เสียงร้องปนเสียงลมหายใจ ลีลาการโยกย้ายบนเวที หุ่นล่ำอินเทรนด์อย่างเกาหลีแต่หน้าตี๋ปนไทย… ทั้งหมดคือเหตุผลที่ผู้ชมโหวตให้ลูกครึ่งไทย-ไต้หวันรายนี้ชนะการประกวด KPN ครั้งล่าสุด และเรียกเขาว่า “เรนเมืองไทย” กระทั่งถูกจับตาว่าตั้งใจจะก๊อบปี้ต้นฉบับมากกว่าเหมือนโดยธรรมชาติ แต่ไม่ว่าความจริงคืออะไร คนตรงหน้าในตอนนี้คือตัวตนที่แท้จริงของ “บี้ ธรรศภาคย์ ชี” ไม่ได้โคลนนิ่งใครมาเพื่อตอบคำถามของเราอย่างแน่นอน
รอยยิ้มกว้างๆ คือคำทักทายแรกที่ “บี้ ธรรศภาคย์ ชี” มอบให้ M-Lite แวบแรกที่เห็น ผู้สัมภาษณ์ตั้งคำถามในใจทันที... ตกลงว่าบี้ยิ้มกว้างกว่าคนทั่วๆ ไป หรือตาของเขาตี่มากจนทำให้รอยยิ้มดูกว้างกว่าปกติกันแน่? เมื่อสนทนากันไปเรื่อยๆ จึงได้ข้อสรุปภายหลังว่าเป็นคำตอบที่ถูกทั้งสองข้อ เพราะบี้เป็นคนยิ้มเก่งจริงๆ ยิ้มปิดท้ายแทบทุกประโยคที่พูดออกมา รวมถึงรูปตาของเขาเองก็มีเอกลักษณ์มากเช่นกัน คือดูเล็กเรียวแต่คมเข้ม คงเพราะเชื้อสายไต้หวันที่มีอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง หรือจริงๆ แล้วอาจมีมากกว่าครึ่งเสียอีก
“เกิดที่ไต้หวันครับ คุณแม่เป็นคนไทย คุณพ่อคนไต้หวัน ผมอยู่ที่นู่นได้ 13 ปี พอดีคุณพ่อคุณแม่ต้องกลับมาทำสวนยางที่ไทย กลัวว่าพี่ชายที่อยู่ด้วยกันจะไม่มีเวลาดูแลผม ก็เลยหอบผมกลับมาด้วย ตอนนั้นมาอยู่ไทยโดยที่พูดไทยไม่ได้เลย เพิ่งมาหัด 4-5 ปีหลังนี่เอง ตอนนี้พูดได้แล้วครับ แต่อาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด อย่างเวลาคุยกันแบบนี้ ผมต้องเอาภาษาไทยที่ได้ยินมาแปลเป็นจีนก่อนนะ ถึงจะเข้าใจ ผมก็เลยอาจจะตอบช้าไปบ้างบางที”
คำอธิบายยาวๆ ของบี้ทำให้ผู้สัมภาษณ์จับสังเกตได้ว่า เขายังออกเสียงสระบางตัวผิดเพี้ยนอยู่จริงๆ และยังเรียงคำขยายในบางประโยคแบบแปลกๆ อีกด้วย ส่วนเรื่องความชัดถ้อยชัดคำในการพูดนั้น ต้องถือว่าทำได้ดีมากจนแทบมองไม่เห็นข้อบกพร่องเลย และเหตุผลข้อสำคัญที่ทำให้พัฒนาการทางภาษาของบี้ก้าวหน้าเร็วขนาดนี้ก็คือ “ความฝันอยากเป็นนักร้อง” นั่นเอง
ไม่มีอาชีพสำรอง
“ผมชอบเสียงเพลงมากๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เวลาได้ยินเพลงจะอยากร้องอยากเต้นตลอดเวลา คุณแม่เล่าให้ฟังว่าผมจะหารีโมตมาถือไว้ในมือเลย เสร็จแล้วก็ทำท่าร้องเพลงไปด้วย ตอนนั้นยังพูดภาษาไทยไม่ได้ จะร้องจะพูดเป็นภาษาจีนกลางหมด ผมว่าผมฝันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแหละว่าอยากเป็นนักร้อง แต่แค่ยังไม่กล้าคิดจริงจังกับมันสักที ยังคิดว่ามันเป็นได้แค่ความฝันอยู่ พอโตมาเรื่อยๆ ประมาณม.ต้นถึงคิดได้ว่าฝันของเราน่าจะพอมีทางเป็นจริงได้บ้าง ซึ่งเป็นช่วงที่ย้ายมาอยู่ประเทศไทยพอดี” บี้ขุดคุ้ยร่องรอยในอดีตให้เราฟัง
ถึงแม้จะค้นพบแล้วว่าอยากเป็นอะไร แต่ดูเหมือนหนทางไปสู่ความฝันของบี้จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเท่าใดนัก เพราะนอกจากครอบครัวของเขาจะไม่สนับสนุนให้ทำงานในวงการบันเทิงแล้ว ยังพยายามคัดค้านอีกด้วย แต่บี้ก็ยังไม่ย่อท้อ พยายามทำตามความฝันของตัวเองอยู่แบบเงียบๆ จนสร้างให้มันเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้
“พอกลับไทยถึงเพิ่งได้มีเวลาคิดกับตัวเองว่าอยากเป็นนักร้องจริงจัง ความรู้สึกชัดมาก ผมก็เลยทั้งซ้อมร้องซ้อมเต้นทุกๆ วัน แต่จะไม่ได้มีโอกาสเทกคอร์สเรียนเต้นหรือร้องเพลงเหมือนคนอื่นๆ เขานะ เพราะที่บ้านไม่ค่อยชอบอะไรแบบนี้ เขาอยากให้เราไปทางหมอมากกว่า คนไต้หวันก็ค่อนข้างมีความคิดแบบคนไทยนั่นแหละครับ ชอบส่งเสริมให้ลูกๆ เป็นหมอ แต่ผมก็ดื้อครับ (หัวเราะ) ไม่เชื่อเขา ตอนนั้นคิดว่าที่บ้านไม่สนับสนุนก็ไม่เป็นไร เราหาทางฝึกฝนเองก็ได้ (ยิ้ม)” บี้ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจอะไร แต่เล่าให้ฟังด้วยอาการเริงร่าเสียมากกว่า ว่าแล้วหนุ่มหน้าตี๋ก็เริ่มอธิบายวิธีมุ่งสู่ดวงดาวตามแบบฉบับของตัวเอง
“คนส่วนใหญ่จะชอบไปเรียนพื้นฐานจากครูสอนเต้น สอนร้องเพลงก่อน แต่ผมไม่มีโอกาสนั้นไงครับ เลยใช้วิธีดูยูทิวบ์แล้วหัดเต้นตามแทน ว่างเมื่อไหร่ก็จะดูนู่นนี่ไปเรื่อยๆ ในนั้นมีอะไรให้ดูเยอะมากเลยครับ แต่ละคนเก่งๆ ทั้งนั้น ผมเองก็เริ่มฝึกร้องฝึกเต้นจากอินเทอร์เน็ตนี่แหละ หัดตั้งแต่ตอน 13 ปี ตอนนี้ก็ 19 แล้ว ถ้าพูดว่าฝึกมาตลอด 6 ปีอาจจะดูอึดเกินจริงไปหน่อยนะ (หัวเราะ) เพราะจริงๆ แล้วผมไม่ได้ฝึกทุกวัน เพิ่งมาฝึกจริงจังก่อนเข้าประกวด 2 เดือนหลังนี่เอง พอชนะการประกวดก็เลยดีใจมากครับ ผมว่าตั้งแต่โตมายังไม่มีอาชีพไหนที่ผมอยากทำเลย นักร้องเป็นสิ่งเดียวที่ผมอยากจะเป็นจริงๆ”
3 วันสุดท้ายสู่ความฝัน
อย่างที่บอก... ทางบ้านของบี้ไม่เคยคิดสนับสนุนให้ลูกเป็นนักร้อง จึงพอจะคาดการณ์ได้ว่าต้องมีสงครามจิตวิทยาภายในบ้านเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทีมงานจึงขอให้หนุ่มลูกครึ่งคนนี้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ให้ฟัง บี้ยิ้มด้วยสีหน้าตลกระคนครุ่นคิด ก่อนเริ่มเกริ่นให้ฟัง
“ไม่เคยทะเลาะกันแรงๆ หรือถึงขั้นประชดนะ (ยิ้ม) ครอบครัวเราจะคุยกันดีๆ มากกว่า จะบอกว่าไม่อยากให้ทำงานด้านนี้ ผมถูกดุบ่อยมากว่า “ทำไมไม่เอาเวลาไปอ่านหนังสือ เอาเวลามาซ้อมร้องซ้อมเต้นอยู่ได้ เสียเวลา” แต่ผมก็ทำเหมือนเดิม (หัวเราะหึๆ) ก็เข้าใจนะว่าเขาเป็นห่วงเรื่องสังคมในวงการบันเทิง กลัวถูกหลอก ยิ่งผมเป็นคนหาดใหญ่ จะมาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ คนเดียวเขายิ่งเป็นห่วง แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าทำสิ่งที่ตัวเองชอบน่ะมันดีที่สุดแล้ว” หลังจากจบประโยคด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ บี้จึงเผยจุดไคลแมกซ์ของเรื่อง
“ตอนเข้าประกวด ผมไม่ได้บอกพ่อกับแม่เลยนะ พอได้เป็นตัวแทนภาคใต้ไปประกวดต่อที่กรุงเทพฯ ถึงได้บอกความจริง ผมบอกคุณแม่ว่าถ้าได้ไปประกวดแล้วผ่านรอบนี้ได้ ผมจะดีใจมากเลย จะได้อยู่ถึงรอบสุดท้าย คุณแม่ก็ทำหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “ขอคิดดูก่อน” เท่านั้นแหละ ผมใจแป้วเลย คิดกับตัวเองว่า “โอ๊ย... จะไม่ได้ไปอีกแล้วเหรอเนี่ย (น้ำเสียงโอดครวญ)”
“ตอนนั้นเหลืออีก 3 วันจะถึงกำหนดเรียกตัวเข้ากรุงเทพฯ ผมเริ่มหมดหวังแล้ว คิดว่าไม่ได้ไปแล้วแน่ๆ จู่ๆ คุณแม่ก็เดินเข้ามาถามว่า “อ้าว! ไม่ซ้อมแล้วเหรอ ไหนบอกจะไปประกวดไง ไม่เห็นเตรียมตัวเลย” พอได้ยินแบบนั้นปุ๊บ ผมกระโดดเลย (ยิ้มแก้มปริ เหลือพื้นที่บนหน้าให้เห็นแววตาใสๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น) ดีใจมาก ซ้อมไม่หยุดเลยคราวนี้ (หัวเราะ) มารู้ทีหลังว่าหลังจากบอกคุณแม่วันนั้น คุณแม่ก็ไปช่วยคุยกับคุณพ่อให้ ผมถึงได้ไป ต้องขอบคุณพ่อกับแม่จริงๆ ครับ” น้ำเสียงท้ายประโยคของบี้เหมือนฝากขอบพระคุณบุพการี มากกว่าแค่ต้องการเล่าให้เราฟัง
ลูกทหาร... ปฏิบัติ!
ทุกครั้งที่พูดถึงครอบครัว สังเกตว่าน้ำเสียงของบี้จะดูอ่อนโยนมากกว่าปกติ และดูจะค่อนไปในทาง “เกรงอกเกรงใจ” เป็นส่วนใหญ่ เมื่อถามเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงได้คำตอบว่าจริงๆ แล้ว เขารู้สึก “เกรงขาม” เสียมากกว่า เพราะคนในครอบครัวดุกันทุกคน โดยเฉพาะคุณพ่อ!
“ที่บ้านค่อนข้างดุครับ ดุทุกคนเลยมั้ง (ยิ้ม) คงเพราะคุณพ่อเป็นทหารด้วย เขาจะเข้มงวดมาก เวลาสอนลูกก็เลยจะชอบใช้วิธีแบบทหารๆ อย่างเช่นเวลาผมกลับบ้านไม่ตรงเวลา สายสักประมาณ 5-10 นาที เขาจะทำโทษ สั่งให้เราไปนั่งคุกเข่ากับกำแพงนานชั่วโมงหนึ่ง หรือเวลาทำอะไรผิดมากๆ แล้วเขาโกรธ คุณพ่อคว้าอะไรได้จะเอามาตีหมดเลย ค่อนข้างเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ลูก 3 คนก็ไม่มีใครนอกลู่นอกทางนะ แสดงว่าวิธีสอนของคุณพ่อได้ผลจริงๆ” หนุ่มตาตี่แจกยิ้มขี้เล่น แล้วจึงเปลี่ยนเป็นโหมดจริงจัง
“ตอนเด็กๆ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาต้องเข้มงวดหรือดุเราบ่อยๆ ขนาดนั้น แต่พอตอนนี้โตขึ้น เข้าใจแล้วครับว่าที่เขาตีเราดุเรา ไม่ใช่เพราะเขาไม่รักเราหรอก แต่มันเป็นวิธีสอนของเขา ถ้าพ่อไม่ทำแบบนั้น เราสามคนพี่น้องอาจจะเสียคนไปแล้วก็ได้” ได้ยินแบบนี้ ชักกระตุ้นต่อมให้อยากรู้เสียแล้วว่าคนอย่างบี้จะเสียคนด้วยเรื่องอะไร เจ้าของคำตอบจึงตั้งหน้าตั้งตาอธิบาย ก่อนที่จะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้
“ก็ไม่ได้ถึงกับเกเรอะไรหรอกครับ แค่จะชอบไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนบ่อยๆ แล้วก็กลับดึกตามประสาวัยรุ่นทั่วไป ผมชอบเดินถนนคนเดินเล่นของไทเปมาก มันมีทุกอย่างให้ดูให้ซื้อ แปลกหูแปลกตาดี อีกอย่างคงเป็นเพราะตอนนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนมากเท่าไหร่ด้วย ได้เกรด 2 กว่าๆ ตลอดเลย แต่ก็ผ่านมาได้นะ” เมื่อพ้นจากข้อกล่าวหา เขาจึงกลับมาเป็นผู้คุมหัวข้อบทสนทนาอีกครั้งหนึ่ง
“จริงๆ แล้วคุณแม่ก็ดุเหมือนกันนะ แต่จะดุคนละแบบกับคุณพ่อ เวลาเห็นเราถูกคุณพ่อทำโทษแบบโหดๆ หน่อย คุณแม่จะทำหน้าสงสารเรา พยายามห้ามปรามคุณพ่อ (หัวเราะ) แต่พอถึงทีคุณแม่เอง เขาก็เข้มงวดไม่แพ้ใครเหมือนกัน จะชอบบ่นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา แต่ผมสนิทกับแม่นะ สนิทมาก ถ้าจะมีแฟน ผมคงเลือกผู้หญิงแบบคุณแม่นี่แหละครับ ดูเหมือนจุกจิกแต่ใส่ใจและเข้าใจเรา (ยิ้ม)”
“ส่วนพี่ชายอีกสองคน ไม่ค่อยดุแต่จะชอบแกล้งตลอด ด้วยความที่อายุห่างกันมาก ผมห่างกับพี่คนกลาง 9 ปี คนโต 10 ปี เลยกลายเป็นเบ๊ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ถูกพี่ใช้ให้ทำนู่นทำนี่ทั้งวัน วันหนึ่งวิ่งออกไปซื้อของนอกบ้าน 10 กว่ารอบได้ (ยิ้ม) แต่ตอนนี้ไม่ถูกหลอกใช้แล้วครับเพราะอยู่กันคนละที่ เขาอยู่ไทเปกันหมด มีผมอยู่ที่นี่คนเดียว” แววตาสนุกสนานเมื่อครู่กลับมีความเหงาเข้ามาเจือปน เมื่อพูดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพี่ชาย
“ต้นแบบ” หรือ “ลอกแบบ”?
“ไอดอลของบี้คือเรน ผมติดตามดูผลงานของเขามาตลอด อยากเป็นแบบเขาบ้าง (แววตาชื่นชม) ก็เลยชอบซ้อมเต้นซ้อมร้องอยู่กับตัวเองบ่อยๆ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนะที่คนอื่นจะมองว่าผมก๊อบปี้เขา แต่อยากจะบอกทุกคนว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะเลียนแบบจริงๆ แค่นับถือเรนเป็นแบบเรื่องการ performance บนเวที แต่ผมก็มีสไตล์เป็นของตัวเองอยู่นะ เรนเขาจะเต้นแข็งแรงกว่า แต่ผมจะออกแนวบีบอยปนฮิปฮอปมากกว่า”
ดูเหมือนบี้จะเคยตอบคำถามเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เพราะเขาตอบได้อย่างรวดเร็วจนแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยแม้สักวินาที และเพื่อให้เขาได้ตอบในประเด็นที่ต่างออกไปบ้าง ผู้สัมภาษณ์จึงตั้งคำถามออกไปอีกครั้งหนึ่ง “เพราะเพลงของบี้เป็นแนวเต้นๆ ด้วยหรือเปล่า จึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับศิลปินเกาหลี จนเลยเถิดไปถึงถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนแบบเขามา?” ซึ่งดูเหมือนว่าคำถามนี้จะช่วยให้บี้ได้หยุดคิด และแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้อย่างน่าสนใจอีกครั้งหนึ่ง
“สมัยนี้กระแสเกาหลีมาแรงมากจริงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครที่ทำออกมาแล้วคล้ายๆ ฝั่งนู้น คือออกแนวร้องด้วยเต้นด้วย ก็จะถูกเหมารวมไปหมดว่าไปก๊อบปี้เขามา ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าศิลปินเกาหลีเขาเก่งมากจริงๆ แหละครับ ทำให้เป็นที่จับตามองมากกว่า คนส่วนใหญ่เลยตัดสินไปว่าผลงานที่พวกเขาเห็นทีหลังเป็นผลงานก๊อบปี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น”
“ผมว่าพี่ๆ ที่ทำงานเบื้องหลังของไทยเราเองก็เก่งเหมือนกัน เขาสามารถคิดได้เองโดยไม่จำเป็นต้องมี reference จากที่อื่นด้วยซ้ำ แล้วศิลปินไทยของเราก็เก่งไม่แพ้ไต้หวัน ไม่แพ้เกาหลี อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงตัวเองนะ แต่ผมพูดจากที่เคยเห็น ผมว่าทั้งหมดมันอยู่ที่การโปรโมตของแต่ละประเทศกับเรื่องของดวงมากกว่าครับ” บี้มีทุกวันนี้ได้เพราะดวงด้วยหรือไม่... ยังสรุปไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ คือตัวตนของผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ มีเสน่ห์แบบที่ไม่จำเป็นต้องก๊อบปี้ใครอย่างแน่นอน
มีแววรุ่งกันทั้งตระกูล
เห็นบอกว่าพ่อแม่ไม่สนับสนุนให้เข้าวงการ แต่รู้หรือไม่! ลูกชายทั้งสามคนของบ้านนี้เคยเข้าวงการกันทุกคนแล้ว เริ่มตั้งแต่พี่ชายคนโต เคยเป็นนายแบบ สวมชุดโชว์หุ่นเร้าใจสาวๆ ที่ไต้หวัน “แต่ทำได้ 2 ปีเขาก็เลิกครับ ตอนนี้หันไปทำธุรกิจของตัวเองแล้ว ได้เงินดีกว่าด้วย” บี้อธิบาย
ส่วนพี่ชายคนกลางเคยเดินบนเส้นทางเดียวกันมาแล้ว คือล่าฝันประกวดร้องเพลงบนเวทีที่ไต้หวันมาหลายเวที แต่โชคไม่ดีไม่เข้าตากรรมการ ทั้งๆ ที่น้องชายคนสุดท้องยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “เขาหน้าตาดีนะ แล้วก็ร้องเพลงเพราะด้วย แถมยังหล่อกว่าผมอีก” เช่นเดียวกับคุณพ่อที่บี้ยกย่องอย่างออกหน้าออกตาว่า “ร้องเพลงเพราะมากๆ” รับรองว่าถ้าประกวดเคพีเอ็นฯ สมัยเดียวกัน บี้มีสิทธิ์ตกรอบเพราะคุณพ่อและเหล่าพี่ชายที่ทั้งหน้าตาดีและเสียงดีจนกินกันไม่ลง คอมเมนเตเตอร์เตรียมตัวหนักใจไว้ได้เลย!
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: บี้ ธรรศภาคย์ ชี
เกิด: 30 ตุลาคม 2534
น้ำหนัก: 71 กิโลกรัม
ส่วนสูง: 183 เซนติเมตร
การศึกษา: ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย
ความสามารถ: ร้องเพลง, เต้นป็อบปิ้งและบีบอย
รางวัลที่ได้รับ: ผู้ชนะเลิศการประกวดเวทีเคพีเอ็น อวอร์ด ครั้งที่ 20
ผลงาน: ละครเรื่อง “สุดหัวใจ..เจ้าชายเทวดา” และซิงเกิลเพลง “ครั้งแรก (First Impression)”
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี