จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่สนุกกับการบุกป่าฝ่าดงมากกว่าเดินชอปปิ้งในห้าง สักกี่คนที่เห็นว่าลุยอยู่กลางท้องไร่ท้องนาสบายกว่านั่งทำงานในออฟฟิศติดแอร์ และจะมีผู้หญิงสวยๆ สักกี่คนที่ยินดีถอนตัวจากงานขายรูปร่างหน้าตา ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะชวดเงินก้อนโต ถ้ายังนึกไม่ออกว่าคนๆ นั้นจะสามารถเป็นใครได้บ้าง M-Lite ขอเสนอชื่อเธอคนนี้ให้พิจารณา “ปาล์ม ชลณัฏฐ์ โกยกุล”
แฟนรายการสารคดีสามารถอ่านข้ามย่อหน้านี้ไปได้เลย เพราะแน่ใจว่าคุณคงรู้จักพิธีกรสาวสวยคนนี้เป็นอย่างดีแล้วจากผลงานของเธอทางสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย (ThaiPBS) ในรายการ “ปลุกพลังบวก (Ignite TVThai)” เธอมักปรากฏตัวด้วยชุดสุภาพ ใส่สูท ไดร์ผมตรง สวมรองเท้าส้นสูงสีเรียบ ทำหน้าที่ดำเนินรายการบนเวทีเสวนาสร้างแรงบันดาลใจ แต่คนส่วนใหญ่คุ้นหน้าและชื่อ “ปาล์ม ชลณัฏฐ์ โกยกุล” จากรายการ “ชุมชนต้นประชาธิปไตย (ชุมชนต้นแบบ)” มากกว่า ด้วยมาดพิธีกรขาลุย เต็มที่ทุกสถานการณ์แบบไม่ห่วงสวย ทำให้หลายคนจดจำเธอได้ และเป็นเสน่ห์ข้อสำคัญที่ดึงดูดให้เราขอพบพูดคุยกับสาวเก่งรายนี้
วันนี้เธอจะมาในมาดไหนนะ? ผู้สัมภาษณ์นั่งคิดเล่นๆ ก่อนจะได้เจอตัวเป็นเป็นของเธอ เพียงไม่กี่อึดใจเจ้าของคำตอบก็โผล่มา ปาล์มสวมเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์สีเข้มกว่า กึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าปรอยฝนมาแต่ไกลด้วยรองเท้าผ้าใบสีครีม ถึงแม้จะเป็นการพบกันครั้งแรก แต่การแต่งตัวของเธอช่างดูคุ้นตา อาจเพราะเสื้อผ้าทะมัดทะแมงที่ปาล์มสวมใส่อยู่เป็นสไตล์เดียวกับมาดพิธีกรขาลุยของเธอ ต่างกันเพียงแค่วันนี้เธอไม่ได้รวบผมและไม่มีการอัดเทปออกอากาศเท่านั้นเอง
ตัวตนสองสไตล์
“จริงๆ แล้วจะแบบใส่สูท ส้นสูง เหมือนในรายการเครือข่ายพลังบวก หรือจะเสื้อยืด กางเกงยีนส์ เหมือนรายการชุมชนต้นประชาธิปไตย ปาล์มว่าปาล์มก็เป็นตัวเองทั้งสองแบบนะ เป็นปกติค่ะที่คนเราจะมีหลายโหมด” คือคำอธิบายจากสาวตาโต เพื่อตอบข้อสงสัยว่าตัวตนจริงๆ ของเธอเป็นแบบไหนกันแน่ ระหว่างสาวเนี้ยบเรียบร้อยหรือสาวน้อยมาดเซอร์อย่างที่เห็นกันบนหน้าจอโทรทัศน์ “แต่ที่แน่ๆ ปาล์มไม่ใช่คนแอ๊บแบ๊วนะ (ยิ้ม)” เพื่อไม่ให้ถูกตัดสินจากหน้าหวานๆ เธอจึงใช้เสียงห้าวๆ เป็นธรรมชาติของตัวเองช่วยยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
ถึงแม้ทั้งสองรายการที่ปาล์มรับผิดชอบอยู่จะมีวิถีการทำงานที่ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คืออีกรายการ สวมชุดเป็นทางการ ถ่ายทำอยู่ในสตูดิโอ ส่วนอีกหนึ่งรายการ สวมชุดทะมัดทะแมงออกกองต่างจังหวัด ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน แต่เธอยืนยันว่า “การที่เราปรับตัวไปตามแต่ละสถานที่ แต่ละโอกาส ปาล์มมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่การเฟกนะ แต่มันคือการรู้กาลเทศะมากกว่า ถ้าดูจากลักษณะการทำงาน งานที่ปาล์มทำอยู่มันอาจจะเหมือนขัดแย้งกัน แต่ถ้าวัดจากตัวเนื้องานจริงๆ มันไม่ต่างกันเลยค่ะ งานที่ปาล์มรับจะชัดเจนมาก โดยเฉพาะช่วงหลังๆ จะเกี่ยวกับวงการศึกษา สังคม ได้เข้าไปใกล้ชิดชุมชน อะไรประมาณนั้น แล้วตัวปาล์มเองก็ชอบมากที่เป็นแบบนี้”
ในหนึ่งอาทิตย์เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองสลับกับการออกไปสัมผัสผืนดินในชุมชน ถามว่ารู้สึกขัดแย้งในตัวเองบ้างไหมที่ต้องเปลี่ยนโหมดตัวเองไปมา ปาล์มยิ้มสบายๆ ก่อนตอบด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงว่า “ไม่เลยค่ะ สนุกดีออก เพราะถ้าจะให้อยู่ชนบทไปเลยก็อาจจะรู้สึกเบื่อ บางช่วงที่อยู่ต่างจังหวัดนานๆ ก็แอบคิดถึงเมืองเหมือนกัน แต่พออยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ได้ออกไปสูดอากาศในที่กว้างๆ ก็จะรู้สึกเมาตึก อยู่นานๆ ไม่ได้ค่ะ ไปๆ มาๆ แบบนี้แหละดีแล้ว” คำตอบของสาวผิวสวยตรงหน้าทำให้ต้องมานั่งวิเคราะห์กันใหม่ว่า ตกลงแล้วเธอเป็นคนประเภทไหนกันแน่ระหว่างทุนนิยมหรือเพื่อสังคม และเพื่อยุติความสับสนดังกล่าว เจ้าตัวจึงช่วยวิเคราะห์ตัวเองอีกแรงหนึ่ง
“ถามว่าเราเป็นคนสังคมจ๋าไหม ปาล์มว่าคนเรามีทุกมุมแหละ ปาล์มเองก็มีมุมสนุกสนานอยู่กับกลุ่มเพื่อน แต่แค่เราไม่เที่ยว ไม่ปาร์ตี้ ไม่กินเหล้า เพราะไม่รู้จะเสียตังค์ เมาปลิ้น กินเหล้าไปเพื่ออะไร มุมรักสวยรักงาม มีความสุขอยู่กับการแต่งตัว เราก็มี มีหลายอารมณ์ค่ะ"
"ที่ตลกมากคือคนที่ได้ดูรายการชุมชนฯ จะชอบทักว่าน้องปาล์มน่ารักจัง ดูใสๆ ไม่แต่งหน้าเลย ก็เลยยิ่งทำให้เขามองว่าเราเป็นคนเพื่อสังคมสุดๆ หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วปาล์มใช้เวลาแต่งหน้านานมาก ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ เพราะพี่โปรดิวเซอร์ต้องการให้ภาพออกมาแล้วดูเหมือนไม่แต่งหน้า เลยต้องแต่งเพื่อให้ดูเหมือนว่าไม่แต่ง น่าเกลียดไหม หลอกคนเยอะมากเลย” พิธีกรสาวเล่าให้ฟังด้วยท่าทีสนุกสนานพร้อมตบท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
ไม่ได้ตั้งใจทำเพื่อสังคม
