xs
xsm
sm
md
lg

ดาวรุ่งดวงใหม่ “ชิปปี้” สุดแค้นแสน(น่า)รัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กระแสนิยมท่วมจอทันทีที่ละครเรื่อง “สุดแค้นแสนรัก” ออกอากาศให้ได้ชมกัน เกิดกระแสต่างๆ ถาโถมเข้ามาไม่ว่าจะเป็นความนิยมในตัวนักแสดง หรือพล็อตเรื่องที่มีเนื้อหาสนุกจนถูกพูดถึงมากที่สุดในขณะนี้ และการแจ้งเกิดของหนึ่งในนักแสดงนำ “ชิปปี้-ศิรินทร์ ปรีดียานนท์” ที่น่าจับตามอง!

นางเอกน้องใหม่ ที่น่าจับตา

เวลาใกล้เที่ยงของช่วงต้นสัปดาห์ เป็นเวลาที่เรามีนัดพูดคุยกับเธอ เมื่อทีมงาน M-Lite ไปถึงปรากฏว่าสาวร่างเล็กตาคม ผมยาวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ตรงต่อเวลาเสียจริงๆ คำถามแรกคงหนีไม่พ้นประเด็นคำถาม เมื่อละครออนแอร์ไปแล้วกระแสตอบรับน่าชื่นชมขนาดไหน เธอกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเองว่ากระแสดีมาก เธอดีใจและมั่นใจว่าพาร์ตรุ่นลูกที่ได้รับก็คงสนุกไม่แพ้กัน

“ดีใจค่ะ ตอนนี้พาร์ตของเรายังไม่ได้ออกใช่มั้ยคะ แต่ฟีดแบ็กดีมากผู้ใหญ่ก็รู้สึกแฮปปี้ เหมือนผู้ใหญ่ก็ปูทางให้พาร์ตเด็ก คนก็น่าจะติดตาม ถามว่ากดดันมั้ยไม่กดดันเลยค่ะ เพราะว่าหนูก็เชื่อในฝีมือผู้กำกับแล้วก็คนที่ตัดออกมา หนูก็มั่นใจว่ามันต้องสนุกไม่แพ้กัน คือด้วยเรื่องแล้วมันสุดแค้นแสนรักอยู่แล้ว พาร์ตของผู้ใหญ่จะก็แค้นๆ ไปเลย แต่ว่าพาร์ตของเราก็อาจจะซอฟต์ลงมาหน่อย หนูคิดว่าคนดูก็น่าจะเอ็นจอยค่ะ”




ในเรื่องนี้ถือว่าเธอได้รับบทบาทสำคัญ เพราะเธอได้รับบทเป็นนางเอก ซึ่งบทบาทที่เธอได้รับนั้นคือคุณหมอสาว ที่มีบุคลิกนิ่ง สุขุม ซึ่งแตกต่างจากบุคลิกของเธออย่างสิ้นเชิง เพราะความจริงแล้วนิสัยของเธอจะเป็นคนชิลชิล ง่ายๆ สบายๆ เสียมากกว่า

“รับบทเป็นหทัยรัตน์ค่ะ เป็นคุณหมอสาวที่มีความมั่นคงในความรัก เป็นคนเก่ง เป็นเด็กกิจกรรมมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็มาคบกับยงยุทธซึ่งเป็นพี่เพื่อน (คณิน ชอบประดิถ) ก็คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วธนา รับบทโดยอาโป (ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) ก็จะตามจีบเราตลอด ซึ่งธนากับยงยุทธเป็นพี่น้องคนละพ่อ และเขา 2 คนก็มาชอบเรา ด้วยความที่เรารักยงยุทธคนเดียว ก็จะไม่เผื่อใจให้ธนาเลย จนวันหนึ่งก็มีเหตุการณ์อะไรหลายๆ อย่าง ในเรื่องมันยุ่งยากขึ้น

ในบทเป็นผู้หญิงเรียบร้อย เป็นคนเก่ง ในบทนี้ไม่ตรงค่ะ เพราะว่าหนูเป็นคนที่ค่อนข้างจะง้องแง้งแล้วก็เป็นคนชิลชิล แต่คือหทัยรัตน์จะเป็นคุณหมอสาวที่เวลาพูดจาก็จะพูดจาฉะฉาน แล้วก็จะดูเป็นคนสุขุม ซึ่งหนูไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ ก็จะต่างกัน”

ด้วยแววตาและน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความรู้สึกดีใจอย่างสุดๆ เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามเธอต่อไปว่า คิดว่าตัวเธอนั้นมีดีอย่างไร ที่ผ่านงานแสดงมาเพียง 1 เรื่อง แต่ได้รับการไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้รับบทเด่นที่เป็นถึงนางเอกของเรื่อง

“อันนี้หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่เราเล่นThe Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ มันก็เป็นงานหินสำหรับเรา เป็นเรื่องแรกแล้วบทมันก็ยากมาก และพอได้มาแคสต์และด้วยความที่เราเข้าใจการแสดงมากขึ้น เราเปิดใจ ผู้ใหญ่ก็น่าจะให้โอกาสเราได้ลองเล่นบทอะไรใหม่ๆ ที่มันแตกต่างจากบทแรก แล้วก็ทำได้

หนูอ่ะ ดีใจมาก (ลากเสียงยาว) เพราะว่าหนูไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นนางเอก คือเราก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าเราเข้ามาในวงการเพื่อที่จะเป็นนางเอก เหมือนตอนที่เล่นเรื่องแรกหนูก็ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะมีเรื่องที่ 2 แล้วพอเรื่องนี้ได้เล่นเป็นนางเอก ก็ดีใจมากเพราะว่าตั้งแต่ได้อ่านตอนแรก ก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้คงจะเป็นละครที่คนไทยหลายๆ คนชอบ พอผลงานมันออกมา พาร์ตผู้ใหญ่ออกมาไม่กี่ตอนฟีดแบ็กดีมาก รู้สึกแฮปปี้ แล้วก็ดีใจที่ผู้ใหญ่เห็น”




แม้ว่าเธอจะผ่านงานแสดงมาแล้วถึง 2 เรื่อง แต่บทบาทที่เธอได้รับถือว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเรื่องแรกของเธอนั้นถือเป็นงานหินอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะเธอได้รับบทที่ต้องใช้จินตนาการสูง และเมื่อมาเล่นเรื่องที่ 2 มันก็ไม่ได้ง่ายขึ้นแต่เธอกลับเข้าใจว่าการแสดงจริงๆ มันคืออะไร

“บทแรกที่หนูเล่นคือเบญจา จะเป็นเด็กที่มีพลังพิเศษซึ่งอันนั้นมันก็จะใช้จินตนาการเยอะหน่อย มันเป็นเรื่องแรกซึ่งหนูไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อน เรื่องนั้นจึงค่อนข้างยากแล้วต้องใช้จินตนาการเยอะด้วย มันเลยยากกว่า ส่วนอันนี้มันก็จะเป็นตัวละครที่เหมือนกับชีวิตคนจริงๆ ซึ่งหมอก็เป็นคนธรรมดา เรื่องนั้นก็สนุกเรื่องนี้ก็สนุก ก็ชอบทั้ง 2 อัน มันได้เล่นเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา

รู้สึกว่าเราสามารถเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นจากเรื่องแรก ด้วยความที่เรื่องแรกเราใหม่มาก แล้วเรื่องนี้เหมือนเราก็ผ่าน ซึ่ง The Sixth Sense มัน 50 ตอน มันเยอะมาก แล้วก็ใช้เวลา เราก็มีเวลาเข้าใจว่าการแสดงจริงๆ แล้วมันคืออะไร แล้วพอมาได้เล่นเรื่องนี้บทมันก็ไม่ได้ง่ายขึ้นนะ แต่เหมือนเราจะต้องเข้าใจกับการเป็นอีกคาแร็กเตอร์หนึ่ง ซึ่งเวลาคนมีอาชีพเป็นหมอเขาควรจะทำยังไง มีวิธีการพูดยังไง อะไรแบบนี้ พอมาเล่นมันก็ยากนะ แต่มันก็เข้าใจได้ง่ายขึ้นจากเรื่องแรก”

เมื่อถามถึงอุปสรรคในการถ่ายทำ เธอกล่าวว่า ก็มีบ้างเพราะในพาร์ตรุ่นลูกมีแต่นักแสดงหน้าใหม่ๆ ที่ใหม่ทางด้านการแสดงกันทั้งนั้น ซึ่งบางครั้งมันก็อาจจะจูนกันยากหน่อย

“เรื่องแรกหนูเล่นกับพี่หลุยส์ (หลุยส์ สก๊อต) พี่จ๊ะ (จิตตาภา แจ่มปฐม) ซึ่งเขามีประสบการณ์กันมาอยู่แล้ว แล้วตอนนี้คือหนูเล่นกับนักแสดงรุ่นเดียวกันซึ่งเราก็ใหม่กันทั้งหนู ทั้งเพื่อน ทั้งอาโป ซึ่งบางครั้งมันก็อาจจะจูนกันยากหน่อย แต่เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด คือหนูก็ทำการบ้าน ก่อนที่จะถ่ายหน้าเซตจะมีคุยกับผู้กำกับว่าเราจะต้องทำยังไง คือเหมือนเราก็ทำพาร์ตของเราให้ดี และคนอื่นก็น่าจะดีด้วย ก็ไม่ทำงานยากนะคะ คือเหมือนผู้กำกับเขาเก่งอยู่แล้วค่ะ เขาสามารถมีวิธีพูดให้เราเข้าใจ”




ด้วยความที่เธอยังใหม่กับวงการการแสดง ดังนั้น การที่ได้เขาฉากกับนักแสดงรุ่นใหญ่ ถือเป็นฉากหนึ่งที่เธอประทับใจไม่รู้ลืม และถึงแม้ว่าเธอออกอาการเขินหรือตื่นเต้นมากขนาดไหนแต่เธอก็ต้องข่มอารมณ์นั้นไว้เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงของนักแสดงรุ่นพี่ๆ

“ด้วยความที่ว่าหนูไม่ได้เป็นลูกของฝ่ายไหนเลย เป็นแค่ตัวกลางระหว่าง 2 คน พี่น้อง เราก็จะไม่ค่อยได้เข้าฉากกับผู้ใหญ่ได้เท่า 2 คน แล้วพอได้เข้าฉากหนึ่งเป็นฉากที่พี่โดนัท (มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล) เขาจะตายค่ะ คือเราก็ได้เข้าฉากกับพี่แหม่ม (จินตหรา สุขพัฒน์) พี่เบนซ์ (พรชิตา ณ สงขลา) เลยรู้สึกว่าแบบมันจริงนะ เวลารู้สึกเล่นแล้วรู้สึกว่ามันจริงมันให้ความรู้สึกประทับใจ มันรู้สึกว่า เฮ้ย... นี่มันคือการแสดง มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ไม่รู้สึกเกร็งคือหนู รู้สึกว่ายิ่งเกร็งมันยิ่งทำให้เป็นตัวถ่วงเขามากกว่า แล้วด้วยความที่เขาเก่งอยู่แล้วเขาส่งอารมณ์ให้เราได้เต็มที่ เรารู้สึกว่าปลดปล่อยตัวเอง เปิดตัวเองได้มากกว่า ฉะนั้นเราก็จะไม่เกร็ง”

เธอไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายนักแต่อยากให้คนดูดูไปจนจบเรื่อง เพราะละครเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่คนไทยหลายๆ คนก็ชอบ และแต่ละตัวละครก็จะสอนในวิธีที่แตกต่างกันไป

“ก่อนที่ละครจะออนแอร์ คือตั้งแต่อย่างที่บอกตอนแรกว่าที่อ่านบทแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนไทยหลายๆ คนก็จะชอบ เราก็เห็นพาร์ตผู้ใหญ่ที่เขาเล่นมานิดนึงก่อนที่จะตัดต่อ เรารู้สึกว่า เฮ้ย มันเจ๋ง แล้วหนูก็ได้ดูพาร์ตที่ออนแอร์มา 2 อาทิตย์ที่แล้วนะคะ แล้วไม่น่าเชื่อว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้ และถ้าถามว่าเราคาดหวังมากแค่ไหน คือเราก็แค่จุดมุ่งหมายคืออยากให้คนดู ดูแล้วแบบเอ็นจอย แล้วเรื่องนี้สอนคนดูมาก หนูก็แค่อยากให้คนดูสนุก

ถ้าถามว่าตอนแรกคิดว่าจะเปรี้ยงมั้ย เราจะไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น แต่พอฟีดแบ็กมาดีเราก็แค่อยากให้คนดูดูไปจนจบ ไม่ใช่ว่าพาร์ตผู้ใหญ่ไป แต่คือคนดูก็จะกลัวว่าพอรุ่นเด็กมามันจะสนุกมั้ย แต่จริงๆ แล้วพาร์ตผู้ใหญ่ก็ยังอยู่นะคะ ไม่ใช่ว่าหายไปพอมีพาร์ตเด็กแล้วก็ยังอยู่ก็คือมีลูกมีหลานเพิ่มขึ้นมา

ละครเรื่องนี้เป็นละครที่สอนหลายๆ คนมาก แต่ละตัวละครก็จะสอนในวิธีที่แตกต่างกันไป แต่คือหนูคิดว่ามันไม่ใช่ละครที่เอามันหรือทะเลาะกันอย่างเดียว มันสอนด้วยแล้วมันเป็นละคนที่ดีค่ะ ก็ยังไงก็ฝากทุกคนดูละครเรื่องสุดแค้นแสนรักด้วยนะคะ มันจะต้องสนุกแล้วก็เข้มข้นมากกว่านี้”

ถูกเลี้ยงมาแบบอยู่ในกรอบ

“ชิปปี้” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเธอฝากผลงานไว้ในวงการบันเทิงมากมาย ทั้งเล่นโฆษณา เล่นมิวสิกวิดีโอ ทว่า เริ่มแรกนั้นเธอจับพลัดจับผลูเข้าสู่วงการบันเทิงโดยการชักชวนของโมเดลลิ่ง

“หนูเรียนโรงเรียนนานาชาติมา จะมีเพื่อนที่เป็นลูกครึ่งแล้วเขาก็มีโมเดลลิ่ง แล้วเหมือนโมเดลลิงเห็นเราก็บอกว่าให้มาถ่ายรูปดูมั้ย แล้วด้วยความที่เราก็เป็นคนที่ขี้เล่น สนุก แล้วชอบถ่ายรูป เราก็ไปถ่ายรูปแล้วได้ไปแคสต์โฆษณา ก็ได้มาเรื่อยๆ จนมีโอกาสได้ไปแคสต์ละครเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ก็เป็นละครเรื่องแรกของเราเลย เราก็ไม่คิดว่าเราจะได้เล่นละคร แคสต์เรื่องแรกก็ได้เลย เหมือนเราไม่ได้คิดว่าเราจะเข้ามาในวงการอยู่แล้ว คือเราก็ทำเล่นๆ สนุกๆ เหมือนเพื่อนทำเราก็ทำด้วย

แล้วพอได้ไปแคสต์ละครเรื่องแรกก็หายไปเลยนะ เราก็คิดว่าเราคงไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะเราก็คิดแค่ว่าลองดูแล้วพอหายไปสักพักหนึ่งปรากฏว่าเราได้ แล้วก็แบบอ้าว...เฮ้ย เราได้ เราก็ดีใจมาก”




ทว่า การทำงานในวงการบันเทิงครั้งนี้ คุณพ่อของเธอไม่เห็นด้วย ด้วยความที่เธอเป็นลูกสาวคนเล็ก คุณพ่อจึงหวงเป็นธรรมดา และไม่อยากให้ลูกทำงาน อยากให้โฟกัสในเรื่องของการเรียนเสียมากกว่า

“จริงๆ แล้ว แม่จะยังไงก็ได้แต่พ่อไม่เลยค่ะ เป็นลูกคนเล็กด้วยเลยโดนหวงคือไม่อยากให้ลูกสาวทำงาน กลัวลูกสาวเหนื่อย ทั้งหวงทั้งห่วงเลยขนาดแบบไปเรียนก็จะโทรถามอยู่ไหน กลับบ้านได้แล้วนะ ตอนเข้ามาวงการบันเทิงแล้วเขาก็ไม่ว่า เพราะเขาคงแค่อยากให้ลูกโฟกัสในเรื่องการเรียน

เข้าวงการมาตอนอายุ 18-19 คือกำลังจะขึ้นปี 1 พ่อหนูดุ แต่แม่ไม่ดุเลย แม่เหมือนนางฟ้า ใจดีมากแล้วแม่จะเข้าใจเราเหมือนเป็นเพื่อนสนิทคุยได้ทุกเรื่อง คุยได้ตลอด ส่วนพ่อก็จะแบบเป็นคนค่อนข้างที่จะคือเขาจะพูดตลอดมีอะไรต้องมาใช้เหตุผลคุยกันนะ มีหลักการ จะห่วงเรามากกว่า

