาทิตย์อุทัย ผลักให้กระแส “ไม่เอาชาวต่างชาติ” ในญี่ปุ่นแรงขึ้นไปอีก หวั่นคนไทยอาจโดนเหมารวม รัฐต้องรีบจัดการ “ต้นตอ” ให้บทเรียนคนสร้าง “คอนเทนต์ขยะ” ไม่ให้เกิดซ้ำอีก
** ดังคนเดียว พังทั้งประเทศ **
งามหน้าจริงๆ เมื่อ “อินฟลูฯ ไทย”อย่าง “แจ็กแปปโฮ”(จาตุรงค์ พาโพธิ์)ที่มีผู้ติดตามใน YouTube กว่า 8 ล้านคน และใน TikTok อีกถึง 11.7 ล้านคน
ดันไปสร้างวีรกรรม “ถอดเสื้อ-ยืนเต้น”บน “หลังคารถ” ที่ประเทศ “ญี่ปุ่น”หน้ามินิมาร์ท “Lawson”แลนด์มาร์กสำคัญของเมือง “ฟูจิคาวากุจิโกะ” ที่มีฉากหลังเป็นวิว “ภูเขาไฟฟูจิ”ท่ามกลางสายตาคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมากมาย
จนกลายเป็นดรามาระดับชาติ รถทัวร์แต่ละคันที่พากันไปลงที่ แจ็กแปปโฮ ต่างก็วิจารณ์เป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เหมาะสม ไม่เคารพกฎระเบียบและมารยาทในการใช้พื้นที่สาธารณะของญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องนี้สะเทือนถึง “ภาพลักษณ์ประเทศไทย”ได้เลยทีเดียว
{ดรามาระดับชาติ ยืนเต้นบนหลังคารถ ในญี่ปุ่น}
ด้านเหล่าอินฟลูฯ และเพจดังต่างออกมาเตือนถึงการทำพฤติกรรมแย่ๆ แบบนี้เหมือนกัน อย่าง “พลอย pigkaploy” (พลอยไพลิน ตั้งประภาพร) นักแสดงและยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยว ที่ออกมาโพสต์สะท้อนปัญหา“นักท่องเที่ยวล้นเมือง”ของญี่ปุ่น
ผลักให้“คนท้องถิ่น” เดือดร้อน จากพฤติกรรมแย่ๆ ทั้งเรื่อง “มารยาท”และ “การรบกวน”ในพื้นที่สาธารณะของผู้มาเยือนบางกลุ่ม ที่ชอบทำตัวเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ไม่เกรงใจใคร ย้ำชัดว่าช่วงหลังคนญี่ปุ่นเริ่ม “เอือมระอา” มองนักท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึง “คนไทย”ใน “แง่ลบ”ด้วย
“อาจมองว่า แค่ปีนรถเล่น ไม่น่าเป็นไร แต่สายตาคนท้องถิ่น เท่ากับไม่เคารพกฎระเบียบ รบกวนคนรอบข้าง ทำให้ภาพลักษณ์นักท่องเที่ยวเสีย”
{“แจ็กแปปโฮ” เจ้าของคอนเทนต์ขยะ}
ทางด้านเพจดังอย่าง “J-doradic” ก็บอกว่า พฤติกรรมแบบนี้อาจมีความผิดทางกฎหมาย ฐาน “ฝ่าฝืนข้อห้าม ทำพฤติกรรมรบกวนในที่สาธารณะ” ซึ่งมีโทษถึงจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000,000 เยน
โดยทางเพจได้แจ้งเรื่องนี้ไปยังโซเชียลฯ ทางการของ “สถานีตำรวจ” จ.ยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เข้าไปตรวจสอบ
นอกจากนี้ เพจ "I Love Japan TH" ยังไปขุดเจออีกวีรกรรมของอินฟลูฯ รายเดียวกันนี้ คือการขับรถยนต์เปิดซันรูฟ “ยื่นหัว” ของตัวเองกับลูกชาย ออกมาบน “ทางด่วน” ที่ญี่ปุ่น ซึ่งคือการทำผิดกฎหมายญี่ปุ่น
ทั้งฐาน “ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย” , “เด็กไม่ได้อยู่ในคาร์ซีท” , “ยื่นหัวออกมานอกรถ” และ “ถ่ายคลิประหว่างขับรถ” ซึ่งต้องโทษปรับ 10,000-25,000 เยน
กลายเป็นความอับอายของชาวไทยทั้งประเทศ จนหลายคนต้องออกตัว คอมเมนต์ขอโทษชาวญี่ปุ่นแทน ผ่านแฟนเพจของ “สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย” รวมถึงเรียกร้องให้สถานทูตญี่ปุ่น “แบน” อินฟลูฯ รายนี้ ไม่ให้เข้าประเทศแบบถาวรไปเลย
** ตามรอยชื่อเสีย(ง) “นักท่องเที่ยวจีน”? **
จุดเกิดเหตุอย่าง “มินิมาร์ท Lawson”ประจำเมืองฟูจิคาวากุจิโกะ ที่มีฉากหลังเป็น “ภูเขาไฟฟูจิ” คือแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวมักชอบไปปักหมุด ถ่ายรูปเช็กอินเป็นประจำ
จนช่วงหลังๆ กลายเป็นปัญหาระดับชาติ จากพฤติกรรมห่วงคอนเทนต์ จนไม่เกรงใจบ้านเมืองเขา บางรายหนักถึงขั้นปีนขึ้นไปบน “หลังคาคลินิก”ที่อยู่ใกล้ร้าน Lawson เพื่อถ่ายรูปให้ได้มุมที่ต้องการ
ไหนจะพฤติกรรมวุ่นวายบริเวณนั้น ทั้งข้ามถนนโดย “ไม่ใช้ทางม้าลาย”และ “ไม่ดูไฟจราจร”เพราะมัวแต่จดจ่อเรื่องถ่ายรูป ถ่ายคลิปกับแลนด์มาร์ก รวมถึงต้องการภาพบรรยากาศบนท้องถนนที่มีรถวิ่ง
เป็นเหตุให้ญี่ปุ่นต้อง “กั้นรั้ว” ขึงผ้าดำปิดบังวิว ตั้งแต่เมื่อปี 67 เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวข้ามถนนไปมา หวังลดปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ทั่วบริเวณ
{ญี่ปุ่นปวดหัว จนต้องขึงผ้าดำกั้น}
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “แพง” เจ้าของเพจ “In My Memories” ช่างภาพมืออาชีพชาวไทย ที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ช่วยยืนยันกับทีมข่าวเอาไว้ว่า ทั้งหมดนี้คือ “เรื่องจริง”
“พอคนมันเยอะ มันก็จะมีปัญหาหลายๆ อย่างตามมา ไปจอดรถมั่วซั่ว ไปใช้พื้นที่ของคลินิก ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมุม Lawson บางทีก็เข้าไปในพื้นที่ของคลินิก จนทำให้คนที่มาใช้บริการคลินิก เขาเข้าไปในคลินิกไม่ได้
ตอนหลัง เขาก็มีมาตรการ เอาผ้ามากางขึงกั้นไว้ แต่ว่าพอตอนหลัง มันตรงกับช่วงที่มีพายุพอดี เขาก็เลยกลัวว่ามันจะมีอันตราย เขาเลยเอาผ้าดำออก”
เห็นได้ชัดว่า คนญี่ปุ่น “เบื่อ” และ “เอือมระอา” กับพฤติกรรมเรื้อนๆ ของเหล่านักท่องเที่ยว จนเริ่มไม่ค่อยอยากต้อนรับผู้มาเยือนแล้ว
โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ ของญี่ปุ่น ที่ช่วงหลังเจ้าหน้าที่ “ตำรวจ” ที่คอยดูแลจุดต่างๆ ตามแหล่งท่องเที่ยว “ดุขึ้น” โดยเฉพาะกับชาวต่างชาติที่ไม่ทำตามกฎ
“เหมือนบริเวณที่ใกล้ๆ แหล่งท่องเที่ยว บางทีชาวบ้าน หน้าตาเหมือนกับว่า ไม่ค่อยแฮปปี้”
“เหมือนเขาเจอพฤติกรรมแบบนั้นทุกวันๆ ก็เลยสะสม จนกลายเป็นว่าไม่อยากจะต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่เข้ามาในพื้นที่ของเขาเท่าไหร่”
แพงบอกว่า ตอนนี้ในญี่ปุ่น กระแส “แบนชาวต่างชาติ”กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุนึงก็มาจากปัญหา “นักท่องเที่ยวล้นเมือง”นี่แหละ โดยเฉพาะ “นักท่องเที่ยวชาวจีน”
ถามว่าจากผลกระทบของเคสล่าสุด ที่อินฟลูฯ ไทยไปทำงามหน้าแบบนี้ จะทำให้คนญี่ปุ่นเริ่มมอง “นักท่องเที่ยวชาวไทย”ในแง่ลบไปด้วยไหม?
ช่างภาพมืออาชีพ ณ แดนอาทิตย์อุทัยมองว่า ตอนนี้ถ้าเป็น “คนพื้นที่”ยังคงตอบรับคนไทยเหมือนเดิม แต่ในโซเชียลฯ ญี่ปุ่น
เริ่มมีคอมเมนต์ในแง่ลบให้เห็นบ้างแล้ว
“คอมเมนต์ด้านลบจะเพิ่มขึ้น เหมือนไม่ค่อยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่นิสัยไม่ดี คนส่วนใหญ่ก็ยังแบบว่า ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่รักษากฎ เขาก็ต้อนรับ คือถ้าเราไม่ได้แหกกฎบ้านเขา หรือไปทำอะไรแย่ๆ เขาก็โอเคกับเราอยู่”
{“แพง” ช่างภาพมืออาชีพ ณ แดนอาทิตย์อุทัย}
** ภาพลักษณ์ระดับชาติ “ความอับอายของประเทศไทย” **
จากเคส “แจ็กแปปโฮ” ถ้าคนต้นเรื่องหวังให้ดัง บอกได้เลยว่าดังสมใจ เพราะล่าสุด “สื่อญี่ปุ่น” อย่าง “XBomber” (x-bomberth.com) ถึงกับเอาไปพาดหัวข่าว ที่แปลเป็นไทยว่า..
“ยูทูบเบอร์ไทยก่อความวุ่นวายในญี่ปุ่น หลังโพสต์คลิปเต้นบนหลังคารถที่ Lawson หน้าภูเขาไฟฟูจิความอับอายของประเทศไทย”
หรือแม้แต่ “Channel News Asia (CNA)” สำนักข่าวชื่อดังใน “สิงคโปร์” ก็หยิบวีรกรรมงามหน้านี้ ไปรายงานตอกย้ำว่า นี่คือ “ภาพลักษณ์” ของประเทศที่ต้อง “พัง” เพราะคนคนเดียว
ถ้าไปดูทัศนคติของนายกฯ หญิงญี่ปุนคนล่าสุด อย่าง “ซานาเอะ ทาคาอิจิ” ที่จริงจังในการจัดการปัญหาพฤติกรรมแย่ๆ ของนักท่องเที่ยว วิเคราะห์กันว่า เธอกำลังจะมีนโยบายจัดการแบบเป็นรูปธรรมในปี 69
ผลักให้คนไทยหลายคนกังวลว่า เคสล่าสุดนี้อาจส่งให้ “นักท่องเที่ยวไทย” โดนร่างแหไปด้วยหรือเปล่า? เกี่ยวกับเรื่องนี้ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำว่า กระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศแน่นอน
ส่วนเรื่องที่คนไทย ขอให้ญี่ปุ่นเพิกถอนพาสปอร์ตของอินฟลูฯ รายนี้นั้น ทางการมองว่า ให้เป็นเรื่องที่คนทำรับผิดชอบเอง และเข้าใจว่าทางญี่ปุ่นน่าจะมีการดำเนินการทางกฎหมาย
ส่วน “อรรถกร ศิริลัทธยากร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็บอกว่า ที่ผ่านมาพยายามรณรงค์มาตลอด ให้คนไทยที่อยู่ต่างประเทศ ไม่ไปทำอะไรที่ขัดกับวัฒนธรรม หรือกฎระเบียบในบ้านเมืองอื่น
จากการออกมาแสดงความรับผิดชอบเพียงบางๆ ของรัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดูน้อยนิดเสียเหือเกิน ส่งให้สังคมตั้งคำถามว่า คือการจัดการปัญหาที่เพียงพอแล้วหรือยัง?
