xs
xsm
sm
md
lg

มาลินี โคทส์... หลากวิธีเพื่อความงามบนแคตวอล์ก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ด้วยวัยเพียง 19 ปี เธอผ่านเวทีเดินแบบมาแล้วนับไม่ถ้วน ยังไม่รวมนิตยสารแฟชั่นอีกหลายหัวที่เชื้อเชิญให้ลูกครึ่งไทย-อังกฤษคนนี้ขึ้นมาโชว์ความงามบนหน้าปก ความสวย รอยยิ้มสดใส และออร่าที่เปล่งประกายออกมาจากตัวเธอคือเสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่อใครจดจำชื่อนี้ได้อย่างขึ้นใจ ทั้งยังดึงดูดให้ M-Lite เดินเข้าไปตั้งคำถามเกี่ยวกับเบื้องหลังความงามบนรันเวย์ของเธอ “มาลินี แอดเดอเลด โคทส์”

ใช่แล้ว... เธอคือ “มะลิ-มาลินี แอดเดอเลด โคทส์” พี่สาวแท้ๆ ของ “นุช-นีรนาท วิคตอเรีย โคทส์” สองพี่น้องคู่นี้เติบโตมาบนเส้นทางเดียวกัน เป็นที่รู้จักในฐานะนางแบบเหมือนๆ กัน ในวงการบันเทิง คนส่วนใหญ่อาจคุ้นหน้าคุ้นตาน้องสาวของเธอมากกว่า แต่บนเวทีแคตวอล์กแล้ว เธอคนนี้ก็โดดเด่นและโด่งดังไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่มะลิจะมีคิวว่างให้นั่งพูดคุยกันได้ยาวๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก สำหรับวันที่โชคชะตาอำนวยอย่างวันนี้
 
ในงานโชว์ตัวงานหนึ่งขณะที่สื่อหลายฉบับกำลังห้อมล้อมมะลิ ทีมงานชั่งใจอยู่นานว่าจะเดินเข้าไปเปิดบทสนทนากับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยเรื่องอะไรดี กระทั่งได้คุณแม่ของเธอแนะนำว่า “ถ้าจะคุยกับลูกคนนี้ ต้องคุยเรื่องสวยๆ งามๆ ค่ะ รับรองว่าคุยกันได้ยาว” ประเด็นดังกล่าวจึงถูกหยิบมาเป็นหัวข้อเปิดบทสนทนาและกลายเป็นประเด็นสำคัญในการคุยครั้งนี้ไปโดยปริยาย จากเคยสงสัยว่าอะไรคือเบื้องหลังผิวพรรณที่เปล่งปลั่งและรอยยิ้มอันเปี่ยมสุขของมะลิ ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะได้คำตอบจากปากเจ้าของเคล็ดลับอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เลยทีเดียว
 

ความสวยอยู่ในสายเลือด
“แม่จะรู้ดีค่ะว่าหนูเพี้ยน หนูคลั่งเรื่องเครื่องสำอางมากจริงๆ จะชอบซื้อครีมมาลองใช้ตลอด คุณแม่ก็จะบ่นประจำว่าไปซื้ออะไรมาอีกแล้วเนี่ย! (หัวเราะ)” มะลิช่วยยืนยันด้วยตัวเองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนถามมั่นใจว่าเธอคือกูรูด้านความสวยความงามอย่างที่คุณแม่บอกเอาไว้จริงๆ ก่อนเริ่มย้อนรอยกลับไปเล่าที่มาของนิสัยรักสวยรักงามของเธอว่า เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่รุ่นยายแล้ว

อาม่าบอกให้คุณแม่ทาครีมตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ คุณแม่เล่าให้ฟัง พอมีลูก คุณแม่ก็เลยส่งต่อมาให้พวกเรา หนูก็เลยติดทาครีมมาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกับคุณแม่ พออายุได้ 10 กว่าขวบก็เริ่มทาแล้ว คนอื่นอาจจะมองว่าแปลก แต่หนูว่ามันดีนะ สังเกตจากคุณแม่หนูดูก็ได้ ถึงท่านจะอายุมากแล้ว แต่ผิวยังสวยอยู่เลย แล้วหน้าก็ไม่ค่อยแก่เท่าไหร่ด้วย มีแต่คนบอกว่าดูเด็กกว่าอายุจริง (ยิ้ม)” มะลิไม่ลืมยกตัวอย่างคนใกล้ตัวเป็นข้อพิสูจน์

เห็นหน้าตาสละสลวย ผิวดีกันทั้งครอบครัวแบบนี้ เธอบอกว่าเป็นเพราะสาวๆ ในบ้านมักจะแบ่งปันวิธีดูแลตัวเองให้แก่กันแบบไม่มีการหวงสูตรมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และที่สำคัญคือมะลิชอบศึกษาเรื่องเครื่องสำอางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่เธอจะรู้ดีว่าส่วนผสมแบบไหนที่เหมาะกับผิวหน้าสวยๆ ของตัวเอง

“เพราะเป็นพี่น้องกัน ผิวไม่น่าจะต่างกันมาก ตอนเด็กๆ ก็เลยชอบซื้อโลชั่นมาแบ่งกันใช้กับน้องค่ะ คุณแม่ก็จะคอยช่วยดูช่วยให้คำปรึกษาเรื่องพวกนี้ตลอด แต่พอโตขึ้น ต่างคนก็ต้องดูแลตัวเอง แล้วหนูก็สนใจเรื่องนี้มากกว่าคนอื่นเขาด้วย ก็เลยชอบดูส่วนผสมละเอียดหน่อย คงเป็นเพราะต้องทำงานด้านนี้ด้วยมั้งคะ เวลาแต่งหน้าเดินแบบก็จะได้ลองเครื่องสำอางหลายแบบมาก แล้วพี่ช่างแต่งหน้าเขาก็จะแนะนำตลอด หนูก็จะได้ความรู้ไปด้วย แต่ก็ต้องมานั่งเลือกเองอีกทีนะคะ ไม่ใช่ว่าจะซื้อตามคนอื่นเขาไปหมด ทำอย่างนั้นกระเป๋าฉีกแน่ๆ ต้องรู้จักตัดใจค่ะ มะลิทิ้งท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงขี้เล่นเล็กๆ ก่อนอธิบายวิธีการเลือกเครื่องสำอางตามแบบฉบับของเธอให้ฟังแบบคร่าวๆ

“หนูเป็นคนผิวแห้งมาก เลยจะเลือกเครื่องสำอางที่เป็น water base ค่ะ คือมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ทาแล้วจะช่วยคืนน้ำ คืนความชุ่มชื้นให้ผิว เพราะถ้าเลือกเนื้อครีมที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก มวลจะหนาเกินไป ทาแล้วผิวหนังจะอุดตันง่ายกว่า มีโอกาสเป็นสิวมากกว่า ที่สำคัญคือจะเลือกตัวที่เป็น water blocker ด้วย มันจะช่วยไม่ให้น้ำที่อยู่ในผิวระเหยไปกับอากาศ ช่วยล็อกความชุ่มชื้นเอาไว้ในผิวเรา เหมาะกับคนผิวแห้งมากๆ ส่วนผิวตัวก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่เลือกใช้โลชั่นที่มีมอยส์เจอไรเซอร์เยอะๆ ก็พอ”
 

ความจำเป็นของนางแบบ
ถ้าเป็นไปได้ เธอยินดีจะปล่อยให้ผิวหน้าไร้แป้งรองพื้น ไร้สีแต่งแต้มดีกว่า แต่ในเมื่อยังต้องทำงานอยู่ในวงการบันเทิง ขายความสวยอยู่บนเวทีแคตวอล์ก มะลิจึงปฏิเสธการแต่งหน้าไปไม่พ้น ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับนางแบบอย่างเธอ จึงทำได้เพียงสรรหาวิธีป้องกันควบคู่ไปกับการบำรุงผิวเท่านั้นเอง

ต้องยอมรับว่าพอเริ่มใช้เครื่องสำอางแล้ว จากหน้าที่เคยใสๆ อยู่มันก็อุดตันง่ายขึ้น เวลาเห็นเด็กๆ ที่เริ่มแต่งหน้ากันตั้งแต่ 13-14 ก็จะแอบรู้สึกเสียดาย หนูว่าผิวของเด็กวัยนี้มันดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้ทำงานที่จำเป็นต้องแต่งหน้า ก็ไม่น่าจะรีบเอาเครื่องสำอางไปอุดตันหน้า แต่จะว่าไปหนูก็เข้าใจนะ ตามประสาเด็กผู้หญิง เวลาเห็นคุณแม่แต่งหน้า เราจะเกิดความรู้สึกอยากแต่งบ้าง เคยเป็นเหมือนกัน (ยิ้ม) ถามว่าทุกวันนี้แก้ปัญหายังไง หนูใช้วิธีทำใจแล้วก็ดูแลตัวเองเยอะๆ ค่ะ เพราะยังไงเราก็ยังอยากทำงานตรงนี้อยู่”

“ถ้าวันไหนไม่มีงานนอกบ้าน จะทาแค่ตัวมอยส์เจอไรเซอร์แล้วก็พักหน้าค่ะ จะไม่แต่งหน้าเลย แต่ถ้าวันไหนมีธุระต้องออกไป ถึงมองไปข้างนอกแล้วไม่เห็นว่ามีแดดออก หนูก็ยังทาครีมกันแดดอยู่ดี เพราะถึงเราอาจจะมองไม่เห็นแดด แต่รังสีหรือความร้อนที่มาโดนผิวเราก็ยังมีอยู่นะ ก็เลยต้องทากันไว้ หรือแค่แสงจากไฟนีออนเอง เคยได้ยินมาว่าทำให้ดำได้เหมือนกันนะคะ เพราะฉะนั้นถึงจะต้องออกไปทำงานตอนเย็นๆ ค่ำๆ หนูก็จะทาครีมกันแดดอยู่ดี เผื่อไปโดนแสงสปอตไลต์ แสงนีออน หน้าจะได้ไม่เป็นฝ้า แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสถึงขนาดกลัวไฟนีออนจนต้องทาครีมกันแดดในบ้านนะ (หัวเราะ)” สาวหน้าลูกครึ่งไม่ลืมปล่อยมุกทิ้งท้าย

ถึงแม้ต้องยอมเอาผิวหน้าไปเสี่ยงกับอาชีพนางแบบ ก็ใช่ว่ามะลิจะปล่อยให้ชีวิตของตัวเองตกอยู่ในกำมือของช่างแต่งหน้าโดยที่ไม่ลงมือทำอะไรเสียเลย ตรงกันข้ามเธอกลับระมัดระวังเรื่องการเลือกใช้เครื่องสำอางเป็นพิเศษ เพราะไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำร้อยอย่างที่เคยเป็น สาวๆ คนไหนมีผิวที่แพ้ง่ายเหมือนกัน สามารถเก็บเคล็ดลับเล็กๆ เหล่านี้ไปใช้ได้

“เคยแพ้เครื่องสำอางครั้งหนึ่ง ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลยค่ะ หน้าขึ้นสิวขึ้นผดเห่อไปหมด รักษาเป็นปีกว่าจะหาย ทุกวันนี้ก็เลยพยายามระวังอยู่เหมือนกัน แต่พี่ช่างแต่งหน้าเขาจะพอรู้ว่าหนูแพ้ตัวไหนบ้าง ถึงแต่ละงานช่างแต่งหน้าจะคนละคนกัน แต่จะเจอหน้าเวียนๆ กันไปค่ะ พี่เขาก็จะพอจำได้ว่าเราแพ้อะไรบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องคอยสังเกตเองด้วยว่าวันนั้นเขาใช้อะไรบ้างบนหน้าเรา เวลาแพ้จะได้บอกถูกว่าแพ้อะไร เท่าที่ดูมา หนูจะชอบแพ้เนื้อครีมแบบ Pearl น่ะค่ะ มันจะอยู่ในครีมกับตัวรองพื้น เป็นตัวที่ทาแล้วหน้าจะดูวาวๆ หน่อย เห็นว่าเพื่อนๆ ในวงการหลายคนก็แพ้ส่วนผสมตัวนี้เหมือนกันนะ ไม่รู้ทำไม แต่เวลาทาลงผิวแล้วจะรู้สึกเคืองๆ ทุกทีเลย
 

ดูแลให้เท่าเทียม
ไม่ใช่แค่เนื้อนวลๆ บนใบหน้าเท่านั้นที่สาวๆ ควรทะนุถนอมให้น่ารักน่าหยิก ส่วนอื่นๆ ในร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าก็มีความสำคัญไม่แพ้กันสำหรับมะลิ เธอดูแลทุกส่วนอย่างเท่าเทียม เริ่มตั้งแต่พื้นที่ที่ใกล้ใบหน้าที่สุดอย่างลำคอ เส้นผม เรื่อยลงมาจนถึงนิ้วเท้า เพื่อให้ได้บุคลิกภาพที่ดีที่สุดเป็นของขวัญตอบแทน

เวลาทาครีมที่หน้า ต้องอย่าลืมทาที่คอด้วยค่ะ อันนี้สำคัญมาก บางคนจะชอบลืมทาครีมที่คอ แล้วคอจะเหี่ยวกว่าหน้าไปเยอะ (ยิ้ม) เขาบอกว่าเวลาดูอายุของคน ให้สังเกตที่คอกับที่หลังมือค่ะ จะเป็นส่วนที่เหี่ยวไปตามอายุมากกว่าที่อื่นๆ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากถูกทักว่าแก่ก็ต้องดูแลสองส่วนนี้ดีๆ ค่ะ บางคนหน้าตึงมากๆ แต่คอเหี่ยว มันก็ดูไม่สมดุล ที่สำคัญมากๆ อีกอย่างน่าจะเป็นเรื่องเล็บค่ะ โดยเฉพาะตอนนี้จะมีแฟชั่นการเดินแบบด้วยเท้าเปล่า ให้นางแบบเดินโดยไม่ใส่รองเท้า เราก็ยิ่งต้องดูแลเล็บมือเล็บเท้ามากขึ้น ส้นเท้าก็ต้องทาครีม ดูแลไม่ให้มันด้าน หนูว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ส้นเท้าด้านคือการใส่รองเท้าเปิดส้นหรือรองเท้าแตะค่ะ คิดว่าใส่รองเท้าปิดไว้ตลอดน่าจะดีกว่า” มะลิอธิบายอย่างละเอียด ก่อนหันมาพูดถึงวิธีดูแลเส้นผมเพิ่มเติม

ทำงานแบบนี้ต้องถูกเซตผมตลอด ทั้งไดร์ทั้งฉีดสเปรย์ แล้วหนูเป็นคนผมเส้นเล็กมากอยู่แล้วด้วย เส้นผมก็เลยเสียง่ายกว่าคนอื่น ทำให้ต้องดูแลเป็นพิเศษ ส่วนแชมพูที่ใช้จะเลือกใช้แชมพูเด็กค่ะ เพราะรู้สึกว่าเวลาใช้แชมพูธรรมดาจะมีปัญหาเรื่องเป็นสิวที่โคนผมตลอดเลย แต่ข้อเสียของการใช้แชมพูเด็กก็คือผมเราจะไม่นุ่มเหมือนแชมพูปกติ ทำให้ต้องใช้ครีมนวด หรือทำทรีตเมนต์ผมเพิ่มเข้าไปแทน เห็นว่าคนอื่นเขาจะทำทรีตเมนต์กันทุกเดือนนะ แต่หนูขี้เกียจค่ะก็เลยกลายเป็น 2-3 เดือนทำครั้งหนึ่ง แต่ก็โอเคนะ (ยิ้ม)”

อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยคืนสมดุลให้แก่ร่างกายทุกส่วนได้ก็คือการทำสปา โดยเฉพาะสาวๆ ที่อยากดูสวย สุขภาพดี แต่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง มะลิแนะนำให้ลองก้าวเท้าเข้าไปใช้บริการดู รับรองว่าจะรู้สึกผ่อนคลายและพอใจกับผลที่ออกมา อย่างที่ลูกค้าขาประจำคนนี้คอนเฟิร์มว่า “พอได้ทำอะไรให้ตัวเองดูดีขึ้น ก็จะรู้สึกดี รู้สึกมีความสุขขึ้นมาเลยค่ะ”

“สปามีหลายแบบค่ะ มีตั้งแต่พอกดิน พอกสมุนไพร พอกด้วยครีม แล้วก็มีสปาพวกที่ขัดผิวขาวด้วย แต่หนูไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ รู้สึกว่าทำแล้วจะรู้สึกแสบๆ ผิว คงเพราะตัวเม็ดครีมที่เอามาขัดมันจะใหญ่ๆ ด้วยมั้งคะ จะชอบแบบที่ขัดผิวเนียนมากกว่า ตัวเม็ดครีมจะเล็กกว่า อีกอย่างหนูไม่มีปัญหาเรื่องสีผิวเท่าไหร่ เลยไม่จำเป็นต้องขัดให้ขาวอีก จะเลือกดูแลเรื่องความเนียนแทน เวลาไปที่ร้าน หนูจะทำทั้งหมด 3 ขั้นตอนค่ะ คือ ขัด พอก นวด ไปขัดเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เสร็จแล้วเขาก็จะพอกครีมบำรุงให้เรา เป็นการช่วยคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว หลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการนวดค่ะ ทางร้านจะใช้น้ำมันแบบต่างๆ เข้ามาช่วยนวด ทำให้เรารู้สึกสบายแล้วก็ผ่อนคลาย กลับบ้านไปก็จะอารมณ์ดีมีความสุขค่ะ (ยิ้ม)
 

ต้องยั้งปากแล้วจะดูดี
เห็นตัวผอมๆ หุ่นเพรียวๆ แบบนี้ ถามว่าเธอมีเคล็ดลับในการดูแลตัวเองอย่างไร มะลิถึงกับหัวเราะออกมาพร้อมกับออกปากว่า “หนูกินเก่งมากเลยนะ กินแต่ละทีอย่างกับพายุลงแน่ะ” ถ้าเป็นสมัยก่อนเธอจะแก้ทางอาการกินเก่งของตัวเองด้วยวิธีออกกำลังกาย แต่หลังจากมีปัญหาที่ข้อเข่า มะลิจึงเลิกออกกำลังกายทุกชนิด แล้วหันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินแทน

“ชอบว่ายน้ำตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ รู้สึกว่าเป็นกีฬาที่ได้ออกกำลังกายทั้งตัวเลย ทั้งแขน ขา ลำตัว ได้ทุกส่วน หนูเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนด้วยนะ ไม่เชื่อลองไปดูรูปตอนเด็กๆ ก็ได้ ตอนนั้นตัวดำมาก (หัวเราะ) พอโตขึ้นด้วยความที่รักสวยรักงาม อยากตัวขาว ก็เลยเลิกว่ายน้ำไป พยายามจะออกกำลังกายอย่างอื่นแทนเหมือนกันค่ะ แต่เผอิญว่าเป็นคนมีปัญหาเรื่องเข่า เพิ่งมารู้ตอนไปเล่นบาสฯ เล่นบอล แล้วก็วิ่งจ็อกกิ้ง จะรู้สึกเจ็บๆ เข่า ปวดเข่ามาก พอไปหาหมอเขาบอกว่าเข่าเราไม่ค่อยดี ข้อเข่าเสื่อมเพราะเล่นกีฬาเยอะเกินไป ด้วยความที่เราเป็นคนตัวสูงด้วย น้ำหนักที่ลงตรงเข่าก็เลยมากกว่าคนทั่วไป คุณหมอเลยแนะนำให้ไปว่ายน้ำแทน แต่จะให้กลับไปว่ายน้ำอีกก็กลัวดำ ว่ายตอนกลางคืนก็น่ากลัว เลยใช้วิธีดูแลเรื่องอาหารแล้วก็กินวิตามินเสริมแทนค่ะ” เจ้าของคำตอบเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงใสๆ ก่อนเริ่มบรรยายพฤติกรรมการกินของตัวเอง

