“ทางโลก” และ “ทางธรรม” คนส่วนใหญ่มักมองว่าสองสิ่งนี้มีจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน ไม่สามารถเดินทางมาบรรจบพบกันได้ วันนี้ M-Light พาคุณมาทำความเข้าใจพระพุทธศาสนาในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้มีความสุขในชีวิตได้โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งทางโลกียะ เพราะเราสามารถนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปรับใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เรื่อง “เซ็กซ์”
“ปรุงรักให้หวานด้วยน้ำตาลแห่งธรรม” คือชื่อหนังสือธรรมะซึ่งเป็นต้นเหตุให้ทีมงานเดินทางมาพูดคุยกับผู้แต่งในวันนี้ ด้วยข้อสงสัยที่ติดอยู่ในใจว่า ธรรมะจะช่วยเติมรสหวานให้แก่ชีวิตคู่ได้อย่างไร ทีมงาน M-Light เดินทางมายังตึกสำนักงานซีพีออลล์ เพื่อให้ “ปรางรัตน์ เกียรติทรงศักดิ์” เป็นผู้ตอบคำถาม
หลายคนรู้จักเธอจากบทบาทผู้จัดการบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งแวดวงธุรกิจ บางส่วนรู้จักผู้หญิงคนนี้จากบทบาทนักบุญ แต่วันนี้เราจะได้รู้จักเธอในบทบาทของคุณแม่และศรีภรรยา ซึ่งสามารถนำธรรมะเข้ามาเติมความสุขให้แก่ชีวิตครอบครัวได้สำเร็จ และเธอพร้อมแล้วที่จะเผยเคล็ดลับดีๆ เหล่านี้ให้ทุกคนนำไปปฏิบัติตาม
กว่าจะเดินถูกทาง
หลายครั้งที่เรื่องราวเลวร้ายในชีวิตมักเป็นแรงผลักดันให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น “ปรางรัตน์ เกียรติทรงศักดิ์” เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งเคยชินกับความสมหวังมานาน มีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ต่อให้พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จเสียที นั่นก็คือการมีลูกชาย เธอเฝ้าภาวนาให้ลูกคนสุดท้องเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่ท้ายที่สุดกลับต้องผิดหวังครั้งใหญ่ และเป็นสาเหตุให้เธอหันหน้าเข้าหาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง
“พอลูกคนที่ 3 ออกมาเป็นผู้หญิงเท่านั้นแหละ รู้สึกผิดหวังมาก คิดว่าแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่อยากให้สมหวังมาก แต่ทำไมมันไม่สำเร็จ ร้องห่มร้องไห้ทุกวัน จนสามีเห็นว่าชักจะอาการหนัก วันหนึ่งเขาเลยหยิบกลอนบทหนึ่งมาท่องให้ฟัง “เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเล่า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน เจ้ามาเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร เจ้าก็ไปตัวเปล่าอย่างเจ้ามา” พอฟังปุ๊บ เราก็รู้สึกว่าเฮ้ย! จริงๆ ด้วย ทำไมเราไปคาดหวังอะไรเยอะแยะ แค่ลูกเกิดมาครบ 32 น่ารักจะตาย ทำไมเรายังไม่พอใจ ยังจะไปนั่งคาดหวังเพศของเขาอีก ทำให้รู้สึกเหมือนได้ดวงตาเห็นธรรมตอนนั้นเลยค่ะ”
“แล้วเผอิญว่าได้อ่านหนังสือเรื่อง “เช่นนั้นเอง” ของท่านพุทธทาสฯ ด้วย ยิ่งรู้สึกว่ามันคลิก สิ่งที่อยู่ในหนังสือสามารถตอบความสงสัยของเราได้หมด บอกว่าทุกอย่างในโลกล้วนเป็นเช่นนั้นเอง ชีวิตก็คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ พอได้อ่านดูก็เริ่มรู้ว่าคำตอบของชีวิตอยู่ในหลักธรรมคำสอนอีกหลายๆ อย่าง เช่น โลกธรรม 8 ที่บอกว่ามีสุขก็ต้องมีทุกข์ มีสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง มีนินทาต้องมีสรรเสริญ มีได้ยศก็ต้องมีเสื่อมยศ ลองกลับมานั่งคิดแล้วก็รู้สึกว่าชีวิตคนเราเป็นแบบนั้นจริงๆ หลังจากนั้นจึงมุ่งอ่านหนังสือธรรมะ และคิดกับตัวเองว่าอยากมีโอกาสเผยแผ่ธรรมะให้แก่คนอื่นๆ ด้วย” นักธุรกิจหญิงเท้าความให้ฟัง
เนื่องจากถูกปลูกฝังให้สวดมนต์ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เด็กๆ ความเชื่อเหล่านั้นจึงยังมีอิทธิพลมาจนถึงตอนโต คุณปรางรัตน์เริ่มสวดภาวนา ขอโอกาสให้ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา กระทั่ง 3 ปีผ่านไป เห็นว่ายังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เธอจึงเข้าใจว่า “เราได้แต่อธิษฐาน แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ มัวแต่อ้อนวอนอย่างเดียว มันไม่มีวันเป็นไปได้ เหมือนกับคนที่อธิษฐานขอให้รวย แต่วันๆ ไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำงาน รอให้เงินลอยมา มันก็ไม่มีวันเป็นไปได้ จึงเริ่มเดินเข้าไปหาโอกาสเอง เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ จนเกิดเป็นโปรเจกต์ “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่น” เป็นกิจกรรมธรรมะที่เป็นคนริเริ่มและจัดการทุกอย่างเองเป็นครั้งแรก” เจ้าของโครงการเล่าให้ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ตอนนี้คุณปรางรัตน์มีรายการธรรมะอยู่ในมือถึง 3 รายการ คือ “พุทธปัญญาภิรมย์” เป็นการนำเอาเทปบันทึกภาพของโครงการ “เรายกวัดมาไว้ที่เซเว่น” ไปออกอากาศ, รายการ “ทำวัตรเช้ากับเซเว่นอีเลเว่น” นำสวดมนต์ไหว้พระสไตล์คาราโอเกะ และรายการ “ระเบียงบุญ” ทั้งยังมีผลงานพ็อกเกตบุ๊กแนวธรรมะอีก 2 เล่มคือ “ติดปีกธรรม นำสุขให้ลูก” และ “ปรุงรักให้หวานด้วยน้ำตาลแห่งธรรม” จากผลงานทั้งหมดที่เห็น บางคนอาจคิดไปว่าเธอคือนักธุรกิจที่มองเห็นช่องทางทำเงินจากพระพุทธศาสนา แต่คุณปรางรัตน์ยืนยันว่า “สิ่งที่ทำ ทำมาจากใจจริงๆ ค่ะ”
“ไม่เคยคิดจะทำเป็นพุทธพาณิชย์จริงๆ อย่างรายการที่ออกอากาศทางทีวีทั้งสองรายการ แค่ต้องการให้คนจำนวนมากๆ ได้เปิดปัญญาไปด้วยกันกับเรา แล้วที่ออกทีวีก็ไม่มีสปอนเซอร์ด้วย จะมีก็แต่รายการระเบียงบุญอย่างเดียวที่ทำในเชิงพาณิชย์ แต่เงินที่ได้มา ตัวเองไม่เคยแตะเลย คือเราใช้จ่ายไปกับกระบวนการผลิต ส่วนที่เหลือก็เอาไปทำบุญทั้งหมด คนที่รู้ทุกคนก็จะช็อกมาก เพราะเห็นกันอยู่ว่าเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก แต่พูดไปคงไม่มีใครเชื่อหรอกเนอะ (ยิ้ม) แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะมีคำสอนที่จะใช้เตือนใจตัวเองตลอดอยู่แล้ว คือจงทำดีแต่อย่าหวังดีเด่นดัง ฉะนั้นแค่เรารู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ เท่านั้นก็พอแล้วค่ะ” เจ้าของความคิดยิ้มสบายๆ ปิดประโยค
ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบ
สำหรับคุณแม่ลูกสามอย่างคุณปรางรัตน์ เธอมองว่าธรรมะเป็นเหมือนภูมิคุ้มกันและยารักษาโรคที่ดีที่สุดที่ควรมอบให้ลูก ถึงแม้เด็กๆ จะยังไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้อย่างลึกซึ้ง แต่ถือเป็นรากฐานสำคัญที่พวกเขาสามารถนำไปปรับใช้ได้ เช่นเดียวกับหลักธรรมเบื้องต้นสองข้อที่เธอมักจะพร่ำสอนลูกๆ อยู่เสมอ เพราะเชื่อว่าปัญหาต่างๆ ในชีวิตจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป แค่รู้จัก “ข่มใจ” และ “ให้อภัย” เท่านั้นเอง