ถ้าให้มองในมุมของ นักวิชาการผู้ศึกษาด้านภาพลักษณ์ประเทศ ของเอเชียตะวันออก อย่าง “ผศ.ดร.ชาดา เตรียมวิทยา” อาจารย์คณะศิลปะศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก็พอจะมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมให้
“อย่างน้อย ควรจะมีแอ็กชันของสถานทูต, สถานกงสุล, กระทรวงต่างประเทศ หรือ(กระทรวง)วัฒนธรรมก็ดี ออกมาแอ็กชันอย่างนึง เพื่อจะขอโทษญี่ปุ่น”
โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการแถลง แบบเป็นทางการก็ได้ อาจทำเป็นโพสต์ หรืออะไรก็ได้ แต่ขอให้เป็น “หน่วยงานระดับประเทศ” ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ออกมา “ขอโทษ” เพื่อแสดงความจริงใจ และยืนยันว่า ไทยเองก็ไม่สนับสนุนการกระทำแบบนี้
{“ผศ.ดร.ชาดา” นักวิชาการ ผู้ศึกษาด้านภาพลักษณ์ประเทศ}
ส่วน อินฟลูฯ คนดังกล่าว เมื่อกลับมาที่ไทยแล้ว ก็อาจจะมีการ“ตักเตือน”แต่จะถึงขั้นลงโทษทางกฎหมายเลยไหม ดร.ชาดา บอกว่า ไทยเราก็ไม่ได้มีกฎหมายเอาผิดในเรื่องนี้
สิ่งที่ทำได้หลังจากนี้ เพื่อไม่ให้เกิดเคสทำนองนี้อีก นอกจากการเตือนให้นักท่องเที่ยวไทย “เคารพระเบียบ” และเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศปลายทางที่จะไปเที่ยวแล้ว อีกสิ่งนึงที่สำคัญคือ การจัดการกับ “คอนเทนต์ขยะ”ในบ้านเราอย่างจริงจัง
เพราะกรณีคล้ายๆ กันนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ยกตัวอย่างเคส “ไฮโซปิง”(อัลวา ริตศิลา)อินฟลูฯ ที่ไปทำคอนเทนต์ “นอนแผ่ร้องงอแงเหมือนเด็ก” กลางที่สาธารณะหลายจุดในญี่ปุ่น จนกลายเป็นดรามาเมื่อปีที่แล้ว (2567)
{ “ไฮโซปิง”(อัลวา ริตศิลา) }
“มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว คนก็มองว่าตลก แล้วก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แล้ววันนี้ก็มีเคสที่รุนแรงกว่า เราจะไม่ระวังเหรอว่า จะมีเคสที่รุนแรงมากกว่านี้ เกิดขึ้นในต่างประเทศ
กรณีนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะว่านักท่องเที่ยวคือการทูตภาคประชาชน เป็น Soft Power ของคนไทย พฤติกรรมของแต่ละคนที่ไปเที่ยว จะบอกว่าฉันมาเที่ยวเอง ไม่ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย แต่คุณอย่าลืมว่า คุณยังถือหนังสือเดินทางไทยอยู่นะ”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “Jaturong Papho”, “สวัสดีครับผมแจ็กแปปโฮ”, IG @jack_papho, X @RonallChersan, @o39kato และ yomiuri.co.jp
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **


