xs
xsm
sm
md
lg

คิดก่อนจวก! ความอยุติธรรมแด่ออทิสติกบนบีทีเอส

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กลายเป็นเรื่องดราม่าจนได้ เมื่อมีคนโพสต์ภาพชายคนหนึ่งนั่งคร่อมบนเก้าอี้สองตัวบนรถไฟฟ้าบีทีเอสพร้อมข้อความระบุว่าชายดังกล่าวไม่มีน้ำใจ ทำให้เกิดกระแสรุมจวกชายดังกล่าวสนั่นโซเชียลมีเดีย กระทั่งสถาบันราชานุกูลต้องออกมาชี้แจงว่าชายดังกล่าวเป็นโรคออทิสติก พร้อมวอนขอให้สังคมเข้าใจผู้ป่วยโรคออทิสติกด้วย

ทั้งนี้ผู้ที่โพสต์ข้อความและเผยแพร่ภาพชายดังกล่าวได้เขียนโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า

“พี่คะ พี่ตัวโต ก้นใหญ่ แต่ใจเล็กมาก ๆ ๆ น้ำใจหาไม่ได้ในสังคมไทยแล้ว คนยืนกันเต็ม BTS พี่นั่งคนเดียว 2 ที่เลย ขนาดบอกแล้วนะว่า ขยับที่ให้หน่อย พี่ตอบกลับมาว่า ขยับไม่ได้แล้ว วางของอยู่ เงิบเลยค่ะ ยืนดูเค้านั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนต่อไป.....สวัสดี"

หลังจากภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ได้ออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก Rajanukul Institute ว่าชายดังกล่าวเป็นโรคออทิสติก และขอให้หยุดแชร์ภาพดังกล่าว ดังข้อความว่า

"ตามที่มีการแชร์ภาพบุคคลนั่งบนรถไฟฟ้า BTS เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม 2557 ผ่านทาง Facebook ทางสถาบันราชานุกูลขอชี้แจงว่า เนื่องจากบุคคลในภาพดังกล่าวนั้นเป็นบุคคลออทิสติก เข้ารับการรักษาที่สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ลักษณะอาการของโรคออทิสติก (Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม (Autism) เป็นความผิดปกติด้านพัฒนาการเด็กรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว โดยเด็กไม่สามารถพัฒนาทักษะสังคม ทักษะทางภาษา และการสื่อความหมายได้เหมาะสมตามวัย มีลักษณะพฤติกรรม กิจกรรม และความสนใจ เป็นแบบแผนซ้ำ ๆ ไม่ยืดหยุ่น

ในกรณีของผู้ป่วยมีอาการสำคัญ ดังนี้
1.ปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบเด็ก หากไม่พอใจจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แสดงกิริยาอาการไม่เหมาะสม
2.ปัญหาการสื่อสาร ชอบพูดเรื่อยเปื่อย
3.ปัญหาทางความคิด ไม่เข้าใจนามธรรมหรือสิ่งที่ซับซ้อน
4.ปัญหาทางสังคม ไม่เข้าใจกฎระเบียบของสังคม ไม่รู้จักการรอคอย ไม่ยืดหยุ่น

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น สถาบันราชานุกูล ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แจ้งผู้ปกครองของน้องรับทราบ และอบรมน้องในเรื่องของมารยาททางสังคมในการโดยสารรถสาธารณะและการแบ่งปันแล้ว
ในการนี้ สถาบันราชานุกูล ขอความร่วมมือประชาชนทุกท่านไม่โพสต์ หรือ แชร์ ภาพดังกล่าวต่อไป และใคร่ขอความกรุณาเปิดพื้นที่ให้กับบุคคลบกพร่องทางสติปัญญาได้อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข สถาบันราชานุกูลขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้"

อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องตาลปัตรว่าชายดังกลาวเป็นผู้ป่วยโรคออทิสติกนั้น ผู้ที่โพสต์เรื่องและถ่ายภาพชายคนนี้ผ่านโซเซียลมีเดียจนกลายเป็นกระแสขึ้นมานั้น ก็ได้เขียนข้อความขอโทษบนเฟซบุ๊กว่าตนเองไม่ทราบจริงๆว่าชายคนนั้นเป็นผู้ป่วยออทิสติก

ส่วนกระแสอีกด้าน พบว่าได้มีคนจำนวนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่าผู้ป่วยออทิสติกจะเป็นอันตรายต่อสังคมหรือไม่ จำเป็นหรือไม่ที่ผู้ป่วยออทิสติกจะต้องมีผู้คอยดูแล ไม่ควรเดินทางคนเดียว ในขณะที่บางรายถึงกับบอกว่าน่าจะมีป้ายห้อยคอบอกว่าเป็นผู้ป่วยออทิสติก เช่นบางความคิดเห็นในเว็บไซต์ดราม่าแอคติคดอทคอมได้วิจารณ์เรื่องนี้ว่า

...ทำไมญาติปล่อยให้เขามาแบบนี้ลำพังครับ ในเมื่อรู้ว่าเขาไม่ชอบเสียงดัง หรืออาจโมโหจนขั้นควบคุมตนเองไม่ได้ ทำไมไม่ดูแลใกล้ชิด หรือต้องรอให้เกิดเรื่องร้ายๆ ก่อน ...

..น่าจะมีมาตรการหรือจัดทำสัญลักษณ์ ป้าย หรือปลอกแขนในกรณีที่จะต้องออกไปที่สาธารณะลำพัง เพื่อป้องกันเหตุเข้าใจผิดกันนะครับ... ฯลฯ

ด้านแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า

“กรณีของน้องที่เป็นข่าวนั้น เขาไม่ได้มีเจตนาก้าวร้าวหรือประสงค์ร้ายต่อคนอื่น และอาจจะไม่ได้หมายความว่าเขาคำนึงถึงตนเองเพียงฝ่ายเดียวอย่างที่หลายท่านเข้าใจผิด เพียงแต่ว่าทักษะในการเชื่อมโยงเหตุผลหรือการเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นๆ ที่จะถามหาที่นั่ง หรือขอแบ่งปันอะไรนั้น น้องอาจจะไม่ได้เข้าใจทั้งหมด

“แล้วน้องอาจไม่ได้พูดเพราะ เนื่องจากว่าน้องอาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องการสื่อสาร หรือไม่ได้พูดจาคล้ายๆ กับคนทั่วไป แต่เราไม่ได้พบว่าน้องมีความรุนแรงหรือทำร้ายใครเลย น้องเพียงแค่ปฏิเสธ เนื่องจากความไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นข้อจำกัดเล็กๆ จึงอยากให้สังคมเข้าใจตรงนี้ด้วย

“ แนะนำว่าหากเราเห็นสถานการณ์อย่างนี้ สิ่งที่เราจะช่วยเหลือได้คือการสื่อสารอย่างเป็นมิตร อาจจะบอกกล่าวว่าขอขยับตรงนี้ได้ไหม เอาของไปวางตรงนั้นได้ไหม ขอนั่งด้วยคน แล้วแสดงความขอบคุณหรือชื่นชมเมื่อเขารู้จักแบ่งปัน หรือสามารถเอื้อเฟื้อให้กับคนอื่นๆ แต่ประเด็นที่หมอรู้สึกค่อนข้างเป็นห่วงคือ การใช้วิธีการต่อว่าต่อขาน ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดทางทักษะทางสังคม การต่อว่าโดยตรง อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ มีความเครียด หรือบางครั้งอาจจะมีปัญหาในการปรับตัวที่รุนแรงขึ้นอีก ดังนั้นการต่อว่าต่อขานหรือไปโวยวายโดยตรง คงไม่ใช่สิ่งที่เราเลือกปฎิบัติต่อน้องๆ กลุ่มนี้

“ อีกเรื่องที่ปรากฎในข่าวครั้งนี้คือ การต่อว่าต่อขานผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย หรือสื่อต่างๆ ซึ่งการเผยแพร่ลักษณะนี้จะทำให้สังคมภาพกว้างที่ไม่รู้จักน้องมาก่อน จะเริ่มเกิดความรู้สึกอคติ บางครั้งกลายเป็นตราบาปของคนๆ นั้น เพราะมีการปรากฏรูปร่างหน้าตาของน้องอย่างชัดเจน ซึ่งตรงนี้เท่ากับว่าเป็นการปิดโอกาสของน้องในการปรับตัวหรือถูกยอมรับจากสังคม ดังนั้นคงต้องขอวิงวอนนะคะว่าถ้าหากเจอน้องๆ ที่มีลักษณะเช่นนี้ ขอให้สื่อสารในลักษณะความเป็นมิตร ชื่นชมให้กำลังใจ เพื่อให้เขาสามารถปรับตัวได้ มีพฤติกรรมที่เหมาะสม และหากมีสิ่งที่ทำได้ดีกว่านั้น ก็คือการประสานให้ผู้ปกครองหรือคนที่ดูแลน้องได้รับรู้ถึงข้อจำกัดที่เกิดขึ้นและร่วมดูแลน้องต่อเนื่องในระยะยาวเพิ่มเติมด้วย” แพทย์หญิงอัมพรกล่าว

ด้านประเด็นที่มีบางคนสงสัยว่าผู้ป่วยออทิสติกนี้จะเป็นอันตรายต่อสังคมหรือไม่นั้น แพทย์หญิงอัมพรระบุว่า

“กรณีนี้ต้องบอกว่าเมื่อเทียบกับอัตราบุคคลที่เป็นออทิสติกหรือมีข้อบกพร่องทางจิตใจในด้านใดๆ ก็ตาม กับคนปกติ เราพบว่าคนปกติมีอัตราที่เป็นอันตรายต่อสังคมนั้นมากกว่าคนที่เป็นโรคออทิสติกเสียอีก ฉะนั้นหมอต้องบอกว่าอย่าปล่อยให้ความเป็นโรคของเขามาทำให้เกิดอคติหรือเป็นตราบาปต่อตัวเขาเลย ถ้าเราช่วยดูแลเขา เปิดโอกาสให้เขามีที่ยืนในสังคมอย่างสง่างามแล้ว เราไม่เพียงต้องกลัวว่าเขาจะก่ออันตราย แต่เรายังสามารถให้เขาได้ทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคมและได้รับความชื่นชมในหลายๆ เรื่องด้วยซ้ำไป”

ส่วนเรื่องที่มีคนตั้งคำถามว่าคนป่วยออทิสติกควรจะมีผู้ปกครองหรือผู้ดูแลคอยตามประกบหรือไม่ แพทย์หญิงอัมพรกล่าวว่า ผู้ป่วยออทิสติกมีความรุนแรงหลายระดับ ซึ่งผู้ป่วยที่มีความรุนแรงมากๆ ก็อาจจำเป็นต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิด แต่กลุ่มนี้พบว่ามีจำนวนน้อย และปกติจะมีผู้ปกครองดูแลอย่างใกล้ชิด จึงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

“ถ้าผู้ป่วยออทิสติกเข้าถึงการรักษาเร็วตั้งแต่อายุน้อยๆ หลายคนสามารถ ไปโรงเรียนได้ บางคนสามารถเรียนจบปริญญาได้ ที่สำคัญในระยะหลังๆ เราพยายามสนับสนุนให้น้องๆ ทำงานอยู่ร่วมในสังคมได้ ไปไหนมาไหนเองได้ ซึ่งจริงๆ แล้วกรณีของน้องที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่นี้ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างนั้น เพราะน้องสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไปไหนมาไหนได้ หากน้องได้รับคำแนะนำหรือเห็นความเอื้อเฟื้อต่อสังคม ยิ่งมั่นใจว่าจะเดินหน้าเป็นคนที่สามารถทำงาน และสร้างสรรค์อะไรได้เพิ่มเติมกว่านี้อีกด้วย

“แล้วตอนนี้น้องยังเป็นเด็กที่อยู่ในโครงการศูนย์จ้างงาน ซึ่งเราเรียกว่าเป็นโครงการจ้างงาน หมายความว่าน้องจะได้รับการดูแลจากสถาบัน เพื่อช่วยฝึกทักษะต่างๆ ในการดำรงชีวิต เพื่อให้น้องมีความพร้อมในการดูแลตัวเองและประกอบอาชีพได้ “

นอกจากนั้นแพทย์หญิงอัมพรยังกล่าวว่าไม่เห็นด้วยที่มีบางคนออกมาแสดงความคิดเห็นว่าควรจะให้ผู้ป่วยออทิสติกมีป้ายระบุคล้องคอ เพราะจะทำให้คนป่วยรู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับ

“ประเด็นให้ผู้ป่วยออทิสติกติดป้ายบอกเพื่อให้เกิดความชัดเจนนั้น หมอคิดว่าเป็นสิ่งที่มองได้หลายแง่มุม สำหรับบางคนต้องการรู้สึกยอมรับในฐานะคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง คล้ายกับผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายหลายๆ คนที่อาจจะเดินไม่ได้ แต่พยายามวางตัวเองอยู่บนรถเข็น ช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด เขาอาจจะไม่ต้องการให้ใครมาโอบอุ้ม หรือจูงเขาตลอดเวลา ฉันใดก็ฉันนั้น ความภาคภูมิใจสูงสุดของผู้บกพร่องทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือจิตใจ คือ การที่เขาสามารถพึ่งพิงตนเองให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเราก็ต้องส่งเสริมให้บุคคลเหล่านี้พึ่งพาตัวเองให้ได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ “


ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ดราม่าแอคติคดอทคอม



ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น