xs
xsm
sm
md
lg

เพลีย “แท็กซี่สุวรรณภูมิ” ทั้งโกงทั้งเรียกเงินเพิ่ม กร่างไม่สิ้นสุด!!? [ชมคลิป]

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แท็กซี่แวน ประกาศกร้าว! ขอขึ้นค่าธรรมเนียม (เซอร์ชาร์จ) จาก 50 เป็น 100 บาท ไม่อย่างนั้นจะประท้วงเลิกวิ่ง ส่วนแท็กซี่ธรรมดาก็มีคดีเพิ่ม ล่าสุดมีคลิปแชร์สนั่นแฉโชเฟอร์ใช้ผ้าบังมิเตอร์ พยายามตีเนียนว่าราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 75 บาท ทำเอาผู้โดยสารถึงกับงง และผู้ใช้บริการสาธารณะชนิดนี้อีกหลายต่อหลายคนเกิดคำถามคาใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับ “แท็กซี่สุวรรณภูมิ” เหตุใดพักหลังๆ จึงเต็มไปด้วยพฤติกรรมกร่างๆ แบบนี้!!?




วีรกรรมเพลียๆ จาก “แท็กซี่สุวรรณภูมิ”

(แท็กซี่แวน ขอขึ้นราคาเซอร์ชาร์จ อ้างแบกรับภาระไม่ไหว)
ขอขึ้นค่าธรรมเนียมแท็กซี่แวนประจำสุวรรณภูมิ จาก 50 บาท เป็น 100 บาท เนื่องจากตัวรถมีขนาดเครื่อง 2,000 ซีซี ใหญ่กว่ารถปกติ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงมากกว่า และขอให้คิดค่าบรรทุกสัมภาระเกินอัตราเข้าไปด้วย โดยเสนอให้อยสัมภาระใบแรกฟรีถ้าอยู่ที่น้ำหนักไม่เกิน 15 กก. แต่ถ้ามีใบที่ 2-4 คิดเพิ่มอีกใบละ 30 บาท, มีใบที่ 5-6 เพิ่มใบละ 50 บาท และมีสัมภาระ 7 ใบขึ้นไป ต้องคิดราคาเหมาจ่ายขนส่งสัมภาระในราคาใบละ 80 บาท”

ทั้งหมดนี้คือข้อเสนอจากการอบรมผู้ขับแท็กซี่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่เช่นนั้นอาจประท้วงด้วยการหยุดให้บริการเพราะแบกรับภาระต้นทุนกันไม่ไหว

ส่วนอีกประเด็นร้อนแท็กซี่ ณ คิวเดียวกัน คือคลิปโซเฟอร์จอมโกงที่รับผู้โดยสารชาวญี่ปุ่นด้วยราคาเพิ่มต้นอยู่ที่ 75 บาท จากราคาปกติเริ่มอยู่ที่ 35 บาท โดยช่วงแรกนั้น แท็กซี่พยายามใช้ผ้าบังตัวเลข แต่เมื่อถูกจับสังเกตได้และถามไถ่ จึงอ้างไปว่าเป็นราคาแรกเริ่มที่กรมการขนส่งกำหนดใหม่ โชคดีที่ผู้โดยสารรายนั้นอัดคลิปเก็บไว้ คนขับจึงไม่กล้าทำอะไรมากและพยายามบ่ายเบี่ยงให้เรื่องจบลงไวๆ



ทั้งหมดนี้ช่างสะท้อนให้เห็นถึงจุดร่วมของ “แท็กซี่สุวรรณภูมิ” ที่มีแต่ภาพลักษณ์เละๆ ออกมาได้ไม่เว้นวัน ชวนให้สงสัยว่าเหตุใดจึงมีพฤติกรรมกร่างและเล่นตัวออกมาให้ผู้ใช้บริการได้พบเห็นกันบ่อยขนาดนี้ ดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง และลอจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ช่วยวิเคราะห์ว่าอาจจะเป็นเพราะแท็กซี่สุวรรณภูมิมีน้อยเกินไป จนอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา

“ผมไม่แน่ใจว่าเหตุผลมันเกิดจากอะไร เพราะจริงๆ แล้วแท็กซี่ก็มีปัญหาทุกพื้นที่และ ถ้าไม่มีการกำกับให้ดีหรือไม่มีการร้องเรียนแล้วเรียกเข้ามาตักเตือน อย่างคิวสุวรรณภูมิเองก็จะมีลักษณะพิเศษในแบบของเขา หลายๆ ครั้งต้องรอคิวค่อนข้างนาน พอรอคิวนาน รายได้ที่เขาเก็บได้จากผู้โดยสารในแต่ละเที่ยว อาจจะไม่ค่อยเพียงพอต่อต้นทุนของเขา จากปกติแล้ว แท็กซี่ที่น่าจะทำกำไรหรืออยู่ได้ คือแท็กซี่ที่วิ่งได้เยอะและมีช่วงเวลาทำค่าโดยสารได้ค่อนข้างมาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเวลาวิ่งรถทั้งหมด 8 ชั่วโมง คุณควรจะต้องมีเวลาอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมงที่เป็นเวลาที่มีผู้โดยสารนั่ง ในขณะที่อีก 4 ชั่วโมงอาจจะเป็นช่วงเวลาที่คุณนั่งรอ

แต่ปัญหาคือแท็กซี่สุวรรณภูมิ คุณอาจจะต้องไปรอตั้ง 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้ได้ผู้โดยสารนั่งแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางทีครึ่งชั่วโมง ทำให้เวลาในการสร้างรายได้ของเขามันเหลือน้อยเกินไป ตรงนี้เองที่เกิดคำถามว่าแล้วทำไมเขาต้องไปรอ? และเนื่องด้วยเขาต้องรอนานแบบนี้นี่เอง เวลามีผู้โดยสารขึ้นมาปุ๊บ เขาก็มีแนวโน้มที่จะไม่กดมิเตอร์แล้วขอตกลงว่าให้เป็นราคาเหมาได้มั้ย รอมาทั้งวันเลย ไม่งั้นก็รับได้แค่เที่ยวเดียว ได้ค่าโดยสารแค่ 200-300 บาท มันไม่พอ เลยอยากขอเหมาสัก 500 บ้าง 800 บ้างก็ยังพอไหว ก็เลยเป็นปัญหาตรงนี้ขึ้นมา

ผมว่าเราอาจจะต้องมาดูกันที่ระบบบริหารจัดการแท็กซี่ของสุวรรณภูมิมากกว่าว่าทำไมถึงทำให้ต้องรอคิวนาน แล้วรอนานทั้งสองฝั่งด้วยนะครับ คือทั้งฝั่งผู้โดยสาร ทั้งฝั่งแท็กซี่ รอคิวนาน คิวยาวพอๆ กัน แต่ถ้าเปิดเป็นแท็กซี่เสรีเพื่อแก้ปัญหาเรื่องคิว ไม่ต้องให้มีคิวเลย ใครใคร่จะโบกก็โบก แท็กซี่คันไหนใครจะไปก็ไป สนามบินก็จะวุ่นวายมาก รถอาจจะคิดเหมือนหน้าสยาม-มาบุญครอง เพราะฉะนั้น การจัดคิวก็ถือเป็นข้อดีของมันอยู่ แต่ถามว่าคิวควรจะเป็นแบบไหนถึงจะดี อาจจะต้องกระจายจุดจอดมั้ย เพราะตอนนี้จุดจอดมีจุดเดียว การขึ้นและลงรถอาจไม่พอ

ปกติแล้ว คิวจะช้ามั้ยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณผู้โดยสารที่ขึ้นหรือลงแท็กซี่ ณ จุดนั้น ถ้ามีจุดจอดรับส่งผู้โดยสารน้อย ก็จะทำให้คิวยาว เพราะฉะนั้น อาจจะต้องมีการบริการจัดการตรงนี้ให้เหมาะสม ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารและแท็กซี่ คือผมไม่ได้บอกว่าให้ขยายพื้นที่รับส่งผู้โดยสารโดยแท็กซี่นะครับ แต่ทางการท่าฯ อาจจะต้องบริหารจัดการว่าช่วงไหนเป็นชั่วโมงเร่งด่วน มีช่วงเวลาพิเศษให้แท็กซี่รับผู้โดยสารได้มากขึ้น แล้วการปล่อยคิวก็ให้เป็นระบบมากขึ้น ตอนนี้ก็มีเทคโนโลยีในการจัดคิวเยอะแยะ แต่ยังไม่มีการเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์มากนัก ก็เลยเห็นภาพรอคิวยาวๆ นานๆ อย่างที่เป็นอยู่



ส่วนเคสแท็กซี่มิเตอร์คันที่เริ่มเก็บที่ 75 บาท เขาน่าจะเปิดมิเตอร์ทิ้งไว้ ก่อนหน้าที่จะวิ่งรับผู้โดยสารคนใหม่ หรืออาจจะเป็นกลโกงมิเตอร์ อันนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของรัฐ แต่ถ้าถามในแง่กฎหมาย ทำแบบนี้ผิดกฎหมายแน่นอนอยู่แล้ว และผู้ที่กระทำผิดก็สมควรถูกลงโทษ แต่คำถามคือ ในเชิงระบบแล้ว การร้องเรียนในทำนองเดียวกันนี้มันมีมากน้อยแค่ไหน ดูจากกรณีการร้องเรียนเกี่ยวกับรถโดยสารสาธารณะ แท็กซี่ก็มาเป็นอันดับ 1 คือเดือนนึงน่าจะมีร้องเรียนเข้ามาเป็นหลักร้อยหรือพันเคส จากจำนวนแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ทั้งหมดที่มีอยู่ 70,000-80,000 คันที่ให้บริการอยู่ จดทะเบียนทั้งหมดน่าจะ 100,000 คัน

เกิดเป็นคำถามว่าคุณภาพโดยเฉลี่ยทุกวันนี้ของแท็กซี่เป็นยังไง มีการโกง-เอารัดเอาเปรียบมากน้อยแค่ไหน ขนาดว่าเคสร้องเรียนจากโซเชียลเน็ตเวิร์กมีโผล่มาเรื่อยๆ ขนาดนี้ ผมก็ยังเกรงว่าจริงๆ แล้วอาจจะมีเคสในลักษณะนี้เยอะกว่านี้อีกมาก เพราะเคสที่อยู่ในระบบร้องเรียนคือเคสที่เกิดขึ้นทั้งหมดมั้ย ก็อาจจะไม่ เพราะบางคนก็รู้สึกว่ามันเป็นภาระมากเกินไปที่จะต้องไปร้องเรียน แต่พอถามว่าเคยเจอประสบการณ์ไม่ดี โกงมิเตอร์ ไม่กดมิเตอร์มั้ย ก็มีคนมาตอบได้ตลอด หรือแม้แต่เคสปฏิเสธผู้โดยสารที่หลายๆ คนเจอกันจนชิน

ด้วยความที่แท็กซี่เป็นกิจการเดี่ยว คนคันเดียว ทำเองคนเดียว ถามว่ารถ 100 คัน จะมีคนโกงกี่คน ก็อาจจะไม่เยอะ สัก 4-5 คัน แต่ถ้ามีคนทำลักษณะนี้แล้วไม่ถูกจับปรับหรือกำกับดูแล คนอื่นก็จะรู้สึกว่าฉันก็น่าจะทำได้บ้าง เพราะฉะนั้น ทางภาครัฐต้องเข้ามากำกับอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ถึงจะทำให้ระบบแท็กซี่ค่อยๆ ดีขึ้น

แต่การควบคุมแบบนี้ก็เป็นไฟไหม้ฟางระดับหนึ่ง ควรจะต้องหาวิธีที่ยั่งยืนกว่านี้ โดยอาจจะให้กรมการขนส่งทางบกและการท่าฯ เป็นฝ่ายกำกับแท็กซี่ ส่วนผู้โดยสาร ถ้าสภาพยังเป็นอยู่แบบนี้อาจจะหลีกเลี่ยงไปนั่งแอร์พอร์ตลิงก์ไป และหน่วยงานที่ดูแลเองก็ต้องสร้างทางเลือกอื่นเพิ่มเติมที่จะหาทางหนีทีไล่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งแท็กซี่ เพราะแค่ทำหน้าที่ดูแลควบคุมแท็กซี่อย่างเดียวคงไม่พอ




เพิ่มค่าบริการ เพื่อความเป็นธรรม?

ส่วนกรณีที่แท็กซี่แวนเรียกร้องขอให้เก็บค่าเซอร์ชาร์จหรือค่าธรรมเนียมเพิ่ม จากเดิม 50 บาท เป็น 100 บาทนั้น ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง และลอจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ยังมองไม่เห็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก

“ทำไมแท็กซี่สุวรรณภูมิเรียนร้องให้เก็บค่าเซอร์ชาร์จเพิ่มอีก 50 บาท ลองคิดดูแล้ว คงเป็นเพราะตัวสนามบินตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง การไปรับส่งผู้โดยสารอาจจะทำให้แท็กซี่ที่ต้องออกมาจากเมือง หรือเข้าไปยังสนามบิน อาจจะเสียขา น่าจะมีการวิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เยอะ เขาเลยอยากจะให้มีการเก็บค่าเซอร์ชาร์จพิเศษ เป็นที่มาของ 50 บาทที่แท็กซี่สุวรรณภูมิเสนอให้เรียกเก็บ ส่วนจะรับได้มั้ย ก็ยังเป็นคำถามอยู่ที่ยังไม่แน่ใจว่าควรหรือเปล่า

ถ้าพิจารณาภายใต้เงื่อนไขในปัจจุบัน อาจจะถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร ถ้าผู้โดยสารยอมจ่ายแพงเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่งก็อาจจะมีแท็กซี่ใช้ต่อที่สุวรรณภูมิ เป็นที่มาของการขอเก็บค่าบริการรถแวนเพิ่มอีก 50 บาท ซึ่งถ้ามีการเพิ่มค่าบริการตรงนี้จริงก็อาจจะส่งผลไปยังแท็กซี่ดอนเมืองด้วย เพราะแต่เดิมสนามบินดอนเมืองก็อยู่ไกลจากตัวเมือง แต่ปัจจุบันด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็ทำให้ไม่ได้ไกลขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังใช้มาตรฐานเดียวกันกับที่เก็บที่สนามบินสุวรรณภูมิ เรียกว่าเป็นค่าธรรมเนียมพิเศษของการเข้าสนามบิน ด้วยเงื่อนไขตรงนี้แหละครับ ทำให้คิดว่าถ้ามีการขึ้น 50 บาทที่สุวรรณภูมิ อาจจะส่งผลกระทบให้ที่ดอนเมืองขึ้นไปด้วยหรือเปล่า

เห็นเขาบอกว่าจะขึ้นราคาเซอร์ชาร์จเพิ่มเฉพาะกับแค่รถตู้แวนที่สุวรรณภูมิ มันก็อาจจะมีเหตุผลมาสนับสนุนที่น่าจะพอเป็นไปได้ เพราะรถแวนมีต้นทุนที่สูงกว่าแท็กซี่ปกติ แต่เรื่องต้นทุนรถแวนเนี่ย ผมมองว่าที่สูงกว่ารถปกติ น่าจะเป็นตัวรถนะครับ ไม่น่าจะใช่ต้นทุนในส่วนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะถ้าคุณไปรับผู้โดยสารเพิ่มหรือรับสัมภาระที่มีน้ำหนักเพิ่ม ตัวน้ำมันเชื้อเพลิงไม่น่าจะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้มากเท่าไหร่หรอก

แต่คำถามผมก็คือ ถ้าผมไม่ได้เป็นเจ้าของรถแท็กซี่แวน แล้วผมไปเช่ามาปกติ ค่าเช่าก็ไม่น่าจะเท่ากับแท็กซี่ธรรมดา ในเมื่อค่าเช่าไม่เท่ากัน ค่าโดยสารจะเก็บไม่เท่ากันก็อาจจะถือว่ามีเหตุผลพอเป็นไปได้ ถือว่ามีต้นทุนที่สูงกว่า แล้วก็กินน้ำมันเยอะกว่า แต่ถามว่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมั้ย ถึงขั้นต้องเก็บ 100 บาทเลยหรือเปล่า ตรงนี้ก็ยังเป็นคำถามอยู่



(ครั้งก่อนก็เพิ่งมีประเด็นกับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น จนเป็นเรื่องใหญ่โต)
อีกประเด็นนึงคือ ถ้ามีการเก็บค่าเซอร์ชาร์จรถแท็กซี่แวนเป็น 100 บาท แล้วให้แท็กซี่ธรรมดา 50 บาทเหมือนเดิม คำถามคือผู้โดยสารที่รอคิวสุวรรณภูมิจะมีสิทธิเลือกเองได้ใช่มั้ยว่าจะขึ้นรถประเภทไหน แวนหรือปกติ ไม่ใช่ว่าผู้โดยสารอยากจะได้รถคันเล็กเกือบทั้งหมด ต่อแถวรอรถคันเล็กกันเยอะมาก แต่ไม่มีรถคันเล็กเหลือเลย มีแต่รถแวนต่อคิวให้บริการเพียบ มันจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อรถคันเล็กเองก็ไม่อยากไปเพราะได้ค่าเซอร์ชาร์จแค่ 50 บาท ทำให้เกิดความคิดว่าเช่ารถแท็กซี่แวนไปให้บริการเลยดีกว่า ได้ค่าเซอร์ชาร์จเพิ่มอีกตั้ง 50 บาทแน่ะ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถามว่าผู้โดยสารจะเดือดร้อนมั้ยและจะมีวิธีบริการจัดการยังไง

ส่วนเรื่องที่จะขอเก็บค่าสัมภาระเพิ่มด้วย ก็ต้องดูว่าสัมภาระของผู้โดยสารหนักและเยอะแค่ไหน ถ้าแบกมาแล้วไม่สามารถใส่ลงไปได้หมดในรถคันเดียว ผมว่าก็ไม่ค่อยเป็นธรรมต่อแท็กซี่เท่าไหร่นักถ้าจะไม่ให้เขาเก็บเพิ่ม หลายๆ ครั้งตัวแท็กซี่เอง พื้นที่ด้านหลังเขาอาจจะมีถังแก๊ส แต่จำเป็นต้องใส่ของผู้โดยสารไปด้านหลังด้วย เพราะฉะนั้น ผู้โดยสารก็ต้องประมาณสัมภาระตัวเองด้วยระดับหนึ่งที่จะให้แท็กซี่สามารถบรรทุกไปได้

แล้วก็อาจจะต้องควบคุมให้ชัด ให้ตัวผู้โดยสารเองเข้าใจด้วยว่าถ้ามีสัมภาระเกิน มากัน 2 คน ของเยอะมาก อาจจะแยกคันกันไปจะดีกว่า ต้องดูตามความเหมาะสม เพราะขนาดสายการบินเอง ยังมีกำหนดน้ำหนักเลยครับว่าผู้โดยสารท่านนึงต้องมีสัมภาระไม่หนักเกินเท่าไหร่ ต้องดูว่าจะต้องดำเนินการให้เป็นธรรมต่อแท็กซี่ด้วยว่าควรจะเก็บเพิ่มแค่ไหน และควรจะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้โดยสารด้วยว่าจะต้องไม่จ่ายในราคาที่รู้สึกว่าถูกขูดรีดหรือปล้นกันมากกว่าจะเป็นการเก็บค่าบริการ

ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!

และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754




ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
- [ชมคลิป] แท็กซี่เล่นมุกใหม่บังมิเตอร์ โขกราคานั่งจากสนามบินเริ่ม75บาท
- ขอต้อนรับท่านเข้าสู่ “สุวรรณภูมิ” ความน่าอายของประเทศ!!?
กำลังโหลดความคิดเห็น