ถามว่าดื้อมั้ย หนูว่าหนูไม่ดื้อ แต่หนูซน ตั้งแต่เด็กๆ ก็จะทำอะไรเอง คือจะมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ว่าเราจะฟังพ่อแม่ตลอด ส่วนใหญ่แม่จะไม่อะไร ด้วยความที่พ่อจะเป็นห่วงมาก ตอนนั้นอายุ17-18 กลับบ้านดึกเพราะดูหนังดึก พ่อก็จะบอกเลิกเรียนแล้วทำไมไม่กลับบ้าน พ่อก็จะโมโหมาก หนูก็จะคิดว่าก็แค่ไปดูหนัง ไม่ได้ไปเที่ยวอะไร ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ ด้วยความที่พ่อหวงมาก ก็เข้าใจในความคิดของเขาที่ว่าดูหนังตอนกลางวันก็ได้ ทำไมต้องดูตอนกลางคืน ตอนนั้นเราก็คิดว่าดูกลางคืนมันก็สบายดีนะ ออกมารถไม่ติดกลับบ้านก็สบายดี หวงหนูมากที่สุด หนูก็เข้าใจเพราะหนูเป็นลูกคนเล็กสุด ยังไงก็ยังเป็นเบบี๋ของปะป๊าหม่าม๊า”




แม้เธอจะเป็นลูกสาวคนสุดท้อง แต่เธอก็ถูกเลี้ยงมาแบบไม่ได้ตามใจมากนะ คุณพ่อ-คุณแม่ ให้อิสระทางความคิด ให้ลูกได้ลองผิดลองถูก ให้ตัดสินใจเอง จนบางครั้งเธอก็แอบน้อยใจอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องราวเหล่านี้ผู้สัมภาษณ์คิดว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอโตเร็วกว่าคนอื่นๆ ถือว่าโตกว่าเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน

“ถามว่าโดนตามใจมั้ย ก็นิดนึงค่ะ ตอนเราอายุประมาณ 15 พ่อก็ให้ไปเรียนที่อเมริกา ตอนที่อยู่เมืองไทยก็เป็นวัยรุ่นปกติ คือพ่อแม่ก็จัดการนู้นนี่ให้ทุกอย่าง แต่พอไปนู้นเราทำทุกอย่างเองหมด ติดต่อโรงเรียนเอง มีบ้านพี่ชายอยู่ที่นั้นอยู่แล้ว คุณแม่ไปด้วย แต่คุณพ่ออยู่เมืองไทย ด้วยความที่เป็นคนไทยแม่ก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเก่งขนาดนั้น หนูก็จะเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง เพราะหนูกับพี่ชายก็จะเป็นคนจัดการตั้งแต่อายุ 15

จนกลับมาเมืองไทย หนูก็ติดต่อเรื่องมหาวิทยาลัยเองทุกอย่าง บางครั้งหนูก็คิดนะ น้อยใจนิดนึงว่าทำไมคนอื่นมีพ่อแม่ ติดต่อให้ หรือแบบเจอพ่อแม่คนอื่นเขาก็จะมาถามอยากให้ลูกเข้าแบบนี้ๆ แต่สำหรับหนูคือไม่เลย พ่อแม่จะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้ คือให้เราตัดสินใจเองแต่เราต้องบอกเขาว่าเราทำอะไรอยู่”

เธอถูกเลี้ยงมาแบบอยู่ในกรอบ แต่คุณพ่อ-คุณแม่ ก็ไม่ได้ปล่อยเธอเสียทีเดียว และจะพูดกับเธอเสมอว่า พ่อ-แม่ ไม่ได้จะอยู่เธอไปตลอด ด้วยเหตุนี้เองเธอเลยเป็นผู้หญิงแกร่งและคิดเสมอว่าเธอต้องยืนด้วยขาของตนเองให้ได้

“พ่อแม่ก็ไม่ได้ปล่อยนะคะ แต่คือให้มันอยู่ในกรอบเท่านั้นเอง เขาก็จะห่วงเราตลอด และพูดกับเราตลอดว่า ปะป๊า-หม่าม๊า ไม่ได้จะอยู่กับเราตลอดไป เราต้องสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ หนูเลยรู้สึกได้ว่าเราต้องยืนด้วยขาของตัวเองได้ ถามว่าตามใจคือเขาให้เราได้ลองผิดลองถูกเอง แต่ยังไงก็ตามเราทำอะไรเราบอกเขา แล้วบางครั้งเข้าก็จะบอกอันนี้ไม่ให้ทำนะ ไม่ได้อะไรแบบนี้”




เธอบอกเล่าเรื่องราวของเธอไปได้สักพักใหญ่ ทำให้รู้ว่าเธอเป็นหญิงสาวที่มีความแก่ง สามารถทำอะไรด้วยตนเองได้ และทำให้รู้ว่า ณ ตอนนี้เธอใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ อยู่คนเดียว

“ตอนนี้หนูอยู่คนเดียวค่ะ อยู่คอนโด พ่อแม่ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ทำเกสต์เฮ้าส์อยู่ที่เชียงใหม่ พี่ชายก็อยู่กับพ่อแม่ ตอนแรกหนูอยู่กับพี่สาว แต่พี่สาวเป็นแอร์โฮสเตสต้องบินบ่อยๆ หนูก็เลยอยู่คนเดียว ตอนแรกที่พี่ไปเราก็คิดว่า ดีอ่ะ (ยิ้มมุมปาก) ได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่ตอนพี่ไปสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ เราก็นอนอยู่ในห้องเวลานอนเรานอนเตียงเดียวกับพี่สาวไง พอตื่นมาก็จะอ๋อ! พี่อยู่ข้างนอกแต่ไม่ เราอยู่คนเดียว ก็จะมีความคิดแบบนั้นเพราะเราอยู่ด้วยกันตลอด
ทุกวันนี้เราก็อยู่คนเดียวบางครั้งเราก็ เหงาบ้าง ร้องไห้บ้าง แต่ก็โอเคค่ะ ตอนนี้พี่สาวก็บินอยู่ ตอนไหนที่เขาไม่ได้บินนานๆ เขาก็จะกลับมา หนูก็ใช้ชีวิตคนเดียว ทำงานแล้วก็เรียนค่ะ”

แอดเวนเจอร์ ขาลุย!

ด้วยภาพลักษณ์ในจอแก้ว อาจทำให้ใครหลายคนมองว่าเธอนั้นเป็นสาวหวาน เรียบร้อย แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะดูจากลักษณะกีฬาที่เธอชอบแล้วทั้งต่อยมวย ปีนเขา ฯลฯ เรียกได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงห้าวมากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว

“ต่อยมวยบ้าง ออกกำลังกายที่ฟิตเนสบ้าง ตอนแรกต่อยมาสักพักก่อนที่กีฬามวยจะฮิต ตอนนี้ทุกคนก็จะต่อยมวยใช่มั้ยคะ ตอนนั้นที่เราต่อยเพราะหนูเป็นคนชอบทำอะไรลุยๆ ปีนเขา ต่อยมวย เล่นแอดเวนเจอร์ ไรแบบนี้ แล้วเราเคยไปเล่นโยคะสักครั้งสองครั้ง แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่กีฬาของเรา คือหนูไม่สามารถโฟกัสอะไรนานๆ ได้ไม่ค่อยมีสมาธิ ต่อยมวยมันเป็นกีฬาคาร์ดิโอซึ่งมันได้ออกกำลังกายแล้วได้ป้องกันตัวด้วย

คือก่อนหน้านี้หนูไม่ได้ออกกำลังกายเลย แล้วพอได้ออกแล้วรู้สึกว่ามันมันดี เหมือนได้ปลดปล่อย ได้เตะต่อย หนูชอบแล้วมันได้ออกกำลังกายด้วย ก็เลยติด ต่อยมา 2-3 ปีแล้วค่ะ ช่วงนี้ไม่ได้ต่อยทุกอาทิตย์ ถ้ามีเวลาก็อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง หรือแบบถ้าช่วงบ้าๆ หนูไปทุกวันเลย คือมีเวลาว่าง อยากไป อยากต่อย เวลาออกกำลังกายแล้วมันรู้สึกดีค่ะ มันสดชื่น”



เธอเล่าต่อด้วยสีหน้าจริงจังว่า ที่เธอเล่นกีฬาชนิดนี้ไม่ได้เรียนเพื่อไปชกในชีวิตจริง แต่เธอเรียนเพื่อที่จะออกกำลังกาย เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่ได้ต่อยเอามัน แต่เธอค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ในเรื่องของท่าแม่ไม้มวยไทยมากกว่า

“หนูเรียนเพื่อที่จะออกกำลังกาย ไม่ได้เรียนเพื่อที่จะไปชกในชีวิตจริง แต่มันก็จะมีพวกแม่ไม้มวยไทย ท่าแต่ละท่าที่เราทำแล้วมันสนุก อย่างแรกที่บางคนที่เข้าไปต่อย เขาก็จะต่อยเร็วๆ รีบต่อย เอามัน แต่อย่างหนูเอาท่าให้มันสวย ให้มันถูกต้อง ตอนนี้ได้หลายท่าแล้วนะคะ (อมยิ้ม) สำหรับหนูไม่ยาก เทรนเนอร์ก็จะแซวว่าเป็นผู้ชายมาก่อนรึเปล่า ทำไมมือไม้หนักจัง หนูก็ชวนเพื่อนไปเล่นตลอด ตอนแรกเพื่อนก็ไม่ไป แต่พอไปแล้วเพื่อนก็ชอบ ก็สนุกค่ะ”

นอกจากชอบเล่นกีฬาแบบแอดเวนเจอร์ที่ไม่เหมือนสาวๆ คนอื่นแล้ว เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของเธอคือ รอยยิ้ม ที่ใครๆ ก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเวลาเธอยิ้มแล้ว เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ที่สำคัญเธอเป็นคนขี้อ้อนมากๆ มีความเป็นตัวเองสูง และเธอเป็นคนสบายๆ ไม่ค่อยเก็บอะไรมาคิดเยอะ แต่ถ้าเธอนิ่งก็จะกลายเป็นคนหน้าดุทันที จนมีครั้งหนึ่งรุ่นน้องที่โรงเรียนหาว่าเธอไม่ชอบ เพราะคิดเธอทำหน้าบึ้งใส่

“แล้วแต่คนอื่นมองมากกว่าค่ะ อาจจะเป็นยิ้มมั้งคะ ยิ้มแล้วโลกสวยอะไรแบบนี้ แต่เป็นคนหน้าดุ ถ้าทำหน้านิ่งแล้วจะตาคว่ำ ปากคว่ำ ตอนเรียนอยู่ที่นานาชาติ หนูก็จะเดินไปกินข้าว เดินเฉยๆ ก็จะมีรุ่นน้องมาบอกพี่ชิปปี้ไม่ชอบหนูรึเปล่า คือไม่เลยพี่มองน้องเหรอ (หัวเราะ) คือหนูก็ไม่รู้ตัว ถ้านิ่งๆ แล้วหน้าจะดุ จะดูเหวี่ยงๆ คือด้วยความที่เราไม่ค่อยอะไรอยู่แล้ว เป็นคนที่ไม่คิดร้ายกับคน แต่ถ้าจะมาให้ยิ้มตลอดเวลามันก็ไม่ใช่ เวลายิ้มก็จะยิ้มแบบจริงใจ

เป็นคนสบายๆ ไม่ค่อยดรามาเท่าไหร่ คือบางคนก็จะเป็นคนคิดมากหรือเป็นคนที่นู้นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แต่เราเป็นคนที่ให้สเปซกับตัวเอง ให้เราทำอะไรแล้วรู้สึกสบายใจ แล้วมันจะทำออกมาดีแบบนี้ค่ะ หนูคิดว่าหนูเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ถ้ามีคนไม่ชอบหนู หนูก็จะงงนิดนึง บางครั้งก็จะมีหน้าเหวี่ยงไม่ชอบ เราก็ทำไรไม่ได้ เพราะว่ามันคือความคิดของเขา เราก็ไม่ได้เกลียดเขาเราก็เข้าใจว่า มันคือสิ่งที่เขาเห็น แต่จริงๆ เราก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น”


ชิลชิล นี่แหละเธอ!

ต่อกันที่สไตล์การแต่งตัว เนื่องจากเธอเป็นคนง่ายๆ ชิลชิล อยู่แล้ว การใส่กระโปรงจึงถือว่าไม่ใช่ตัวตนของเธอเลย เธอชอบแนวคลาสสิก เพราะฉะนั้นการใส่กางเกง เสื้อเชิ้ตจะบ่งบอกความเป็นตัวเธอมากกว่า

“ชอบแต่งตัวสบายๆ ทำอะไรง่ายๆ อย่างเดียวที่ไม่ใส่เลยคือกระโปรง แต่การทำงานบางครั้งจำเป็นต้องใส่ ในชีวิตจริงถ้ากระโปรงสั้นหนูทำอะไรไม่สบาย จะใส่พวกกางเกง หรือผ้ายืดก็จะสบาย เสื้อเชิ้ต ชอบแต่งตัวแบบเพลนๆ ไม่ชอบพาร์ตเทลอะไรแบบนี้ไม่ใช่สไตล์หนูเลย เป็นคนชอบคลาสสิกมากกว่าค่ะ”




ด้วยความที่เป็นสบายๆ ไม่ได้แคร์มากว่าคนอื่นจะมองว่าเราต้องสวยตลอดเวลา หนูเป็นคนที่มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก ไม่ต้องเป๊ะตลอดเวลา เวลาเราแต่งหน้าคือเวลาเราทำงาน แค่นั้นมันก็แบบพอแล้ว พออย่างวันธรรมดาเราก็พักหน้า ถ้าวันไหนอยากแต่งหน้าออกจากบ้าน ก็อาจจะปัดแก้ม มาสคาร่า แค่นั้นพอ”

หากเธอมีเวลาว่าง นอกจากการออกกำลังกายแล้ว วาดรูปก็เป็นส่วนหนึ่งที่เธอถนัดเพราะว่าจะได้ช่วยพัฒนาเรื่องฝีมือไปเรื่อยๆ ด้วย และอีกหนึ่งกิจกรรมโปรดคือการร้องเพลง

“วาดรูปบ้าง เพราะว่าเรียน Communication Fashion Design ไม่ได้ชอบมาตั้งแต่เด็กแต่รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ เรื่องฝีมือ วาดลายเส้น จริงๆ แล้วก็ชอบร้องเพลงอยู่คนเดียวนะ แบบอยู่บ้านร้องเพลง ไม่เคยเรียนร้องเพลง แต่ชอบฟังเพลง ทำให้รู้สึกรีแลกซ์ ถามว่าอยากเป็นนักร้องมั้ย ไม่ได้อยากเป็น แต่อยากมีเพลงเป็นของตัวเองนะ (ยิ้ม) อาจจะแค่เพลง สองเพลงพอแล้ว ชอบเพลงแจ๊ซ ชอบเพลงช้าๆ ฟังแล้วมันรีแลกซ์ ฟังแล้วสบายใจ แต่ไม่ค่อยร้องเพลงให้คนอื่นฟังหรอกค่ะ เพราะหนูเขิน (หัวเราะ)”

ปัจจุบันเธอกำลังศึกษาอยู่ที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการออกแบบและการสื่อสาร ชั้นปีที่ 3 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ภาคอินเตอร์) เธอบอกเล่าว่าทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยก็ถือว่าเหนื่อยและสาหัสอยู่เหมือนกัน เพราะคณะที่เธอเรียนงานค่อนข้างจะเยอะมาก อาจจะจบช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่าเธอทำในสิ่งที่ชอบควบคู่กันไปด้วย

“หนูอยากเป็นดีไซเนอร์ หนูรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่สามารถทำควบคู่กับอาชีพอื่น คือเหมือนเสริมมาได้ อย่างเป็นนักแสดงได้ก็เป็นดีไซเนอร์ได้ในเวลาเดียวกัน ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทุกวันนี้เรียนไม่สามารถลงทุกตัวได้ วันไหนที่มีเรียนเราก็จะแจ้งคิวกับผู้จัดการว่าเราต้องเรียน เราก็จะทำงานในวันที่เราไม่ได้เรียน เหนื่อยมากแต่ก็ทนได้ค่ะ




ที่เลือกเรียนอันนี้ เพราะว่าจริงๆ แล้วชอบอยากเรียนแฟชั่นดีไซน์ แต่พ่อแม่อยากให้เข้าจุฬาฯ เราก็ดูว่ามีคณะไหนบ้างที่เหมาะกับตัวเราได้ ก็เลยเลือกคณะนี้ เพราะถ้าจบแล้วมันก็คือการดีไซน์อย่างนึง แล้วก็สามารถไปต่อยอดได้ในปริญญาโทได้ค่ะตอนนี้อยู่ปี 3 ใกล้จบแล้ว แต่คงยังไม่จบค่ะ (ยิ้มขี้เล่น) เหมือนเราทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่สามารถลงเรียนตัวที่คนอื่นเขาลงได้ ก็อาจจะจบช้าหน่อย

เรียนยาก งานเยอะมาก เหมือนมันอยู่ในคณะสถาปัตยกรรม งานเยอะมาก (ลากเสียงยาว) เรารู้สึกว่าในหนึ่งอาทิตย์โปรเจกต์ใหญ่ที่เราทำในไฮสกูลทั้งเทอม แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ในอาทิตย์นึง คือมันเยอะมาก แล้วงานมันหนัก เราก็ไม่สามารถลงทุกตัวได้ ไม่งั้นเราตายแน่นอน (หัวเราะ)”

หลงเสน่ห์ละคร เข้าอย่างจัง!

เมื่อครั้งที่เธอเริ่มเล่นละครเรื่องแรก เธอกลับไม่ชอบมัน และคิดว่าจะแสดงเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ เป็นเรื่องแรกและเรื่องสุดท้าย และเธอก็ทำมันไม่ดีเท่าที่ควร เหตุนี้เองทำให้เธออยากเอาชนะใจตนเองจึงพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายจึงค้นพบว่าแท้จริงแล้วงานละครคืองานที่เธอชอบ

“ตอนแรกไม่ชอบเลย ตอนเรียนแอ็กติ้ง ก็ตกลงแล้วว่าจะเล่นThe Sixth Sense ตอนนั้นเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 เราไม่มีเพื่อน เราไม่สามารถไปรับน้องได้ เรารู้สึกว่าเราเป็นคนนอก ทุกวันก็จะทำงาน จนไม่มีเวลาได้ทำอะไรเหมือนที่คนอื่นเขาทำ แล้วก็ยังไม่เข้าใจการแสดง เราก็ยังไม่รู้สึกว่าเราชอบ เราไม่อยากทำ รู้สึกว่าทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย แต่ด้วยความที่เราตอบรับเขาไปแล้วว่าเราเล่น เราก็คุยกับครูแอ็กติ้ง ครูแอ็กติ้งก็บอกว่าโอเคถ้าเกิดว่าเราไม่อยากทำ อย่างน้อยก็ทำเรื่องนี้ให้เสร็จ เพราะไหนๆ เราก็ถ่ายไปแล้ว เราก็โอเคงั้นเราทำเรื่องนี้แล้วกัน เรื่องนี้ดีเรื่องหน้าไม่ทำอีกก็ได้ อย่างน้อยก็ทำอันนี้ให้ดีที่สุด




พอเราเล่นไม่ดี เราก็รู้ตัวว่าเราเล่นไม่ดี พอเล่นไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ามันไม่ได้ มันต้องทำให้ดีกว่านี้ ก็เป็นแบบนี้อยู่ 2-3 ครั้ง คิดว่ามันต้องดีได้อีก คือเราอาจจะยังไม่แน่ใจว่าอยากทำอาชีพนี้รึเปล่าแต่สำหรับเรา คนอื่น พี่จ๊ะ พี่หลุยส์ อันนั้นคืออาชีพของเขา เราก็จะมาแบบทำดีบ้าง ไม่ดีบ้าง มันก็ไม่ได้ พอทำไปเรื่อยๆ เราเข้าใจ เราก้าวข้ามจุดนั้นมาแล้ว แล้วทุกอย่างมันก็ลงตัวมากขึ้น เราก็คิดว่าเล่นจริงๆ มันสนุกนะ”

ปัญหาครั้งนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เครียดมากสำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง ที่ต้องแบกรับภาระทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงาน แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บไว้คนเดียวโดยไม่ได้บอกใคร เพราะเธอถือว่ามันเป็นปัญหาของตัวเธอเอง เธอก็ต้องแก้ไขด้วยตัวมันเอง

“เราไม่ได้ปรึกษาใคร มันเป็นอะไรที่เราเลือกเอง เราต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเราเองได้ ก็ไม่ได้อยากให้พ่อแม่หนักใจ คิดว่ามันคือปัญหาของเราเอง พอให้คนอื่นรู้ คนอื่นก็หนักใจเปล่าๆ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็คือเราจริงๆ ที่แก้ปัญหาเองได้ คือคนอื่นอาจจะให้คำปรึกษา แต่ถ้าเขาไม่ได้เป็นเราเขาก็อาจจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไง คือให้คำปรึกษาในมุมของเขา ซึ่งอาจจะใช้ได้หรือว่าใช้ไม่ได้เลยในการแก้ปัญหาของเรา ถ้าเครียดมาๆ ก็รอเวลาไป ก็มีไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันนะ เหมือนเวลาผ่านไป มันก็เริ่มดีขึ้นบ้าง”




เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เธอหลงเสน่ห์ของการเป็นนักแสดง จนถึงตอนนี้ได้รับการไว้วางใจจากผู้ใหญ่ ทำให้เธอมีละครถึง 3 เรื่องด้วยกัน และเธอก็ไม่ได้คิดว่าเธอได้รับบทเป็นนางเอกแล้วจะต้องเป็นนางเอกตลอดไป เธอสามารถรับเล่นบทอะไรก็ได้ ขอแค่ทำแล้วมีความสุขก็พอ

“อยากลองเล่นหลายๆ อย่าง ตอนนี้ก็ได้เล่น 3 เรื่อง คาแร็กเตอร์ก็จะต่างกันไปเลย มันก็สนุกอยากลองเล่นอะไรที่บ้าๆ เปิ่นๆ มันๆ นางเอกนางร้ายจริงๆ เราชอบทั้ง 2 นะ ที่เราได้รับบทเป็นนางร้าย เราไม่ได้คิดว่าเราเป็นตัวร้าย จุดมุ่งหมายของตัวละคน มันก็ต่างกัน

ฉะนั้นวิธีที่ทำให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการแต่ละอย่างมันก็ต่างกัน มันก็สนุก ทั้ง 2 หนูก็ชอบทั้ง 2 หนูไม่ได้หวังว่าตัวเองจะต้องเป็นนางเอก หนูแค่เอ็นจอยกับการที่ได้แสดงเป็นคนอื่นหนูก็สนุกกับมัน ก็ไม่ได้ฟิกว่าจะต้องเป็นนางเอก แค่ทำแล้วสนุกก็โอเคแล้วค่ะ”


ใช้ชีวิตกลางๆ ให้มีความสุข

การมองอนาคตระยะยาว ถือเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเธอ เธอไม่ได้ต้องการที่จะเป็นดาราที่โด่งดังหรือเป็นคนที่รวยที่สุดเธอขอใช้ชีวิตกลางๆ ทำทุกวันให้มีความสุขก็พอ

“ก็ไม่ได้มองตัวเองไกลขนาดนั้น หนูแค่ใช้ชีวิตที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ไม่ได้มองว่าฉันต้องเป็นดาราดังมาก หรือว่าต้องเป็นคนที่รวยที่สุด ไม่ค่ะ คือตอนนี้หนูไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตคืออะไร แต่รู้ว่าอย่างแรกที่สำคัญที่สุดคือทำแล้วต้องมีความสุข มันสบายใจ แล้วมันจะทำออกมาได้ดี

ถือว่าหนูใหม่ในวงการ หนูก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก หน้าที่ของหนูคือทำละครออกมาให้มันดีที่สุด หนูก็ไม่ได้ไปโฟกัสว่าฉันจะต้องดัง มีข่าวตลอดเวลา คือไม่ต้องมีข่าวก็ได้ คือคนสามารถชอบเราได้ ไม่มีคู่จิ้นก็ไม่เป็นไรค่ะ แค่มีงาน แล้วมีความสุขในทุกๆ วันก็พอ อยู่ตรงไหนก็ได้ กินอะไรก็ได้ คือทำแล้วต้องมีความสุข แล้วชีวิตก็จะไม่เครียด ไม่ได้คาดหวังแต่ก็ค่อยๆ ไปตามสเต็ปของมันแล้วกันค่ะ (อมยิ้ม)”




ต่อข้อซักถามที่ว่า คิดว่าทุกวันนี้ประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง เพราะดูเหมือนจะเพียบพร้อมทั้งด้านการเรียน และงานแสดง เธอกลับมองว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเพราะคิดว่าเธอทำดีได้มากกว่านี้

“ยังค่ะ หนูว่ายังอีกนาน จนถึงวันที่รู้สึกว่ามีพอ หนูว่ามันดีได้มากกว่านี้อีก เรื่องธุรกิจก็อยากทำนะคะ แต่หนูว่าอยากเรียนกับทำละครให้ได้ดีมากกว่านี้ก่อน เพราะว่าถ้าเรามีอีกอย่างที่เราต้องมาให้ความสำคัญกับมัน 2 อย่างนั้นมันอาจจะทำให้เราทำดีได้ไม่พอ”




ทิ้งท้ายไปกับเรื่องความรัก สาวน้อยตอบแบบท่าทีเขินๆ ว่า “ก็มีคุยๆ อยู่บ้างค่ะ” สำหรับเธอแล้วความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากมีความรักแล้วต้องพัฒนากันไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ในทางที่แย่ลง

“หนูคิดว่าที่คนอื่นเขาจะห่วงเรื่องความรัก เพราะบางทีก็อาจจะทำให้แย่ไปเลย แต่สำหรับหนูมันคือสิ่งที่สวยงาม เวลาที่เราชอบใครคนนึง หรือรักใครคนนึง มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่ดีต่อกัน เราต้องอยากให้ทั้ง 2 คน ดีด้วยกันทั้งคู่ พัฒนากันไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่ในทางที่แย่ลง แล้วก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน เพราะว่าเวลาที่เราคุยกับใครคนนึง เขาต้องเป็นเพื่อนสนิทเราได้ด้วย คือเป็นคนที่สามารถคุยกับเราได้ทุกเรื่องเหมือนกับครอบครัว (ยิ้มเขินๆ)”

สำหรับเธอแล้วเป็นคนไม่มีสเปก ไม่ได้มองคนที่หน้าตา แค่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกสบายใจ และที่สำคัญที่สุดต้องเป็นคนจิตใจดี รักครอบครัว

“ไม่มีสเปกค่ะ แต่เป็นคนชอบคนที่จิตใจดี ต้องเป็นที่แบบเข้าใจ รักครอบครัว ไม่จำเป็นต้องโตกว่าเราเพราะจะดูแลเราได้ เพราะหนูมั่นใจว่าหนูดูแลตัวเองได้ หน้าตาไม่เกี่ยวแค่รู้สึกว่าอยู่ด้วยกันแล้ว คุยกันได้รู้สึกสบายใจ

ถามว่าเคยอกหักมั้ย หนูไม่ได้เป็นคนที่โฟกัสเรื่องความรักมากๆ หนูจะเป็นที่ให้สเปซกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือเรื่องความรักก็ตาม ฉะนั้นหนูจะเผื่อตัวเองเอาไว้ก่อนเสมอ”







ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : ชิปปี้-ศิรินทร์ ปรีดียานนท์
วันเกิด : 23 กรกฎาคม 2536
การศึกษา : ปี3 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการออกแบบและการสื่อสาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ภาคอินเตอร์)
ผลงานโดดเด่น : ละครเรื่อง The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ 2 ,สุดแค้นแสนรัก


สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: กรกนก วงษ์สุวรรณ
ภาพโดย: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพบางส่วน: อินสตาแกรม “sirinissirin”




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น