xs
xsm
sm
md
lg

เอ็มวีเซ็กซี่กับสังคมติดเซ็กซ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพเซ็กซี่วาบหวิวจากเอ็มวีของเกิร์ลลี่เบอร์รี่ที่ถูกกระแสสังคมต่อต้าน
อะไรเอ่ย... ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเซ็กซี่ วาบหวิวมากขึ้นเรื่อยๆ? หลายคนอาจเติมคำในช่องว่างได้คำตอบที่แตกต่างกันไป แต่คำตอบหนึ่งเดียวที่ M-Lite อยากให้ทุกคนหันมาพิจารณากันในวันนี้ คือภาพนักร้องสาวนุ่งสั้น สวมเสื้อผ้าเนื้อบาง แต่งกายยั่วยวน พร้อมกับเต้นยั่วเย้าผู้ชมไปตามเสียงเพลงในมิวสิกวิดีโอ หากพฤติกรรมดังกล่าวหยุดอยู่แค่เพียงหน้าจอโทรทัศน์หรือเฉพาะในกลุ่มศิลปิน คงไม่ต้องพูดกันให้มากความ แต่วันนี้ลีลายั่วสวาทกับนิสัยกล้าส่ายเอวโชว์ความเซ็กซี่ได้ลามมาถึงเด็กไทยวัยเรียนเรียบร้อยแล้ว จึงถึงเวลาเสียทีที่ทุกฝ่ายต้องลุกขึ้นมาพิจารณาสังคมไทยในวันนี้ กับสภาพที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “สังคมติดเซ็กซ์”!

“กบว. สั่งแบนเอ็มวีโชว์เซ็กซี่ในเครื่องแบบ” และ “สงกรานต์สยิว 3 สาวใจกล้า เปิดเต้าอวดลีลายั่วเย้าเขย่าเมืองหลวง” เมื่อข่าวที่เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ สองข่าวนี้ถูกนำเสนอออกมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ช่วยสะท้อนความคิดให้แก่ผู้อ่านอย่างไรบ้าง? เปล่า... ผู้เขียนไม่ได้ต้องการสรุปว่าศิลปินเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เยาวชนเอาเยี่ยงอย่าง เพียงแค่ต้องการให้ลองหันกลับมามองว่าอะไรทำให้ศิลปินไทย เด็กไทย และคนไทยกล้าปลดปล่อยและกล้าเสพเซ็กซ์กันถึงขนาดนี้ หรือวัยรุ่นสมัยนี้เห็นว่าพื้นที่ส่วนตัวบนเรือนร่างได้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะ กลายเป็นสมบัติผลัดกันชมไปเสียแล้ว?
 

วิวัฒนาการความเซ็กซี่ผ่านเอ็มวี
ลองให้ผู้ใหญ่ตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไปนั่งดูเอ็มวีวงเกิร์ลกรุ๊ปของประเทศไทยในวันนี้ รับรองว่าจะได้คำคอมเม้นต์ไม่หนีห่างไปจาก “ผู้หญิงสมัยนี้ ทำไมถึงได้กล้านัก” หรือ “มันจะเซ็กซี่กันไปถึงไหน” อย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะพวกเขาตัดสินจากวัฒนธรรมเก่าๆ เป็นบรรทัดฐานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องยอมรับว่าภาพความเซ็กซี่ในมิวสิกวิดีโอเพลงไทย นับวันยิ่งจะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงมากขึ้นจริงๆ

ย้อนกลับไปในสมัยที่เรือนร่างผู้หญิงยังมีคุณค่ามากกว่าทุกวันนี้หลายเท่า มีศิลปินหญิงเพียงไม่กี่รายครองตำแหน่งสาวเซ็กซี่รุ่นบุกเบิก ไม่ว่าจะเป็นคริสติน่า อาร์กีล่า, ใหม่ เจริญปุระ และมาช่า วัฒนพานิช หากลองเสิร์ชดูเอ็มวีเก่าๆ ของพวกเธอจะเห็นว่าทั้งงานเพลง ลีลาท่าเต้น รวมถึงการแต่งตัว สร้างภาพลักษณ์เซ็กซี่ก็จริง แต่ไม่ใช่แบบวาบหวิว นุ่งสั้น โชว์เนื้อหนังอย่างศิลปินในยุคนี้ นักร้องรุ่นก่อนจึงไม่เคยถูกสังคมต่อต้านและตั้งคำถามว่า “ขายเพลงหรือขายอะไรกันแน่?”

กระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งกายของศิลปินเพิ่งมามีในยุคหลังๆ โดยเฉพาะศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกๆ อย่าง “ไทรอัมพ์ คิงดอม” ผู้นำแฟชั่นเสื้อสายเดี่ยว กางเกงสั้นจู๋ เข้ามาในหมู่วัยรุ่น จนกระทรวงวัฒนธรรมต้องออกมาติติงด้วยตนเองเป็นครั้งแรกๆ แต่ไม่ใช่บทบาทครั้งสุดท้าย “เกิร์ลลี่ เบอร์รี่” ก็เป็นนักร้องสาวอีกวงหนึ่งที่นำเสนอความเซ็กซี่ของตัวศิลปินเป็นจุดขายอย่างชัดเจน และมักถูกกลุ่มอนุรักษนิยมออกมาต่อต้านเสมอ ล่าสุดกิ๊บซี่และกิ๊ฟซ่า สมาชิกของวง เพิ่งถูกสั่งแบนเอ็มวีไปในข้อหาใช้ชุดตำรวจ-นางพยาบาลในเอ็มวี แสดงท่าทางสื่อไปในเรื่องเพศ สร้างความเสื่อมเสียให้แก่เครื่องแบบเจ้าหน้าที่

ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เหตุใดภาพเซ็กซี่ โชว์สัดส่วน เต้นยั่วยวนกิเลสที่ถูกนำเสนอผ่านเอ็มวี นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที คำถามนี้ กิ๊บซี่ วนิดา เติมธนาภรณ์ สมาชิกวงเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “เอ็มวีเราไม่ได้แรงขึ้นนะ ที่ผ่านมามีทั้งเซ็กซี่และไม่เซ็กซี่ปนๆ กันไป อย่างเอ็มวีตัวแรก คนก็จะบ่นกันว่าทำไมไม่เซ็กซี่เลย คิดว่ามันคงสลับๆ กันไปมากกว่า ถามว่านับวันยิ่งเซ็กซี่ขึ้นเรื่อยๆ ไหม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เรามีมา 6-7 อัลบั้ม ป่านนี้คงไม่เหลืออะไรแล้วแหละ มันแค่มีความเซ็กซี่แฝงมากับเพลงอยู่ตลอดเวลา ผลงานของเรามีหลายรูปแบบค่ะ ไม่ได้แรงขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน

ความคิดเห็นดังกล่าวเคยนำเสนอผ่านเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ครั้งหนึ่ง ในบรรดาผู้อ่านกว่า 7 หมื่นคน มีผู้โหวตเห็นด้วยกับบทสัมภาษณ์ดังกล่าวของกิ๊บซี่คิดเป็น 12% และไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนถึง 88% ตัวเลขที่ปรากฏคงตอบข้อสงสัยได้เป็นอย่างดีแล้วว่า คนทั่วไปมีความคิดเห็นอย่างไรต่อมิวสิกวิดีโอโชว์วาบหวิวในเมืองไทยอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
 

เหตุผลเบื้องหลังความวาบหวิว
ทำไมถึงกล้าทำ? คำถามนี้ผุดขึ้นมาทุกครั้งที่ได้ดูมิวสิกวิดีโอของศิลปินสาววัยใส ใส่ชุดกระโปรงสั้น ผ้าพลิ้วบาง ส่ายสะโพกไปมายั่วยวนสายตา เอ็มวีบางตัวต้องแสดงท่าทีเสน่หาต่อเพศตรงข้าม นอกจากชม้ายตาสื่อความต้องการภายในแล้ว ยังเพิ่มโปรโมชันสัมผัสเนื้อตัว ลูบไล้ร่างกายกันและกัน ชวนให้ผู้ชมจินตนาการไปถึงไหนต่อไหน ในฐานะอดีตนักร้องนำแห่งไทรอัมพ์ คิงดอม ซึ่งเคยขายความเซ็กซี่มาก่อน โบว์ สุรัตนาวี สุวิพร จึงช่วยย้อนเวลากลับไปอธิบายความรู้สึกในวัย 17 ให้ฟัง

“ต้องย้อนกลับไปก่อนว่าไทรอัมพ์ คิงดอมตอนนั้น มันไม่ใช่การขายเพลงอย่างเดียว แต่คือการขายอิมเมจของทั้งโบว์และจอยซ์ด้วย แล้วตอนนั้นเราก็ยังเป็นวัยรุ่น อยากทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้รู้สึกสนุกสนานเต็มที่ พอดีได้ออกอัลบั้ม เราก็อยากให้มีสีสันอย่างที่ตัวเองชอบ ภาพเลยออกมาแบบนั้น แต่ตัวนักร้องเองก็ต้องยอมรับนะว่ามันเป็นภาพที่ออกมาจากตัวเราจริงๆ จะบอกว่าฉันต้องทำงาน ที่เห็นอยู่นี่มันไม่ใช่ตัวตนของฉัน มันไม่ได้ เพราะเมื่อก่อนที่ภาพโบว์ออกมาเป็นแบบนั้น มันก็คือความเป็นเรานี่แหละ

“ตอนที่มีผู้ใหญ่ในสังคมออกมาว่าเรา ออกมาต่อต้านการแต่งตัวของเรา ก็ไม่ถึงกับมองว่าเขาหัวโบราณหรือต่อต้านเขานะคะ แต่แค่รู้สึกว่าตัวเราไม่ได้ดังขนาดนั้น คงไม่ได้มีอิทธิพลต่อใคร ไม่ได้เป็นไอดอลให้ใครเลียนแบบได้หรอก แต่พอเริ่มอัลบั้มที่ 3 เริ่มโตขึ้น เริ่มเห็นแล้วว่ามีคนยึดเราเป็นไอดอลจริงๆ ก็เลยไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้ว ภาพของโบว์ก็เลยเปลี่ยนไป คนอาจจะมองว่าเดี๋ยวนี้โบว์ไม่ใส่สั้นแล้ว ไม่เจ๋งเลย ไม่เท่แล้ว แต่โบว์รู้สึกว่าเราเลือกจะเป็นแบบนี้ เราก็มีความสุขกับตัวเราเอง เราไม่อยากนุ่งสั้นให้ใครพูดไปถึงครอบครัวเรา ไม่อยากให้เขาว่าไปถึงสถาบันการศึกษาของเรา ก็เลยไม่เอาดีกว่า ไม่เป็นแบบเดิมแล้ว โบว์เผยความคิดในวันเวลาที่เปลี่ยนไป กับวัย 30 ของเธอ

ทุกครั้งที่ผลงานถูกวิพากษ์วิจารณ์ คนส่วนใหญ่มักโทษไปที่ตัวศิลปิน แต่น้อยครั้งนักที่จะมองลึกลงไปถึงเจ้าของความคิดและคนที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง จิ๊บ หทัย ศราวุฒิไพบูลย์ ผู้อำนวยการฝ่ายงานสร้างสรรค์ ค่ายกามิกาเซ่ สังกัดอาร์เอส โปรโมชั่น พร้อมแล้วที่จะอธิบายวิธีคิดของผู้มีอิทธิพลเหนือศิลปินให้ฟัง

“เวลาคุยงานกัน เราไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าอยากให้ศิลปินคนนี้โชว์เซ็กซี่ หรือตั้งใจจะเอาให้ตาค้างกันไปเลย แต่จะแค่คุยกับสไตลิสต์ว่าอยากได้ชุดที่โชว์สัดส่วนของเขาหน่อยเพราะน้องเป็นผู้หญิง อยากได้ชุดที่เน้นรูปร่าง ซึ่งเราก็มีเหตุผลที่เลือกแบบนั้น เพราะเขาเป็นวงเต้น จะให้มาใส่เสื้อผ้ารุ่มร่ามคงไม่ได้ มันจะไม่เห็นไลน์การเต้นการย้ายของเขา การแต่งตัวเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพน่ามองขึ้นค่ะ แต่ก็ไม่ได้เน้นขนาดนั้น เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่ขายคืองานเพลง เขาเป็นศิลปิน เขาไม่ใช่คนที่ต้องโชว์ตัวขนาดนั้น อยากให้มองว่าภาพที่เห็นเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ออกมาจากตัวศิลปิน ตราบใดที่เพลงห่วยแตกมาก ร้องเพลงไม่ดี แต่งโป๊แทบตายก็อยู่ได้ไม่นานหรอกค่ะ เธออธิบาย ก่อนแสดงความคิดเห็นเรื่องการเซ็นเซอร์และคำว่าเซ็กซี่ในสายตาคนไทยให้ฟังอย่างตรงไปตรงมา

“ส่วนตัวไม่รู้สึกว่ามันสั้นจนเกินงามหรือน่าเกลียดอะไร เพราะเราอยากให้คนมองเขาเป็นศิลปิน ทั้งหมดคือการเอ็นเตอร์เทน แล้วการแต่งตัวก็เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ช่วยคุมคาแร็กเตอร์ ดูเอ็มวีของน้องเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ที่ถูกแบนก็รู้สึกว่าสวยดี เป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง ตอนที่นั่งดูก็ไม่ได้คิดว่าจะมีใครออกมาต่อต้าน เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับบรรทัดฐานของแต่ละคนมากกว่าค่ะ คนที่เซ็นเซอร์อาจจะมีลิมิตอีกแบบหนึ่งว่าถ้าชุดออกมาแบบนี้ต้องโดนแบนแน่ๆ แต่ในวงการแฟชั่น คนเบื้องหลังอย่างเรา ลิมิตอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง อาจจะไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องผิด แต่มองว่าเป็นศิลปะในการนำเสนอมากกว่า”
 

เซ็กซี่แบบไทยๆ ยังถือว่าเบาะๆ
ผู้ใหญ่หลายคนอาจรับไม่ได้กับภาพลักษณ์หญิงสาวใจกล้า โชว์เรียวขา เว้าร่องลึก และลีลาเร้าใจในเอ็มวี แต่ถ้าเปรียบเทียบระดับความเซ็กซี่กับมิวสิกวิดีโอในต่างประเทศแล้ว ต้องบอกว่าศิลปินไทยไม่ติดฝุ่นเลยทีเดียว อาเธอร์ กมลกร รักษ์อาจ Creative Music Promotion ค่ายสนามหลวง สังกัดแกรมมี่ ผู้โปรโมตงานเพลงและดูแลภาพรวมของศิลปิน บอกว่า “ตอนนี้เมืองนอกเขาใส่เป็นชุดชั้นในกันแล้วนะ”

“ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าแฟชั่นมันเป็นเทรนด์ที่จะวนไปเรื่อยๆ และตอนนี้ดูเหมือนว่าในต่างประเทศจะเหลือแค่แฟชั่นชุดชั้นในก็พอแล้ว ในเอ็มวีไม่ต้องใส่เสื้อผ้ากันแล้ว ใส่แค่ชุดชั้นในก็พอ ถ้าเทียบกับเขาแล้ว ถือว่าบ้านเรายังดีนะ ยังไม่ไปไกลถึงขนาดนั้น แต่ถึงจะเหลือแค่ชุดชั้นใน บ้านเขาก็ยังมองว่ามันคือศิลปะอยู่ดี อย่างเลดี้ กาก้า เขาใส่เสื้อชั้นในเต้นไปเต้นมา แต่ภาพรวมของเขาที่ออกมา ดูรู้ว่ามันเป็นศิลปะ ก็เลยไม่ถูกวิจารณ์ไปทางเสื่อมเสีย คุณอาเธอร์ยกตัวอย่างศิลปินต่างชาติเพิ่มเติม

“หรืออย่าง Girls Generation หรือ Wonder Girls เกิร์ลกรุ๊ปต่างๆ ของเกาหลี ศิลปินของเขาใส่สั้นก็จริง แต่การเต้นของทุกคนดูเต็มที่ ตั้งใจ พร้อมเพรียง เป็นไปในทิศทางเดียวกันจนน่าทึ่ง ทำให้คนดูเทความสนใจไปที่ท่าเต้น มากกว่าจะเลือกมองเรื่องเซ็กซี่ไม่เซ็กซี่เป็นหลัก ทำให้คนไม่รู้สึกว่าผู้หญิงพวกนี้เขากำลังขายความเซ็กซี่ ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาก็ขายความเซ็กซี่ไม่ต่างจากศิลปินบ้านเราที่ถูกว่าถูกด่านั่นแหละค่ะ เพียงแต่เขามีจุดขายอย่างอื่นมาซัปพอร์ต ทำให้รู้สึกว่ามันมีคุณภาพ

ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่ปัญหาเรื่องเอ็มวีวาบหวิวจะหมดไปจากสังคมไทย คุณอาเธอร์จึงแสดงความคิดเห็นในฐานะผู้ผลิตคนหนึ่ง

“ส่วนตัวรู้สึกว่าคนไทยกับคำว่าเซ็กซี่เป็นอาการปากว่าตาขยิบนะ เหมือนกับว่าคนบ้านเราให้ความสนใจกับเรื่องแบบนี้ แต่ชอบพูดชอบติว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าเปรียบเทียบกับศิลปินเกาหลี เขาใช้ Sex Appeal ของศิลปินมาเป็นจุดขายไม่ต่างจากบ้านเรา แต่คนดูของเขาไม่ได้ให้ค่าความเซ็กซี่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี พูดง่ายๆ ก็คือบ้านเขาชอบดูและชื่นชม ส่วนบ้านเราชอบดูแต่ชอบด่านั่นแหละค่ะ (หัวเราะ) จริงๆ แล้วถ้าศิลปินไทยมีคุณสมบัติอื่นมากกว่าขายเซ็กซี่ คนก็จะมองว่าเฮ้ย! เพลงเพราะ เสียงดี แถมยังเซ็กซี่ด้วย คนจะไม่โฟกัสไปที่เรื่องเซ็กซี่อย่างเดียว
 

วิธีกำจัดนิสัยชอบโชว์
สำหรับกลุ่มคนที่มีวุฒิภาวะแล้ว จะเสพสื่ออย่างไร ต่อให้ดูเอ็มวีโป๊เปลือยขนาดไหนก็ไม่เป็นผล แต่ในกลุ่มวัยรุ่นที่ยังมองหาไอดอล ยังคงอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า อาจเกิดการลอกเลียนแบบในเรื่องไม่เหมาะสมได้ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ครั้งล่าสุดกับพฤติกรรมของวัยรุ่นสาวใจกล้า ถอดเสื้อเต้นโชว์บนหลังรถกระบะในวันสงกรานต์ที่ผ่านมา จนเกิดเป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้ผู้ใหญ่ในสังคมหันมาถามตัวเองว่า เหตุใดลูกหลานของเราจึงตกเป็นเหยื่อของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นนี้ ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข วิเคราะห์ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาพจำที่เด็กๆ ได้รับจากศิลปินต้นแบบ และเป็นเพราะความเคยชินในการมองเรื่องเซ็กซ์ในสังคมยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไป พูดง่ายๆ ว่าชอบโชว์กันมากขึ้นนั่นเอง

“สมัยนี้มันเป็นยุคสมัยที่คนไม่หวงเนื้อตัวร่างกายตัวเอง กลายเป็นสังคมที่เห็นเรื่องไม่ถูกต้องเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เพราะคนไปอ้างว่าการแต่งตัวเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เห็นจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นเลย แต่จริงๆ แล้วถ้าจะแต่งวาบหวิวควรจะแต่งอยู่ที่บ้านมากกว่า โดยเฉพาะบุคคลสาธารณะ นักร้อง นักแสดง พิธีกร ยิ่งควรจะทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี แต่ถ้าเราจะไปรอคอยให้ศิลปินดาราเลิกแต่งตัวโป๊คงไม่ได้ผล อย่าไปหวังเลยว่านักร้องในเอ็มวีจะแต่งตัวเรียบร้อย มันเป็นจุดขายของเขา สังคมสมัยนี้มันเป็นสังคมติดเซ็กซ์ คนผลิตเขาก็รู้ดีว่าถ้าขายเซ็กซ์แล้วคนจะซื้อ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันดูวาบหวิว ยั่วยวน ทำออกมาแล้วขายได้ เขาทำทั้งนั้นแหละ และในเมื่อมันเป็นเรื่องของการขาย เขาก็ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมน้อยกว่าส่วนตนอยู่แล้ว”

“เพราะฉะนั้นครอบครัวนั่นแหละที่ต้องดูแลลูกของตัวเอง ถ้าเด็กได้รับการเลี้ยงดู ปลูกฝัง พ่อแม่คอยบอกคอยสอนว่าเขาคือความหวังของพ่อแม่ บอกว่าเขาเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูลนะ พูดให้เขามีจุดยืน มีเป้าหมายของตัวเอง บอกให้เขารู้ว่าครอบครัวรักเขาและคาดหวังในตัวเขา เด็กก็จะมีภูมิคุ้มกัน พอเริ่มรู้สึกว่ากำลังเอนเอียงไปในทางเสื่อม เขาก็จะดึงตัวเองกลับมาได้ พี่เชื่อเสมอว่าเด็กทุกคนไม่มีใครใฝ่ชั่ว ที่สำคัญคือต้องให้อภัย ถ้าลูกทำผิดพลาดไปแล้ว ครอบครัวต้องพร้อมจะอ้าแขนรับ ไม่มีอะไรสายเกินไปค่ะ อยู่ที่ครอบครัว เมื่อครอบครัวเราเข้มแข็ง ครอบครัวให้ความรัก ความห่วงใย ความเสียสละ ความเมตตา ลูกๆ หลานๆ ของเราก็จะอยู่รอด และเมื่อครอบครัวเข้มแข็ง สังคมก็เข้มแข็งตามไปเอง”

ต่อไปในภายภาคหน้าไม่ว่าภาพความเซ็กซี่จะแพร่ขยายกันเกลื่อนหน้าจอทีวีขนาดไหน การแต่งตัวของศิลปินจะเหลือเพียงแค่ชุดชั้นใน หรือจะวาบหวิวมากกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่ คงไม่มีวัยรุ่นออกมาเต้นเปลื้องผ้าในวันสงกรานต์ วันสำคัญ หรือวันธรรมดาวันใดอีก หากคนในครอบครัวช่วยกันล้อมรั้วให้แก่บุตรหลานของตัวเองด้วยความรักและความเข้าใจ พายุแห่งวัฒนธรรมจะไหลบ่าเข้ามาจากทิศทางไหนก็ไม่สำคัญ
 
รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์





ไม่ว่ากี่เอ็มวี เกิร์ลลี่เบอร์รี่ก็แรง!
เอ็มวีต่างประเทศ สยิวกว่ากันเยอะ!
โคโยตี้เด็ก เหยื่อของสังคมติดเซ็กซ์
กำลังโหลดความคิดเห็น