xs
xsm
sm
md
lg

สวย สะกด ทุกสายตา “แคท-ซอนญ่า” นางเอกน้องใหม่แห่งวิกหมอชิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อะไรทำให้ศิลปินสาวสวยตัดสินใจวางไมค์ไปแสดงในจอแก้ว? ทั้งๆ ที่กำลังโด่งดัง? มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะตอบได้ “แคท-ซอนญ่า สิงหะ” และต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์ของเธอ

 
ตัดสินใจ! หันหลังให้วงการเพลง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่มักจะคุ้นชินและรู้จักกับเธอในนาม “KAT-PAT” ศิลปินคู่จากค่ายเพลงกามิกาเซ่ เสียมากกว่าการเป็นนักแสดง ซึ่งถือว่าในขณะนั้นเป็นศิลปินที่โด่งดังเลยทีเดียว ผู้สัมภาษณ์จึงแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจหันหลังให้กับวงการเพลงและเอาดีทางด้านการแสดงแทน เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่าคงเป็นเพราะ ความอิ่มตัว

“จริงๆ ก็ไม่เชิงหันหลังค่ะ ด้วยความที่ว่าแคทกับแพทเราเซ็นสัญญากับทางอาร์เอสมาค่อนข้างเด็กมากประมาณ 10 กว่าขวบ เราก็อยู่กับทางอาร์เอสมาตลอด มันก็จะมีการเทรนด์คือเราเลิกเรียนเราก็ต้องไปเทรนด์แล้ว ไปร้องเพลงเหมือนเป็นศิลปินฝึกหัด เราก็จะอยู่อาร์เอสจนเราชินมาก สนิทกับทุกคน แล้วเค้าก็มองเหมือนเราเป็นลูกหลาน”




ด้วยความที่เธอได้อะไรมาง่ายๆ และอยู่กับอาร์เอสมาตั้งเธอยังเด็ก ทำให้บางครั้งเธอกลายเป็นเด็กดื้อ ไม่ตั้งใจฝึกซ้อมเท่าที่ควรและไม่เห็นคุณค่าของอาชีพตัวเอง จนทำให้ผู้ใหญ่หลายๆ คนผิดหวังในตัวเธอ

“เราอยู่อาร์เอสทุกวันเป็นระยะเวลาค่อนข้างนานมาก มันทำให้เรารู้สึกว่าบางทีเอาแต่ใจเป็นเด็กดื้อ เพราะว่ามันได้อะไรมาง่ายๆ บางคนกว่าที่เค้าจะทำตามฝันเค้าก็ต้องมาเรียนร้องเพลงกันตั้งแต่เด็ก บางคนต้องประกวด มีหลายขั้นตอนมาก กว่าจะได้มาเป็นนักร้อง แต่สำหรับเราเราเข้ามาง่ายๆ มันเลยทำให้เราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ว่าเราควรจะใส่ใจกับอาชีพว่ามันเป็นอาชีพนะ เราไม่ได้มาร้องเพลงเล่นๆ

ตอนนั้นด้วยความที่เรายังเด็กเราเลยรู้สึกว่า เราไม่ซีเรียส บางทีไปซ้อมก็โดด แล้วก็ไม่ตั้งใจเท่าที่ควร เลยทำให้ผู้ใหญ่หลายๆ คนเค้าผิดหวัง แต่เค้าก็ยังให้โอกาสเราเรื่อยๆ เพราะเค้ามองว่าเราเป็นเด็ก ซึ่งสุดท้ายเราก็รู้สึกแย่ว่าตอนนั้นถ้าเราโตกว่านั้น เราก็คงจะตั้งใจ”




ด้วยความที่เป็นศิลปินคู่จึงต้องร้องเพลงคู่กัน แต่หากคนใดคนหนึ่งไม่ชอบทางด้านนี้ก็ถือว่าไปทางนี้ด้วยกันไม่ได้เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วถึงคราที่เธอกับน้องสาวต้องตัดสินใจ แพทหันไปเอาดีทางด้านการเรียน จนจบปริญญาตรีทั้งที่อายุเพียงแค่ 19 ปี ส่วนแคทหันมาเป็นนักแสดงเต็มตัวจากการชักชวนของผู้จัดการ

“พอตอนหลังโตขึ้น ก็มีการคุยกับน้องสาวว่า เอ๊ะ...ยังไงดี เหมือนบางทีเราอิ่มตัว เราอยู่อาร์เอสมานานแล้ว น้องสาวก็บอกว่าจริงๆ แล้วไม่ชอบทำตรงนี้ พอเวลาร้องเพลงเป็นคู่มันก็ต้องชอบทั้งคู่ใช่มั้ยคะ พอน้องสาวบอกว่าเค้าไม่อยากทำเราก็เลยตัดสินใจว่าเอายังไงดี

ด้วยความที่ว่าเวลาเดียวกันเราก็ได้มีโอกาสมาเจอผู้จัดการ เลยได้เข้ามาคุยผู้จัดการก็เลยถามว่าอยากลองเล่นละครมั้ย เราก็อยากลองนะมันก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี ส่วนน้องแพทเค้าก็มุ่งไปที่การเรียน ตอนนี้ก็เรียนจบปริญญาตรีแล้วทั้งๆ ที่อายุ 19 เอง”






เธอเล่าต่อว่า อาร์เอสเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของเธอไปแล้ว และทุกวันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน หนำซ้ำยังมี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเอามากๆ เธอยังเข้าไปหาพบปะพูดคุยได้เสมอ เพราะทุกคนรักเธอเหมือนลูกคนหนึ่ง

“กับอาร์เอสตอนนี้เราก็มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากๆ บางทีถ้าเราไปร้องเพลงตามงานเราก็ยังเข้าไปอาร์เอสได้ตลอด ไปอัด ไปเจอครูสอนร้องเพลง ไปเจอผู้ใหญ่ ได้หมดเลย เราอยู่มาเป็นบ้านหลังที่ 2 ของเราแล้ว

พอวันหนึ่งเราบอกว่าเราอยากออกไปทำอย่างอื่น สนใจเกี่ยวกับการแสดงเซ็นสัญญากับช่อง 7 ทางอาร์เอสเค้าก็ยอม ทุกคนเห็นเราเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ถ้าเราจะมีอนาคตที่แปลกใหม่หรือว่าเป็นสิ่งที่เราจะไปได้ไกลกว่านั้นเค้าก็ยอมอยู่แล้วค่ะก็คือจะไม่ได้มีปัญหากัน

ทุกคนเค้าก็จะโทร.มาถามตลอดว่า เล่นละครไปถึงไหนแล้วเป็นยังไงบ้าง ทุกคนก็ติดตามผลงานอยู่ บางทีเราเข้าไปนั่งเล่นที่บริษัททุกคนก็ยังให้มาเซ็นนู่นเซ็นนี่ เพราะว่าทุกคนเค้าก็รักเราเหมือนลูก”

“18 มงกุฎ” มือใหม่
เธอนัดทีมงาน M-Lite ที่กองละครปลาหลงฟ้า ซึ่งกำลังออนแอร์ทางช่อง 7 อยู่ในขณะนี้ ทีมงานไปถึงก่อนเวลาจึงทำให้นั่งรออยู่สักพักใหญ่ แต่เมื่อถึงเวลานัดจริงสาวร่างเล็กหน้าตาดูจิ้มลิ้มก็ปรากฏตัวขึ้น ทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ตรงต่อเวลาเสียจริงๆ




เมื่อถามถึงละครออนแอร์ไปแล้วกระแสตอบรับน่าชื่นชมขนาดไหน เธอกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นกันเองว่ากระแสตอนนี้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวแถมยังมีคนกล่าวชมอยู่ไม่น้อยว่าเธอมีการพัฒนาการแสดงที่ดีขึ้น

“กระแสก็ค่อนข้างดีค่ะ เริ่มมีคนมาคอมเมนต์ในอินสตาแกรมหรือว่าเวลาไปไหนก็มีคนเรียกว่านิ หรือว่า นิรชา น้ำหวานบ้าง อะไรแบบนี้ค่ะ เพราะว่าในตัวเรื่องเหมือนเขาก็ต้องทำหลายอย่าง ทำสิ่งไม่ดีเพื่อที่จะเอาเงินไปช่วยเหลือแม่ ก็เลยจะมีหลายชื่อนิดนึง (หัวเราะ) ช่วงแรกๆ เราก็จะไปหลอกพระเอกไว้เยอะค่ะ ตอนหลังๆ จริงๆ ชื่อนิ ก็มีคนเรียกแล้ว กระแสในอินเทอร์เน็ตมีคนเขียนไว้เยอะบอกว่าเล่นละครมีการพัฒนาการจากเรื่องที่แล้ว (อมยิ้ม)

คาแรกเตอร์ตัวนี้จริงๆ แล้วถ้าดูผ่านๆ อาจจะคิดว่าร้ายๆ อย่างที่บอกคือบางทีเค้าต้องทำอาชีพเป็น 18 มงกุฎ เพราะว่าต้องเอาเงินไปรักษาแม่ที่เป็นมะเร็ง แต่จริงๆ แล้วนิสัยดีนะคะ (ยิ้มกรุ้มกริ่ม) ก็คือจะมีแค่ช่วงแรกๆ ค่ะ 2-3 ตอน ที่จะทำสิ่งไม่ดีแต่ตอนหลังเราก็จะสารภาพกับพระเอกว่าทำไปเพราะอะไร แล้วก็จะเริ่มเป็นคนดีขึ้น”




เมื่อถามว่าบทบาทที่ได้รับตรงกับตัวเองหรือไม่นั้น เธอเล่าด้วยท่าทางอารมณ์ขันออกแนวกวนๆ และบอกว่าละครเรื่องนี้ถือเป็นละครที่ชอบอีกเรื่องหนึ่งเพราะคาแรกเตอร์ก็มีส่วนคล้ายกับตัวเองอยู่บ้าง

“ตรงมั้ยหรอ ในเรื่องเป็น 18 มงกุฎ (หัวเราะ) ล้อเล่นนะคะ คือเรื่องนี้แคทค่อนข้างชอบ เพราะว่ามันไม่ใช่คนเรียบร้อยขนาดนั้น คาแรกเตอร์ในตัวละครค่อนข้างกลม เพราะว่าถ้าดูแล้วจะรู้สึกว่ามันมีทั้งการแสดงที่เค้าแสดง เวลาที่เค้าออกไปทำงานไปเป็น 18 มงกุฎ กับตอนที่เค้าอยู่กับแม่เค้าก็จะเป็นอีกคนหนึ่งเลย แคทรู้สึกว่ามันน่าสนใจ แล้วถ้าถามว่าคาแรกเตอร์ตรงกับแคทมั้ยก็มีส่วนคล้ายค่ะ ตอนที่เค้าแบบเป็นปกติ เพราะแคทก็เล่นเป็นคนปกติเลย เหมือนเป็นตัวเราที่เป็นปกติ”

ละครเรื่องนี้ถือว่าแตกต่างจากละครเรื่องคือหัตถาครองพิภพ ที่เธอฝากฝีไม้ลายมือไว้เป็นเรื่องแรกอย่างสิ้นเชิง ทำให้เธอไม่ซีเรียสมากนักแถมยังรู้สึกสนุก และเหมือนได้ปลดปล่อยกับการเล่นละครคอมเมดี้อีกด้วย

“แตกต่างมาก คือเรื่องนั้นมันจะค่อนข้างดรามามาก ร้องไห้ตลอดเวลา เรียบร้อยมาก (ลากเสียงยาว) พอมาเจอเรื่องนี้มันก็ไม่ได้หนักเท่า เพราะเรื่องนี้เป็นละครคอมเมดี้แต่ว่าพาสเรา ซีนเรา มันไม่ได้ตลกจ๋ามันก็จะมีความแอบน่ารักอยู่มีการแต่งตัวแบบสมัยใหม่ด้วย

จริงๆ ก็ชอบทั้ง 2 แบบเลยค่ะ แบบนี้แคทก็ชอบเพราะแคทรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ซีเรียส มันเหมือนได้พูดกัดมีต่อปากต่อคำกับพระเอกบ่อย เราก็รู้สึกว่ามันมันส์ดี ด้วยความที่ละครเรื่องนี้เป็นละครคอมเมดี้บรรยากาศกองก็จะตลกตลอดเวลา น่ารักค่ะ”




จากละครเรื่องแรกมาสู่ละครเรื่องที่ 2 นี้ เธอมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัด เพราะละครเรื่องแรกเหมือนเป็นงานหนักพอผ่านมาได้ เมื่อต้องเข้าฉากที่ร้องไห้เธอสามารถทำได้ง่ายขึ้น

“อย่างเรื่องที่แล้วจะมีอาโย (ทัศนีวรรณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา) เป็นแอกติ้งโคช ตอนที่แคทเข้าไปแสดงครั้งแรก แคทก็แบบร้องไห้ไม่ได้ แคทก็แอบเอายาหม่องไปป้ายตาและแบบเหมือนตากล้องเค้าก็ถามว่าทำไมตามันๆ ผู้กำกับเค้าก็บอกว่าไปดูหน้าน้องซิ ตาเป็นอะไรทำไมมันมันๆ สักพักเค้าก็ดมๆ อ้าวนี่ยาหม่องนิ่ (หัวเราะ) พออาโยรู้ก็โดนว่าเลย บอกห้ามนะ ห้ามทาอีก แล้วพอมาเรื่องนี้อาโยก็มาคุมอีกเพราะลูกสาวอาโยเป็นผู้จัด เราก็เลยใช้แผนนั้นไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องฝึกร้องไห้เอง (ยิ้มขี้เล่น)”




เห็นเป็นละครคอมเมดี้แบบนี้แล้ว อาจจะคิดว่าเป็นละครที่เบาสมองและคิดว่าไม่ยากนัก แต่ใครเล่าจะรู้สำหรับเธอถือเป็นงานหินอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะบทบาทที่เธอได้รับคือการมีแม่ป่วยที่เป็นมะเร็ง เธอไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้ จึงต้องศึกษาและทำการบ้านอย่างหนักอยู่เหมือนกัน

“ฉากที่ยากคือเราต้องร้องไห้เพราะแม่เรา ในเรื่องนี้แม่เราป่วยเป็นโรคมะเร็ง ทุกคนจะทราบดีอยู่แล้วว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งมันค่อนข้างจะซีเรียสแล้วมันหนักมากนะ แต่คือที่บ้านเราไม่มีใครป่วยเป็นโรคมะเร็ง ไม่มีใครป่วยเป็นโรคแบบหนักๆ เราก็เลยจะไม่ค่อยเข้าใจถึงความรู้สึกที่ถ้าเกิดพ่อแม่เราหรือบุพการี เป็นโรคที่รักษาไม่หายมันจะรู้สึกยังไง ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลาซึมซาบนิดนึง ก็ต้องทำความเข้าใจกับบทแล้วก็คาแรกเตอร์”

เปิดประตู สู่ครอบครัวแสนอบอุ่น
สำหรับเด็กทั่วๆ ไป พ่อ-แม่บางท่าน อาจจะไม่อยากให้ลูกเหนื่อยหรือทำงานตั้งแต่เด็ก แต่สำหรับพ่อ-แม่ของเธอแล้วท่านให้อิสระทางความคิด ให้ทำในสิ่งที่ลูกชอบและไม่เคยก้าวก่ายในเรื่องงาน ซึ่งเธอถือว่าเธอโชคดีเพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เธอโตเร็วกว่าคนอื่นๆ และสามารถตัดสินใจทำอะไรเองได้

“คุณพ่อ คุณแม่แคทเค้าจะเป็นคนที่ไม่เข้ามายุ่งกับงานเลยนะ ตั้งแต่เราโตมาเองก็คือไม่เคยมานั่งเฝ้าลูกทำงาน คือเค้าไม่ใช่แนวนั้น เราก็จะแฮปปี้ที่เค้าไม่ใช่แบบนั้น เพราะว่าอย่างบางทีแคทรู้สึกว่าต้องการกำลังใจพอ แคทรู้สึกดีที่เค้าปล่อยให้เราทำอะไรเองตั้งแต่เด็ก ปล่อยให้เราอยู่กับผู้ใหญ่เอง

ทำให้เราโตเร็วกว่าคนทั่วๆ ไป และมันทำให้เรารู้สึกว่าเราตัดสินใจอะไรเองได้ คุณพ่อ คุณแม่จะซัปพอร์ตทุกๆ ด้าน แต่แค่เค้าไม่ได้นั่งตามติดมาพูดนู้นพูดนี่หรือสั่งให้เราทำตามอย่างที่เค้าต้องการ เค้าให้ลูกตัดสินใจซึ่งถ้ามันไม่ดีค่อยว่ากัน ว่าทำแบบนี้มันไม่ถูกนะ”


เห็นดูเป็นสาวเก่งที่มีความมั่นใจมากมายขนาดนี้ แถมยังถูกเลี้ยงมาแบบปล่อย ให้มีความคิดเป็นของตัวเองอีก แต่พ่อ-แม่ของเธอก็ไม่ได้เลี้ยงเธอมาแบบปล่อยทุกเรื่อง ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เข้มงวดมากๆ นั่นก็คือห้ามนอนค้างบ้านเพื่อนโดยเด็ดขาด

“พ่อกับแม่เลี้ยงเรามาแบบฝรั่ง เลี้ยงแบบปล่อยบางเรื่อง เช่น เรื่องงานค่ะจะปล่อย เรื่องที่เราจะเลือกว่าเราจะทำงานอะไร เรียนอะไร แต่เรื่องบางเรื่อง เช่น กลับบ้านดึก ถามว่ากลับดึกได้มั้ยได้แต่ต้องขอ แล้วเรื่องนึงที่เข้มงวดมาก คือตั้งแต่เกิดมาแคทยังไม่เคยนอนค้างบ้านเพื่อนเลยเพราะคุณพ่อ คุณแม่ไม่ยอม จะกลับบ้านตี4 หรือตี 5 ก็ต้องกลับ”

เธอบอกว่าไม่ใช่เด็กดื้อ เมื่อเธออยากทำอะไร ทำได้แต่ต้องทำต่อหน้าพ่อ-แม่ มีครั้งหนึ่งอยากอยากรู้ว่าแอลกอฮอล์มันเป็นยังไง และเมื่อเธอได้ลองเธอก็มองว่ามันเป็นเรื่องเฉยๆ เธอกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมเล่าต่อว่า ดีใจที่พ่อ -แม่ให้เจออะไรตั้งแต่เด็ก เหมือนกับให้รู้ไปเลยว่าโลกมันเป็นยังไง ทุกๆ ย่างก้าวในชีวิตมีความหมายและสำคัญมาก เพราะฉะนั้น เธอควรจะทำให้มันผิดพลาดน้อยที่สุด

“แคทไม่ดื้อนะ ด้วยความที่พ่อแม่ปล่อย จะทำอะไรมาทำต่อหน้า มีอะไรมาคุยกันได้ อย่างเช่น แคทเกิดมา แคทไม่รู้จักคำว่าแอลกอฮอล์ ทุกคนก็จะไม่เชื่อว่าไม่เราไม่เคยลอง ตอนนั้นเราอายุ 14 -15 เริ่มอยากรู้ว่าอะไรคือแอลกอฮอล์

คุณแม่ก็จะถามว่าอยากลองมั้ย มาลองกันตรงนี้เลย ตอนนั้นนั่งกินข้าวกันอยู่ เรียกแม่บ้านมาเทแล้วก็ลองให้เรากินเลยจะได้ไม่ต้องไปแอบทำ เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์ถ้าเราไปแอบทำในเวลาที่ผิด มันก็อาจจะกลายเป็นผิดพลาด ซึ่งอาจจะแก้ไขไม่ได้ พอได้ลองแล้วแคทก็มองว่ามันไม่ใช่สิ่งอะไรที่น่าตื่นเต้นแคทก็เฉยๆ”




เธอถูกเลี้ยงมาแบบเพื่อน เปิดใจคุยกันได้ทุกเรื่อง เธอเล่าว่า ในครอบครัวของเธอจะมีเรื่องให้คุยกันตลอด วันๆ หนึ่งจะแชร์กันเล่าเรื่องชีวิตของแต่ละคนว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง ซึ่งผู้สัมภาษณ์มองว่าครอบครัวของเธอช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและสนิทกันมากเลยทีเดียว

“สนิทกันมากเลยค่ะ สังเกตถ้าวันเกิดแคท แคทไม่คิดที่จะไปจัดงานเลี้ยงกับเพื่อน เพราะแคทรู้สึกว่าแคทอยากอยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ อยากกินข้าวเป็นครอบครัว ไม่ได้อยากจะปาร์ตี้อะไร เที่ยวกับเพื่อนมันทำได้ทุกวันอยู่แล้ว คุณพ่อ คุณแม่ให้เรามีโอกาสได้เจอชีวิตที่ดี มีโอกาสที่ดีที่ได้เจอตั้งแต่ตอนเด็กๆ

พอเราโตมาทำให้เราได้คิดอะไรได้มากขึ้น ทุกวันนี้แคทจะเป็นคนที่ไม่เที่ยวกลางคืนเลยเพราะว่าแคทจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเลย เพราะแคทเห็นอะไรมาเยอะ อยู่กับผู้ใหญ่มาเยอะ ซึ่งเห็นหลายๆ คนผิดพลาดเพราะเรื่องอะไรบ้าง ฉะนั้นก็จะเป็นสิ่งที่เราไม่อยากซ้ำรอย




ฟังเรื่องราวของเธอมาได้สักพัก ทำให้มีความรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่กตัญญูและรักครอบครัวมากคนหนึ่ง ซึ่งต่างจากวัยรุ่นทั่วๆ ไป ที่อาจจะยังใช้ชีวิตที่สนุกอยู่กับเพื่อนมากจนลืมนึกถึงครอบครัว แต่สำหรับเธอความคิดแบบนั้นแทบไม่มีอยู่ในหัวเลย

“ยิ่งเราโตขึ้นมายิ่งรู้เลยว่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราคือพ่อแม่ ตอนเด็กๆ เราจะคิดว่าเพื่อนสำคัญ จะคิดว่าคนอื่นสำคัญ แต่พอเราโตขึ้นมาสุดท้ายแล้วมันไม่มีใครจริงใจกับเราจริงๆ หรอก มันทำให้เราเจอโลกที่เราทำงาน ได้เห็นคนหลายๆ ประเภท ได้เห็นว่าคนนี้บางทีกับเราดีมากนะ แต่ลับหลังอาจจะเป็นอีกแบบนึง

ทำให้เรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งแคทอยากจะบอกเลยว่าสำหรับหลายๆ คนที่ละเลยครอบครัวไป จริงๆ แล้วครอบครัวคือคนที่ไม่ว่าเราจะล้มหรือเราจะเป็นอะไรเค้าคือคนที่อยู่ข้างๆ เรา พ่อแม่รักเราโดยไม่มีสิ่งตอบแทนนี่คือเรื่องจริงค่ะ”

สาวน้อยช่างจ้อ! นี่แหละเธอ
ด้วยภาพลักษณ์ภายนอกแล้ว อาจทำให้หลายคนมองว่าเธอนั้นเป็นสาวหวาน แต่ความจริงแล้วกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะดูจากลักษณะกีฬาที่เธอชอบแล้วทั้งต่อยมวย โดดร่ม ฯลฯ เรียกได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงห้าวมากๆ คนหนึ่งเลยทีเดียว

“แคทเป็นคนห้าวค่ะ แคทไม่มีความหวานเลย ขัดกับในจอใช่มั้ย (หัวเราะ) เพราะในจอจะดูเป็นผู้หญิงอ่อนหวาน อ่อนไหวง่าย เซนซิทีฟ แต่ตัวจริง แคทเป็นคนที่ค่อนข้างลุยมากนะ แบบพวกกีฬาแบบแอดเวนเจอร์แคทจะชอบมาก ต่อยมวย โดนร่ม แคทชอบหมดเลย พวกที่มันผาดโผนแคทก็จะชอบมาก แคทเป็นคนที่ตลก เฮฮาไปไหนไปกัน ลุย เวลาว่างแคทจะต่อยมวย จะต่อยทุกอาทิตย์ ถ้าไปดูในอินสตาแกรม ก็จะเห็นวิดีโอที่แคทโพสต์ต่อยมวยตลอดเลย”




เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามเธอว่า คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของเธอ เธอตอบกลับมาทันทีว่าใครๆ ก็บอกว่าเธอเสน่ห์ของเธอคือการพูดเก่ง ผู้สัมภาษณ์เองก็รู้สึกแบบนั้น (พยักหน้าตาม) และเมื่อรวมกันในหมู่เพื่อนเธอมักจะเป็นหัวโจกในการเล่าเรื่องตลกๆ

“อาจจะเป็นในเรื่องของการพูดจา แคทเป็นคนพูดจาฉะฉาน น่าฟัง พูดตลอดเวลา แคทเป็นคนที่เวลาไปอยู่ตรงไหน เช่น เวลาอยู่ที่นั่งอยู่เป็นโต๊ะรวมๆ ทุกคนจะฟังแคท เพราะแคทจะเป็นหัวโจกในการเล่าเรื่องตลกบ้าง แล้วก็พูดเรื่องนู้นเรื่องนี้บ้าง ทุกคนก็จะขำตามเรา และจะบอกว่าแคทพูดเก่งมีเสน่ห์ อาจจะเป็นเรื่องพูด เรื่องความฮา เรื่องตลกอะไรแบบนี้ค่ะ”

ถ้ามองจากภายนอกแล้วเธอบอกว่า ชอบปากและรอยยิ้มเป็นที่สุด ถึงแม้บางครั้งอาจจะไม่ชอบปากตัวเองเสียด้วยซ้ำเพราะรู้สึกว่ามันห้อย และเพื่อนๆ ก็ยังชอบล้อเธอเรื่องปากอีกด้วย แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังชอบปากของตัวเองอยู่ดี เพราะรู้สึกว่าเมื่อยิ้มแล้วดูเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุด




เธอบอกเล่าว่าทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยก็ถือว่าเหนื่อย แต่ก็ไม่ถึงกับเหนื่อยจนเกินไป เพราะเธอมีผู้จัดการที่วางแผนให้เธอเป็นอย่างดี อาจจะจบช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะถือว่าเธอทำในสิ่งที่ชอบควบคู่กันไปด้วย

“เหนื่อยค่ะ เหนื่อย แต่ก็มันก็ไม่ใช่เหนื่อยแบบเหนื่อยนะ เพราะว่าคือแคทเป็นคนเอาตัวรอดเก่งนะ แคทจะไม่ใช่คนที่เรียนได้คะแนนที่ได้ที่ 1 ของห้อง แต่เราจะผ่านไปได้ตลอด ถ้าเราจัดตารางดีๆ ก็ไม่เหนื่อย เป็นหน้าที่ของผู้จัดการเราละ ซึ่งผู้จัดการเราก็ค่อนข้างจะวางแผนให้เราดี

เราก็จะไม่ติดขัดเรื่องเรียน ยกเว้นแต่เรื่องที่ฉุกละหุกจริงๆ แต่ถามว่าเหนื่อยมั้ยมันก็มีบ้าง ถามว่ามากมั้ยก็ไม่ค่ะ เราก็ค่อยๆ เรียน บางคนอาจจะลงเรียนเต็มอัตรา 6 ตัว แต่แคทลง 4 อะไรแบบนี้ค่ะ อาจจะจบช้าหน่อยแต่ว่าอย่างน้อยก็ได้ทำสิ่งที่เราชอบควบคู่ไปด้วยกันก็โอเค

สาวนักธุรกิจวัยทีน!
อายุเพียง 20 ต้นๆ เท่านั้น แต่เธอสามารถสร้างแบรนด์ธุรกิจเป็นของตัวเองได้เริ่มมาจากความชอบส่วนตัว และที่ทึ่งกว่านั้นเธอเป็นคนดำเนินการเองหมดทุกอย่างโดยที่พ่อ-แม่ ไม่ได้มีส่วนช่วยเลย และผลตอบรับที่ได้กลับมาถือว่าดีเกินกว่าที่เธอคาดหวังเอาไว้มาก

“แคทมีโอกาสได้ทำแบรนด์ของตัวเอง คือแบรนด์เสื้อผ้า ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดีมากกว่าที่เราคาดหวังไว้ เพราะเราไม่ได้คิดว่าเราจะทำมันเพราะอยากได้เงินหรืออะไรนะ มันไม่ใช่พอยต์สำคัญ แต่พอยต์สำคัญที่สุดคือเราอยากทำอะไรบ้าง

โดยส่วนตัวแคทเป็นคนชอบแต่งตัวอยู่แล้ว เป็นคนบ้าเสื้อผ้า บ้ารองเท้า แคทเลยอยากทำเสื้อผ้าที่ใส่ออกมาแล้วดูดี เพราะชีวิตจริงๆ แคทเป็นคนง่ายๆ ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เสื้อกล้ามอะไรแบบนี้ค่ะ แล้วคนทักว่าทำไมกางเกงยีนส์เราใส่แล้วสวย กางเกงยีนส์ยี่ห้ออะไร ท้ายที่สุดเราเลยอยากทำกางเกงยีนส์ขาย

พอเราทำขึ้นมา เราก็ได้ใช้จริง ผลปรากฏว่าทุกคนชอบและซื้อเยอะมาก มันทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย..เราทำอะไรเองได้ เราสามารถแชร์สไตล์ของเราแล้วคนชอบ คุณพ่อ คุณแม่แคทไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก็ตกใจว่าลูกจะทำได้เหรอ คือเราเป็นคนที่ติดต่อเรื่องโรงงาน ติดต่อทุกอย่างหรือว่าหาเลขามาตอบแทนเรา เราเช็กสต๊อกเองทุกอย่างค่ะ นี่เลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แคทภูมิใจ”




ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ดูเหมือนว่าเธอผ่านอะไรมาตั้งมากมาย และใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว เมื่อถามว่าคิดว่าทุกวันนี้ประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง และนี่คือคำตอบของเธอ

“ถ้าประสบความสำเร็จในวัยเท่านี้แคทว่าโอเคนะคะ ถือว่าตรงตามเป้าหมายที่เราคาดไว้ แต่ถ้าถามว่าประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิตแล้วหรือยังที่ตั้งเป้าไว้ ยังค่ะ”




ชีวิตเธอคงไม่สิ้นสุดอยู่เพียงเท่านี้ เธอยังอยากทำอะไรอีกหลายๆ อย่าง และเมื่อถึงจุดอิ่มตัวเธอคงจะหันกลับไปช่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของทางบ้าน

“จริงๆ แล้วก็อยากทำหลายๆ อย่างนะ คือที่บ้านแคททำอสังหาริมทรัพย์ ก็คิดว่าถ้าวันหนึ่งเราทำตรงนี้ถึงจุดๆ หนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราอิ่มตัว แคทรู้สึกว่าในขณะที่เรียนอยู่ถ้าเราไม่ทำงาน เวลาเลิกเรียนก็คงต้องไปเที่ยวเล่นเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไป

แคทรู้สึกว่าการที่เรามีอะไรที่เราต้องรับผิดชอบมันก็เป็นอะไรที่ดีกว่า ถึงแม้มันจะเหนื่อยหน่อย แต่แคทคิดว่ามันเป็นข้อดีและเป็นโอกาสที่ดีที่เราได้ตรงนี้มา และเมื่อเราโตขึ้นเราก็จะใช้โอกาสตรงนี้ให้ดีที่สุดและให้มันมีประโยชน์ที่สุด ในอนาคตก็อยากจะทำอสังหาริมทรัพย์ คือทำต่อจากพ่อแม่ เราก็รับหน้าที่ต่อแล้วก็ทำให้มันดีขึ้น”




ทิ้งท้ายไปกับเรื่องความรัก เธอมองความรักเป็นสิ่งที่ดี ถ้าคบคนที่ถูกก็จะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ถ้าวันหนึ่งเราคบคนที่ผิด เค้าจะนำทางเราไปในทางที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมและไม่เห็นความสำคัญกับมันมากนักเพราะเธอมองว่ามันยังไม่ถึงเวลา

“แคทยังไม่มีแฟน มันไม่ค่อยมีเวลา ถ้าเราจะมีแฟนจริงๆ ก็คงไม่ได้เหมือนคนอื่นที่เค้าเป็น ก็เฉยๆ กับเรื่องความรักนะ รู้สึกว่าคนเราคบกันไปตอนนี้ มันก็ยังไม่ถึงเวลา เหมือนกับเรากินผลไม้ก่อนสุก ไม่มีประโยชน์ ก็ไม่รู้จะรีบไปทำไม วันหนึ่งเราค่อยมามองหรือโฟกัสเรื่องนี้ เมื่อมันถึงเวลาดีมั้ย หรือวันหนึ่งที่เราเจอคนที่ใช่ คนที่พร้อมจะเป็นคู่ชีวิต อยู่ในวัยที่พร้อมจะแต่งงาน

เพราะต่อให้เรามามีตอนนี้มันก็ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเท่าไหร่ ในความคิดแคทนะ อาจจะเป็นผลเสีย แต่แคทไม่ได้แอนตี้ความรักนะ หมายถึงถ้าให้เราคบจริงจัง แคทยังไม่พร้อมตอนนี้ คำว่าแฟนของแคท แคทมองว่าจากคนแปลกหน้าเข้ามามีความสัมพันธ์กับชีวิตเรามากๆ แล้วสุดท้ายพอวันนึงออกไปก็ยิ่งกว่าคนไม่รู้จักกันอีก”

 
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ : แคท-ซอนญ่า สิงหะ
วันเกิด : 8 เมษายน พ.ศ. 2537
การศึกษา : ปี 2 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยแสตมฟอร์ด
ผลงานโดดเด่น : นักร้องค่ายกามิกาเซ่ ในชื่อ KAT-PAT, ละครคือหัตถาครองพิภพ, ละครปลาหลงฟ้า, ภาพยนตร์ผีห่าอโยธยา

สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: กรกนก วงษ์สุวรรณ
ภาพโดย: ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพบางส่วน: อินสตาแกรม “sonyasingha”, ละครออนไลน์




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754

กำลังโหลดความคิดเห็น