“ข่มใจกับให้อภัย ใช้ได้ทุกกรณีเลยค่ะ ทุกวันนี้ที่คนเรามีเรื่องมีราวกัน เกิดเหตุการณ์แย่ๆ ขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ ก็เพราะไม่รู้จักข่มใจ ไม่รู้จักให้อภัยนี่แหละค่ะ เด็กต่างสถาบันที่ไล่ตีกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเขาไม่รู้จักคุณสมบัติของสองอย่างนี้ หรือเรื่องท้องก่อนวัยอันสมควร เรื่องยาเสพติด ถ้ารู้จักข่มใจก็จะไม่เกิดเหมือนกัน”
เพื่อให้พระพุทธศาสนาค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในแนวทางการดำเนินชีวิตของลูกๆ คุณปรางรัตน์มักสร้างกิจกรรมขึ้นมาเพื่อให้เด็กๆ ได้เข้าร่วมด้วยวิธีอันแยบยล เริ่มตั้งแต่การตอบแทนด้วยของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ในครอบครัว ไปจนถึงการจัดปาร์ตี้ธรรมะ ชวนเพื่อนๆ ของลูกมาเข้าร่วมด้วย เธอต้องการเผยแผ่หลักธรรมให้กระจายวงกว้างให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกับวัยเด็ก ด้วยความคิดที่ว่ายิ่งรู้จักเอาธรรมะมาใช้กับชีวิตได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น
“จะฝึกลูกโดยการจ้างให้นั่งสมาธิมาตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ (ยิ้ม) แต่เราไม่ได้บังคับเขานะ บอกเขาว่าให้ลองนั่งนิ่งๆ สูดลมหายใจเข้าออก นั่งได้นานเท่าไหร่คิดนาทีละ 1 บาท เขาก็จะแอบดูว่ากี่นาทีแล้ว พอใจที่ 5 บาท เขาก็จะหยุด ก็ถือว่าเอารางวัลมาล่อ ให้เขาได้ความคุ้นเคยกับพระพุทธศาสนาค่ะ เพราะถ้าสอนด้วยวิธีน่าเบื่อๆ เขาคงไม่ฟัง” คุณปรางรัตน์เผยเคล็ดลับเล็กๆ ก่อนขยายความต่อ
“ที่บ้านจะมีกิจกรรมปฏิบัติธรรมจัดขึ้นทุก 3 เดือน เราจะให้ลูกๆ ไปฉุดกระชากลากถูเพื่อนๆ มาเข้าร่วมทุกครั้ง ในงานก็จะมีอาหารมาล่อเด็กๆ ใช้ทุกวิธีเลยค่ะ (ยิ้ม) ให้เขาไหว้พระ สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ฟังเทศน์ฟังธรรมกันก่อน นิมนต์พระอาจารย์มาตอบปัญหาเด็กๆ จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยปาร์ตี้ ก็เห็นว่าทุกคนมีความสุขดีนะคะ จูงลูกจูงหลานมาเข้าร่วมกันเยอะแยะ เราเองก็พยายามคิดกิจกรรมให้เด็กๆ สนใจ อยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องธรรมะให้เร็วที่สุดค่ะ เพราะเรารู้ดีว่าคนที่รู้จักเอาหลักธรรมมาใช้กับชีวิต ได้เปรียบกว่าคนทั่วไปยังไงบ้าง อย่างน้อยๆ คือช่วยให้เขามีสติและเข้าใจชีวิตในมุมต่างๆ ได้มากขึ้น”
ปฏิบัติธรรมก็มีเซ็กซ์ได้
นอกจากจะนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้สอนลูกๆ แล้ว คุณปรางรัตน์ยังนำมาใช้ปรับสมดุลให้แก่ชีวิตคู่อีกด้วย หลายคนฟังแล้วอาจไม่เชื่อหู เพราะคิดภาพไม่ออกว่าเรื่องทางธรรมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกได้อย่างไร แต่ผู้คร่ำหวอดในวงการศาสนายืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าเป็นไปได้
“เรื่องความรักกับธรรมะจริงๆ แล้วไม่ได้ขัดแย้งกันนะ เพราะตราบใดที่เรายังไม่ได้ไปถึงขั้นนิพพาน คุณก็ยังต้องอยู่ในโลกโลกียะอยู่ดี เพราะฉะนั้นโลกธรรมะกับโลกียะจึงสามารถเดินควบคู่กันไปได้ ไม่ใช่ว่าคุณต้องสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง เซ็กซี่มันทั้งวัน มุ่งแต่โลกียะ แต่งตัวยั่วยวนให้สามีหลงใหลอย่างเดียว มันก็ต้องทำความดี ทำบุญกุศลแล้วก็ประคับประคองกันไปด้วย ชีวิตคู่มันถึงจะอยู่รอด” เจ้าของความคิดพูดอย่างตรงไปตรงมา ก่อนเผยเคล็ดลับที่ทำให้ครองรักกับสามีมาได้นานถึง 25 ปีแล้ว
“ชีวิตคู่นี่แหละค่ะเป็นสิ่งที่ต้องใช้ธรรมะมากที่สุด คนที่หย่าๆ กันทุกวันนี้ก็เป็นเพราะเขาไม่รู้จักเอาธรรมะมาใช้ คนสองคนมาจากสถานที่ต่างกัน เติบโตมาด้วยความคิดไม่เหมือนกัน แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หลักธรรมพื้นฐานที่ต้องใช้เลยคือการข่มใจและให้อภัย อย่างที่บอกไปแล้วว่าสองข้อนี้ใช้ได้กับทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เวลาเขาซื้อขนมมา เราเห็นว่าไม่น่ากินเลย แต่เราก็ต้องยอมข่มใจกินเพื่อถนอมน้ำใจ เวลาเขาทำผิดอะไรมา เราก็ต้องรู้จักให้อภัย ไม่ใช่จดจำอยู่นั่น พร้อมที่จะล้างแค้นตลอดเวลา ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้”
ในสายตาคนทั่วไปแล้ว ผู้หญิงที่มุ่งสู่ธรรมะ ปฏิบัติธรรมทุกวันเป็นกิจวัตร อาจดูเป็นแม่พระและอาจเป็นเหตุให้ฝ่ายชายซึ่งครองคู่กันเกิดอาการเบื่อ ขอแยกทาง จนเกิดเป็นปัญหาครอบครัวในที่สุด ถึงแม้ว่าคุณปรางรัตน์จะยอมรับว่าปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจริงในสังคมบ่อยครั้ง แต่ถ้ารู้จักแยกแยะและใช้ธรรมะอย่างเหมาะสม เธอยืนยันว่าจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ตื่นเช้าขึ้นมาคุณต้องทำหน้าที่เป็นแม่ ทำกับข้าว ดูแลลูกๆ พอสายๆ คุณมีงานต้องทำ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและผู้บังคับบัญชาให้ดี พอตกเย็น กลับบ้านไปอยู่กับสามี คุณก็ต้องสวมบทบาทเป็นภรรยา ส่วนเรื่องบนเตียง คุณก็ต้องสวมวิญญาณเป็นนางเสือหรืออะไรก็แล้วแต่ (หัวเราะ) ไม่ใช่ว่าต้องเป็นแม่ชีตลอดเวลา อย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่เอา กลัวผิดพรหมจรรย์ คุณต้องแยกแยะให้ออก ต้องทำทุกหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วคุณก็จะอยู่รอดปลอดภัยในทุกๆ เรื่อง สุดท้ายก็จะได้เป็นแม่ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นคนทำงานที่ดี เป็นภรรยาที่ดี คนที่ทำทุกหน้าที่ในชีวิตได้ไม่ขาดตกบกพร่อง จึงจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง”
ถึงแม้ปัจจุบันจะมีผู้ปฏิบัติธรรมะอย่างจริงจังหลายคนในประเทศไทย แต่น้อยคนนักจะกล้าออกมาแนะนำให้นำหลักธรรมไปใช้กับชีวิตคู่เช่นนี้ เพราะเกรงว่าจะขัดแย้งกับหลักธรรมคำสอน แต่ในฐานะที่ศึกษาอยู่ในแวดวงมานาน คุณปรางรัตน์ยืนยันว่าไม่ทำให้อาบัติแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่การนำไปใช้กับเรื่องเซ็กซ์
“ถ้าพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตคู่แล้วไม่พูดถึงเรื่องเซ็กซ์ แสดงว่าโกหกแล้วล่ะค่ะ ต้องยอมรับว่าเรื่องแบบนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังไม่นิพพาน แม้แต่งานเขียนของท่านพุทธทาสฯ เอง ยังกล่าวเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติตัวของฆราวาสเอาไว้เลยค่ะ บอกว่าแม้กระทั่งคุณมีกิจกรรมทางเพศอยู่ คุณก็ยังปฏิบัติธรรมได้ ซึ่งเป็นเรื่องจริงค่ะ เราสามารถกำหนดสมาธิได้ทุกขณะจิตว่าเรารู้สึกอย่างไร แต่คนไปมองว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องขัดกับธรรมะ ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ค่ะ มันสามารถไปด้วยกันได้ ถ้าเราใช้ให้เป็น”
หนทางสู่ความสุข
ถามว่าคนทั่วไปจะสามารถนำเอาหลักธรรมเข้ามาใช้ในชีวิตได้อย่างไร คุณปรางรัตน์แนะนำให้เริ่มแก้ไขที่ตัวเองก่อน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ต้องรู้จักมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ด้วยสายตาที่เปิดกว้าง แล้วชีวิตจะเป็นสุขขึ้นอีกมาก
“คนเราเป็นทุกข์เพราะมีอีโก้เยอะ มีเรื่องราวอะไรมากระทบนิดกระทบหน่อย รู้สึกว่าทนไม่ได้ นั่นเพราะว่าเขามองโลกแคบๆ คนส่วนใหญ่ที่ยังเครียด ยังทุกข์ ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องอะไรก็ตาม เพราะเขามีอีโก้สูง คิดว่าปัญหาของตัวเองใหญ่มาก ถ้าเป็นไปได้อยากให้ลองนอนมองดูท้องฟ้า แล้วก็เปรียบเทียบว่าเราคืออะไร คุณจะเห็นว่าท้องฟ้ามันกว้างใหญ่ แล้วตัวคุณเท่ากับเศษเสี้ยวธุลีเท่านั้นเอง การคิดอย่างนี้คือธรรมะอย่างหนึ่ง เมื่อมีธรรมะในจิตใจ คุณจะเข้าใจชีวิต เมื่อเข้าใจความจริงของชีวิต สุดท้ายใจคุณก็จะไม่เป็นทุกข์”
การทำบุญเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้เข้าใกล้ธรรมะได้มากขึ้น คนส่วนใหญ่มักเลือกทำบุญด้วยสิ่งของและเงินทอง ทั้งที่ความจริงแล้วยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถทำได้ ทั้งสวดมนต์ ไหว้พระ ฟังธรรม ทำจิตให้เป็นสมาธิ แผ่เมตตาให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่น ฯลฯ ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติยากเย็น แต่คนส่วนใหญ่มักผัดวันประกันพรุ่งอยู่ตลอดเวลา
“บุญมันมีหลายวิธีค่ะ มี 10 วิธีอย่างที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ คือกิริยาวัตถุ 10 ซึ่งมีข้อแรกข้อเดียวเท่านั้นที่ต้องใช้ตังค์ นอกนั้นไม่จำเป็นเลยค่ะ การที่เรามีมิตรจิตมิตรใจแก่ผู้อื่น ช่วยแบ่งเบาภาระคนอื่น ช่วยอนุโมทนาบุญกับเขา หรือแม้แต่การฟังธรรมะ ล้วนแต่เป็นบุญทั้งหมดเลย ถึงไม่ได้ทำบุญด้วยเงิน แต่ทำบุญด้วยวิธีอื่นอีก 9 อย่าง ก็ได้บุญเหมือนกัน อาจจะได้เยอะกว่าด้วยซ้ำไป แต่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการทำบุญด้วยวัตถุ สังคมปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการบริจาค ไม่สนใจที่จะไหว้พระ สวดมนต์ ทำสมาธิ”
สำหรับมือใหม่หัดปฏิบัติ คุณปรางรัตน์แนะนำให้เริ่มจากวิธีง่ายๆ ก่อน คือ “เริ่มจากอ่านหนังสือธรรมะ ดูรายการธรรมะ หรือถ้าขี้เกียจ สวดมนต์ไหว้พระเสียหน่อย ถ้าขี้เกียจอีก แค่หัดกำหนดลมหายใจเข้าออกดู เพราะยังไงเสียคุณก็ต้องหายใจ แค่เพิ่มเข้าไปว่าหายใจเข้า “พุทธ” หายใจออก “โธ” แค่นั้นเอง แต่ถ้าไม่อยากทำอีก ก็ไม่เป็นไรค่ะ (ยิ้มเรียบๆ) คุณก็เผชิญชะตากรรมของคุณไปเรื่อยๆ เจอกับความทุกข์ไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน”
รายงานโดย ทีมข่าว M-Lite / ASTV สุดสัปดาห์
ภาพโดย ธนารักษ์ คุณทน