“เป็นคนอ้วนง่ายแต่ก็ผอมง่ายค่ะ แล้วที่อ้วนน่าจะมาจากนิสัยชอบกินข้าวเยอะ แต่จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอื่น เพราะไม่ชอบกินเนื้อติดมันอยู่แล้ว ซึ่งอาหารพวกนี้อาจจะเป็นสาเหตุความอ้วนของคนอื่นๆ อีกหลายคน หรืออย่างขนมหวาน หนูก็กินไม่เก่งเหมือนกัน กินได้นิดหน่อยก็รู้สึกเลี่ยนแล้ว ส่วนเรื่องน้ำอัดลมน้ำหวานก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะไม่ได้ติดจนต้องดื่มตลอด แล้วปกติจะพยายามดื่มน้ำพวกนี้ให้น้อยๆ อยู่แล้ว รู้สึกว่าดื่มไปก็ยังไม่หายหิวน้ำอยู่ดี จะชอบน้ำส้มคั้นสดมากกว่าค่ะ เวลาไปกินข้าวนอกบ้านแล้วเห็นว่าที่ร้านมีขาย ก็จะสั่งมากินตลอดเลย

ถึงแม้ว่ามะลิจะไม่ใช่คนที่เคร่งครัดเรื่องอาหารการกินมากนัก แต่คนรอบๆ ตัวเธอกลับดูแลเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี จึงทำให้เธอได้รับอิทธิพลมาโดยไม่รู้ตัว และกลายเป็นสิ่งที่ปฏิบัติมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้

“คุณแม่เป็นคนทำอาหารอร่อยค่ะ จะมีเมนูสุขภาพมาให้กินตลอดเลย สังเกตดูที่บ้านจะไม่ค่อยมีเนื้อสัตว์อยู่ในตู้เย็นเลยค่ะ เพราะคุณพ่อหนูก็เป็นมังสวิรัติ ส่วนน้องสาวก็ไม่กินเนื้อหมู เนื้อไก่ แล้วก็สัตว์ใหญ่ กินแต่ปลากับกุ้ง นุชเขาเป็นคนรักษาสุขภาพมากค่ะ เทียบกับหนู หนูกินทุกอย่างเลย (ยิ้ม) เพราะฉะนั้นถ้าวันไหนอยากกินเนื้อสัตว์ หนูจะออกไปกินข้างนอก แต่ถ้ามื้อไหนกินในบ้าน จะเป็นเมนูสุขภาพตลอดเลยค่ะ เน้นสลัดแล้วก็ผักเป็นหลัก ซึ่งหนูก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ทรมานอะไรนะ เพราะเป็นคนชอบกินผักอยู่แล้ว คุณพ่อคุณแม่หัดให้กินตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วยิ่งพอโตขึ้น เรายิ่งเต็มใจกินมากขึ้นอีกเพราะรู้ว่ากินแล้วมันดี เพราะฉะนั้นทุกมื้อที่กิน ต้องมีผักอย่างน้อยสักจานหนึ่งอยู่ในเมนูด้วยตลอดเลยค่ะ เด็กเล็กเด็กโตที่ชอบเขี่ยผักใบเขียวในจานทิ้ง ฟังเอาไว้
                                                                             
       รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
       ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ









สองพี่น้องตระกูลโคทส์โชว์สวย
ขอบคุณภาพจาก Magazinedee.com



มะลิ น้องนุช และคุณแม่ ถ่ายแบบร่วมกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น