จะบอกว่าเราไม่ใช่คนประเภทเพื่อสังคมอะไรมากมายอย่างนั้นหรือ? ผู้สัมภาษณ์สรุปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนปล่อยให้เจ้าตัวขยายความให้ชัดเจน “ประมาณนั้นค่ะ รายได้หลักของทีวีไทยและเงินเดือนของปาล์มมาจากภาษีของประชาชน เพราะฉะนั้นจะรู้สึกตลอดว่าเราเป็นหนี้คนทั้งประเทศอยู่ พอจะเลือกทำรายการอะไรก็จะคิดว่ามันให้อะไรแก่คนดูบ้าง แต่ถามว่าเป็นคนทำงานเพื่อสังคมไหม ก็ไม่ขนาดนั้นค่ะ คนที่ทำงานเพื่อสังคมจริงๆ น่าจะเป็นคนอย่างเจ้าหน้าที่รักษาป่าไม้มากกว่า ปาล์มเป็นแค่คนที่มีอุดมการณ์ในการทำงานของตัวเองอยู่บ้าง แล้วก็มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ เราแค่อยากทำอะไรที่รู้สึกว่ามันมีคุณค่า ทำอะไรที่มันมีประโยชน์กับคนดูจริงๆ ไม่ใช่สักแต่ทำๆ ไป พูดๆ พอให้เสร็จ รับตังค์แล้วก็จบกัน” ปาล์มพูดรัวเร็ว ก่อนเปิดใจเล่าความรู้สึกต่อ
“เคยมีคนติดต่อให้ไปทำรายการท่องเที่ยว เราถามว่าต้องทำอะไรบ้างคะ เขาบอกว่าไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ใส่กางเกงขาสั้น เดินสวยๆ ริมหาด เขาเสนอเงินมาเยอะมากเหมือนกัน แต่พอถามว่าต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง เขาตอบไม่ได้ บอกแค่ว่าให้เราพูดตามสคริปต์ไป ปาล์มก็เลยปฏิเสธไปค่ะ รู้สึกว่ามันไม่น่าสนใจ ปาล์มว่างานที่ทำออกมามันสะท้อนตัวตนของเรา ปาล์มเลยอยากให้ภาพที่ออกมาเป็นแบบที่เราพอใจ จะว่าเป็นคนสร้างภาพก็ได้นะ (หัวเราะ)”
อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรทำให้เธอปฏิเสธงานประเภทอาศัยความสวยเป็นใบเบิกทาง ทั้งที่งานชิ้นนั้นไม่ได้สร้างภาพลักษณ์ที่เสียหายมากนัก ตรงกันข้ามกลับช่วยปูทางไปสู่ความโด่งดัง ทั้งยังสบายกว่างานพิธีกรขาลุยที่เธอทำอยู่ตั้งเยอะ ปาล์มยิ้มมุมปากก่อนอธิบายคำว่า “งานสบายๆ” ในแบบของตัวเองให้ฟัง
“ไม่รู้พูดไปแล้วจะฟังดูงี่เง่าหรือเปล่า แต่ปาล์มรู้สึกว่าในงานทุกงานมันมีความลำบากของมันอยู่นะ กับงานที่ทำอยู่มันก็มีมุมเบื่อๆ อยู่บ้างเหมือนกันนะ ต้องนั่งรถตู้ ต้องตื่นตีสี่เสร็จสามทุ่ม มันก็เหนื่อย แต่สุดท้ายเรารู้สึกโอเคเพราะได้เจอผู้คน ได้พูดคุย ได้รู้สึกว่าทำอะไรดีๆ มีคุณค่า เวลาเหนื่อย เวลาแย่ ปาล์มก็จะเลือกมองมุมนั้น ถามว่าทำไมไม่เลือกงานสบายเหรอ...ในความรู้สึกของปาล์มคืออย่างที่ทำอยู่นี่แหละสบายแล้ว แต่ถ้าจะให้ไปทำแบบอื่น ให้ทำงานนั่งโต๊ะ หรือเป็นพิธีกรนุ่งสั้นอยู่ในสตูดิโอคงจะรู้สึกลำบากมากกว่า หนาวขาค่ะ” เจ้าของความคิดหัวเราะเล็กๆ ตบท้าย
ถึงแม้เธอจะไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นคนมีอุดมการณ์เพื่อสังคม แต่จากสายตาทีมงานและคนทั่วไปแล้ว เธอยังคงมีคุณสมบัติเหล่านั้นอยู่เต็มตัว ในฐานะผู้มีประสบการณ์จึงขอให้ปาล์มชี้แนะคนอื่นๆ ให้หันมาใส่ใจสังคม แต่กลับได้แนวคิดอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจกว่าจากปากของเธอคนนี้
“มีคนชอบมาถามปาล์มว่าเราจะช่วยสังคมได้ยังไง? ถามเรื่องจิตอาสา ปาล์มก็จะตอบไปว่าดูแลตัวเองให้ดีก่อนเหอะ จริงๆ นะ สังคมมันประกอบด้วยหน่วยเล็กๆ ยิบย่อย แล้วส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมน่าปวดหัวอย่างทุกวันนี้ เป็นเพราะแต่ละคนเอาแต่จะเรียกร้องสิทธิที่ตัวเองอยากจะได้รับ แต่ไม่เคยทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อน เลยรู้สึกว่าก่อนเราจะไปเปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนโลก เปลี่ยนสังคม เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหม แล้วถ้าเกิดว่าทุกคนคิดได้แบบนี้ ทุกคนทำตัวเองให้ดี โดยรวมก็จะดีเองค่ะ จะออกไปช่วยโลก แต่ตอนนี้คุณแม่ที่บ้านเป็นยังไง ตัวเองเป็นยังไงบ้างแล้ว มองแค่นั้นก่อน”
สวยได้ลุยด้วย
กว่าจะค้นพบตัวตนที่แท้จริง ปาล์มเองก็เคยฝืนทำงานที่ไม่เหมาะกับตัวเองมาก่อนเหมือนกัน เธอเคยเป็นพิธีกรรายการปกิณกะความงามทางช่องเคเบิลรายหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลาออกเพราะทนไม่ไหว ก่อนมุ่งสู่เส้นทางพิธีกรขาลุย หน้าสวยแต่ไม่ไร้สมองอย่างทุกวันนี้
“เป็นรายการผู้หญิงมานั่งซุบซิบนินทากัน ซึ่งจริงๆ แล้วปาล์มก็มีโหมดนี้เหมือนกันนะเวลาอยู่กับเพื่อน จะมีเมาส์ๆ กับเพื่อนสาวบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่งจีบปากจีบคอตลอดเวลา ซึ่งรายการเขาต้องการให้เราทำแบบนั้น ที่สำคัญคือเรารู้สึกไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ไม่เชื่อที่ตัวเองพูด พอพูดออกไปแล้วมันเลยดูตลก อย่างเช่นเราไม่ดื่มเหล้าแล้วต้องพีอาร์เรื่องปาร์ตี้ หรือเรื่องการแต่งตัว เราคิดว่ามันขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน แต่สคริปต์บังคับให้เราพูดว่าผู้หญิงขาใหญ่ใส่สั้นไม่ได้นะคะ มันขัดกับความรู้สึกจริงๆ”
หน้าสวย ผิวขาว ผมยาว หุ่นดี แถมเคยมีดีกรีเป็นเชียร์ลีดเดอร์จุฬาฯ อีกต่างหาก มองแวบแรกคงไม่มีใครเชื่อว่าคุณสมบัติทั้งหมดจะเหมาะกับตำแหน่งพิธีกรภาคสนาม ออกต่างจังหวัด พบปะพูดคุยกับคนในชุมชน แต่ท้ายที่สุดความสามารถที่มีอยู่ในตัวก็ทำให้เธอเป็นที่ยอมรับและเป็นที่จดจำ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร “พิธีกรสาวสวยที่ลุยได้ทุกสถานการณ์”
“อาจจะแค่ภาพภายนอกที่ทำให้แรกๆ คนมองว่าเราเป็นลูกคุณหนู แต่ตัวตนจริงๆ ข้างในก็เป็นคนลุยๆ มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนะ เป็นคนทะโมนๆ ตั้งแต่เด็กๆ ปีนต้นไม้เล่น ตกต้นไม้ โดนต่อต่อยประจำ เทปแรกๆ ที่ถ่ายทำรายการชุมชนฯ ต้องลงพื้นที่สำรวจเองทุกอย่างพร้อมกับทีมงาน อยู่กัน 9-10 วันก็มี ยิ่งเวลาไปถ่ายทำที่ชุมชนไกลๆ เราจะไม่ได้ขับรถออกมาซื้อของกันในเมืองเลย จะใช้ชีวิตอยู่เหมือนชาวบ้านที่นั่นแหละค่ะ มีอะไรให้กินก็กินกับเขา พักบ้านคนแถวนั้นก็บ่อย นอนวัดก็ทำมาแล้ว แต่เทปหลังๆ อาจจะใช้เวลาลงพื้นที่ไม่มากเท่าเดิม ชุมชนละ 3-4 วัน แต่ก็ยังได้ลงไปคลุกคลีอยู่กับชาวบ้าน เรียนรู้วิถีชีวิตจริงๆ ของเขาเหมือนเดิม” ปาล์มอธิบายให้เห็นภาพการทำงานของเธอ
ทำหน้าที่ดำเนินรายการมาได้ 2 ปีกว่า บุกป่าฝ่าดง เผชิญปัญหามากมาย ถามว่าหน้าสวยๆ ของเธอเคยเป็นอุปสรรคต่อการทำงานบ้างไหม อาจทำให้คนในชุมชนไม่เชื่อว่าสาวกรุงอย่างเธอจะสนใจเรื่องราวฝั่งชนบทอย่างแท้จริง ปาล์มตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ ปาล์มไม่ได้เข้าไปแล้วเริ่ดๆ เชิดๆ นี่นา ถ้าทำแบบนั้นเขาอาจจะรู้สึกว่าเราแปลกแยก แต่นี่ไปถึงปั๊บ เราก็เข้าไปสวัสดีเขา ไปนั่งคุยนั่งฟัง เก็บข้อมูล เขาก็เห็นว่าเราให้ความสนใจในสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เขาเป็น เราไม่ใช่แค่เข้าไปตั้งกล้อง เซตฉาก ถ่ายทำเสร็จแล้วก็ออกมา แต่เราพยายามทำการบ้าน ดูว่าพูดคุยยังไงให้เข้าถึงคนในชุมชนมากที่สุด ปาล์มจะพูดภาษาถิ่นกับเขาให้รู้สึกไม่ห่างเหิน ตอนนี้พูดอีสานกับเหนือได้บ้าง แต่ฟังออกหมดทุกภาคเลยค่ะ” พิธีกรสาวเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
ห้าวและลุย นี่แหละตัวจริง!
เกือบชั่วโมงที่ได้รู้จักกัน นิสัยที่เด่นชัดที่สุดของเธอเห็นจะเป็น “ความตรงไปตรงมา ห้าว และลุย” หรือจะเรียกรวมๆ ว่าเป็น “ผู้หญิงใจนักเลง” ก็ว่าได้ โดยเฉพาะคนที่ได้ทำงานกับเธอ จะรู้ว่าปาล์มห้าวเป้งขนาดไหน
“เป็นคนค่อนข้างรำคาญเด็ก ไม่ค่อยชอบเด็กพูดไม่รู้เรื่อง แต่จะชอบคุยกับคนสูงอายุ ผู้ใหญ่จะเอ็นดูเรามากกว่า แต่กับเด็ก ปาล์มเป็นคน baby talk ไม่เป็นค่ะ จะไม่ใช่คนที่มาพูดหยอกพูดเล่นกับเด็กว่า อุ๊ย! ไม่เป็นไรนะคะ (ดัดเสียงหวานๆ เลียนแบบ) แต่จะชอบพูดด้วยเหตุผลมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนมีเหตุผลตลอดเวลานะ ส่วนตัวก็เป็นคน Emotional เหมือนกัน บางอารมณ์ก็มีวีนๆ บ้าง แต่ไม่เคยวีนเพราะร้อน เบื่อ เหนื่อย แต่จะวีนเพราะความผิดพลาดที่มันควบคุมได้ แล้วเป็นความผิดพลาดของทีมเราเอง เช่น เราเตรียมตัวไปไม่ดีเอง กล้องไม่ได้ชาร์จมา หรือสคริปต์ไม่เวิร์ก เราก็จะบอกทีมงานเลยว่าอย่างนี้แย่นะ จะพูดไปตรงๆ”
“แล้วด้วยความเป็นคนพูดตรง บางครั้งคนที่ทำงานด้วยจะแอบเคือง แต่พอประชุมกันเสร็จ ถ้าเห็นเขาทำหน้าเซ็งใส่เรา ปาล์มจะเดินเข้าไปถามเลยว่า เฮ้ย! เมื่อกี๊ปาล์มทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า เขาก็จะบอกตรงๆ เหมือนกันว่าปาล์มไม่ควรทำแบบนี้ว่ะ เราก็เหรอ อื้ม! เราจะปรับปรุงตัวนะ ปาล์มจะเป็นคนทำงานแบบนี้ค่ะ เอาเหตุผลมาคุยกัน อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ให้จบตรงนั้น เคลียร์กันให้เสร็จ ไม่มีอะไรค้างคาใจกันอีก”
นอกจากความรักในสิ่งที่ทำแล้ว ปาล์มบอกว่าผู้ร่วมงานเป็นเหตุผลข้อสำคัญที่ทำให้เธอยังคงเป็นขาลุยให้ทุกคนได้เห็นอย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะประสบการณ์น่าหวาดเสียวครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งกลายเป็นความประทับใจไม่มีวันลืมของเธอ
“ตอนนั้นไปปกากะญอที่เชียงใหม่ เข้าไปดูป่าต้นน้ำของชาวกะเหรี่ยง เขาบอกว่าต้องเดิน 2 กิโลฯ มารู้ตอนหลังว่าเป็น 2 กิโลแม้ว (หัวเราะ) ประมาณ 6-7 กิโลได้ เจอฝนนอกฤดูพอดี แล้วทางที่กลับก็เป็นเหว ต้องเดินบนทางโค้งๆ ริมเหว ไม่มีที่เกาะที่กั้นเลย แล้วดินที่เดินก็ยวบๆ เพราะแฉะฝนตก ทีมงานเดินไปด้วยกัน 10 กว่าคน ต้องเดินเว้นระยะห่างๆ กัน เพราะดินรับน้ำหนักไม่ไหว พี่อีกคนถือกล้องเบต้าไว้ซึ่งหนักเป็นสิบๆ โล แล้วกล้องตัวนี้ทุกคนจะหวงมาก เพราะรู้กันว่ามันแพง ตัวเป็นล้าน ถ้าเสียหายไป ทำงานใช้หนี้กันหัวบาน” พิธีกรสาวเท้าความ ก่อนเข้าสู่วินาทีระทึกใจของเหตุการณ์
“ปรากฏว่าตอนนั้นจู่ๆ ปาล์มก็ลื่น กำลังจะตกลงไป พี่ที่แบกกล้องเบต้าอยู่ เขาทิ้งกล้องเลย หันมาจับปาล์มไว้ แล้วตัวพี่เขาเองก็จะหล่นลงไปด้วย แต่ทุกคนช่วยกันแล้วก็รอดมาได้ ส่วนกล้องตกหน้าผาไปติดกับชะง่อนไม้ โชคดีมาก กล้องก็เลยไม่เป็นอะไร ทำให้รู้สึกประทับใจมาก รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ทำงานกับพี่ทีมงานกลุ่มนี้ ถ้าจะให้นึกภาพตัวเองไปทำงานอย่างอื่น ไปเป็นสาวออฟฟิศ... (นิ่งคิด) มันนึกไม่ออกจริงๆ ค่ะ”
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: ปาล์ม ชลณัฏฐ์ โกยกุล
วันเกิด: 7 ธันวาคม 2526
น้ำหนัก: 45 กิโลกรัม
ส่วนสูง: 159 เซนติเมตร
การศึกษา: บัณฑิตคณะอักษรศาสตร์ วรรณคดีอังกฤษ เอกภาษาอังกฤษ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผลงาน: เคยเป็นพิธีกรรายการ “My Society” ช่องเคเบิ้ลทีวี, รายการ “English Breakfast” ช่องทีวีไทย, ดีเจคลื่น 98.5 Good FM, แสดงหนังสั้นเรื่อง Rain in the sky: เพราะเรื่องนี้ ไม่มีฝน, ปัจจุบันเป็นพิธีกรรายการ “ชุมชนต้นประชาธิปไตย” และ “ปลุกพลังบวก Ignite TVThai”
รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน