xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอน มือพิฆาตดาบคู่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
เสียงม้าร้องดังมาไกล ๆ ได้เวลาที่ผู้คนจะออกสัญจรไปมากันแล้วทั้งในเมือง หมู่บ้าน และภูเขา
ละแวกนี้ยามปกติพอรุ่งเช้า พระสงฆ์ที่ตื่นเช้าตรู่จะเดินลงจากภูเขาฮิเอและบางรูปก็จะเดินสวนขึ้นไป ไม่มีวันใดที่จะไม่ได้ยินเสียงเกี๊ยะไม้ของพระที่เดินไหล่ตั้งหลังตรงอย่างสง่าน่าเลื่อมใส

เส้นทางแคบ ๆ สายนี้เช้าวันนี้อึกทึกครึกโครมไปด้วยเสียงโจษย์ขานและเสียงกู่ร้องบอกกัน ของพระ คนตัดไม้ ชาวไร่ ชาวนา และชาวบ้าน

“ฟันกันยับเลย ไปดูกันเร็ว”

“ที่ไหน ที่ไหน”

และพอผู้คนตื่นตระหนก พวกไก่และม้าก็พลอยส่งเสียงเอะอะชุลมุนไปด้วย

บนศาลเจ้าฮาจิไดก็มีผู้คนมาชุมนุมกันเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ในม่านหมอกที่เคลื่อนตัวไปไม่หยุดยั้ง บางช่วงก็เลื่อนเข้ามาบดบังทั้งภูเขาและฝูงคนจนมิดราวกับลบออกไปด้วยสีขาว แต่แล้วก็ผ่านไปไม่อ้อยอิ่งอยู่นาน
รูปลักษณ์ของมูซาชิเปลี่ยนไปจนแทบไม่เห็นโฉมหน้าเดิมหลังการต่อสู้เพียงช่วงสั้น ๆ นั้น
ผ้าคาดหน้าผากกันผมปรกลงมายามประดาบนั้นชุ่มเลือดผสมเหงื่อเป็นสีแดงจาง เส้นผมที่มัดเอาไว้หลุดรุ่ยลงมาติดหนับอยู่กับเลือด ทำให้หน้าตาท่าทางของเจ้าหนุ่มนักดาบในยามนี้ไม่ผิดอะไรพญายมที่ผุดขึ้นมาจากห้วงอเวจี
มูซาชิหายใจหอบจนตัวโยน อกกว้างบึกบึนราวใส่เกราะหนังทรงพลังกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง

กิโมโนตรงหัวเข่าขาดกระจุยเพราะโดนคมดาบเป็นแผลลึกลงไปจนเห็นกระดูกขาว ๆ เหมือนเมล็ดของลูกทับทิมที่ปริออก
แผลที่โดนปลายดาบเฉี่ยวต้นแขนไม่สาหัสนัก แต่เลือดแดงฉานที่ไหลผ่านหน้าอกลงไปถึงเอวทำให้ดูโชกเลือดไปทั้งร่าง ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ต่างขวัญหนีดีฝ่อ แผดเสียงร้องไม่เป็นส่ำ เพราะภาพที่เห็นนั้นไม่ผิดอะไรกับคนที่ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ในหลุมศพแหวกพื้นดินผาดโผนขึ้นมายืนตระหง่านอยู่ด้วยพลังมหาศาล

แต่พอมองไปอีกด้านก็ยิ่งสยองขวัญเป็นหลายเท่า เมื่อเห็นนักดาบสำนักโยชิโอกะอันเกรียงไกรตกเป็นเหยื่อคมดาบของเจ้าหนุ่มร่างใหญ่คนแล้วคนเล่าเป็นใบไม้ร่วง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องระงม บ้างนอนบิดตัวเร่า ๆ อยู่กับพื้น บ้างคืบคลานไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวก่อนสิ้นใจ ทุกดาบที่เจ้าหนุ่มฟาดฟันลงจะต้องมีคนบาดเจ็บหรือไม่ก็ล้มตายกันทุกคราไป
พอมูซาชิวิ่งขึ้นไปตั้งหลักบนที่ราบกว้างใหญ่เชิงเขา และในนาทีเดียวกับศิษย์สำนักดาบเจ็ดสิบคนก็กรูเข้าโจมตีทันควันหวังเผด็จศึกนั้นเอง นักดาบฝีมือดีสี่ห้าคนที่ถลันเข้ามาก่อนก็ต้องกลายเป็นเครื่องเช่นคมดาบของมูซาชิไปในพริบตา

มูซาชิไม่ได้ยืนนิ่งตั้งรับศัตรูหมู่มาก เห็นได้จากจุดที่ศิษย์สำนักดาบแต่ละคนถูกฟันร่วงลงไป คือคนหนึ่งล้มอยู่ตรงนั้น คนหนึ่งล้มอยู่ตรงโน้น การใช้ทุ่งกว้างเป็นที่มั่นช่วยให้เจ้าหนุ่มนักดาบเคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูหมู่มากเช่นนี้ เพราะกองกำลังของศัตรูจะกระจัดกระจายไม่อาจรวมตัวผนึกกำลังเข้าโจมตีเป้าหมายได้ง่าย ๆ

คนที่ติดตามการต่อสู้ของมูซาชิมาตลอดจะเห็นว่าเจ้าหนุ่มนักดาบมีกลยุทธ์การต่อสู้ที่ตายตัว คือจะไม่จู่โจมเข้าฟาดฟันกองกำลังของศัตรูทางด้านข้าง พยายามหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ดาหน้าเข้าใส่ตน แต่จะเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าจากมุมหนึ่งของกลุ่มที่ศัตรูเกาะตัวกันอยู่ไปยังอีกมุมหนึ่ง แล้วจึงเผ่นโผนเข้าโจมตีฉับพลัน คือลงดาบในจังหวะที่พบช่องว่างตรงมุม

ดังนั้น ถ้ามองด้วยสายตาของมูซาชิจากจุดที่ยืนอยู่ จะเห็นว่าศัตรูบุกเข้ามาเป็นแถวยาวเหมือนถูกต้อนเข้าไปในที่แคบเสมอ แม้ศัตรูจะแห่กันมาเจ็ดสิบคนหรือร้อยคน มูซาชิก็เอาอยู่ด้วยกลยุทธ์นี้เพราะศัตรูที่ต้องเผชิญหน้าด้วยมีเพียงสองสามคนที่อยู่แถวหน้าเท่านั้น

แต่แม้ว่ามูซาชิจะเคลื่อนตัวได้ว่องไวราวจักรผัน แต่ก็ต้องมีพลาดบ้างเพราะศัตรูก็เป็นศิษย์มีอาจารย์จะหวังให้พลาดท่าเสียเชิงกลยุทธ์เสมอไปคงไม่ได้ ศิษย์ชิโอกะอาจแบ่งกำลังออกเป็นกองหน้าบุกทะลวงและกองหลังเป็นกำลังหนุนขึ้นมาในอึดใจเดียวกับที่เพลี่ยงพล้ำ

มูซาชิตื่นตัวขึ้นทันทีที่มองเห็นอันตรายเช่นนั้น ร่างกายทุกส่วนระดมกำลังกันสุดฤทธิ์จนร้อนผ่าวไปทั้งตัว และพอรู้ตัวขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนถือดาบสองเล่มคู่กันอยู่ มือขวาเป็นดาบโชกเลือดสีแดงสดตั้งแต่คมดาบลงมาจนถึงด้ามและมือที่กุมด้ามอยู่ ส่วนมือซ้ายถือดาบสั้นที่ยังใหม่ น้ำมันที่ติดอยู่บาง ๆ บนคมมีดสะท้อนแสงเป็นประกายคล้ายจะบอกว่ากำลังกระหายเลือด
มูซาชิฟาดฟันกับศัตรูด้วยดาบในมือทั้งสองโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่ากำลังใช้ดาบคู่

2
ราวกับนกนางแอ่นกำลังโต้คลื่น
พอคลื่นถาโถมเข้ามาเจ้านกก็ถีบคลื่นบินทะยานขึ้นไป
สองมือของมูซาชิกำดาบทั้งสองไว้มั่นขณะเคลื่อนตัวฉับไวไม่มีหยุดสักอึดใจเดียว ล่อให้ฝ่ายศัตรูมองตามทางนั้นทางนี้โดยที่จับจุดเป้าหมายไม่ได้

กองกำลังสำนักดาบโยชิโอกะงงงันกันไปพักใหญ่กับอุบายของมูซาชิ แต่ไม่นานก็รวมตัวกันติดและกระจายกำลังเข้าล้อมศัตรูผู้บุกเดี่ยวอีกครั้ง

มูซาชิสูดหายใจเข้าเต็มแรง ยื่นมือซ้ายที่ถือดาบสั้นออกไปข้างหน้าเล็งให้ตรงกับสายตาของศัตรู กางมือขวาที่ถือดาบใหญ่เปิดกว้างออกไปข้าง ๆ รักษาแนวราบระหว่างบ่า ลำแขนและปลายดาบเอาไว้ ให้อยู่นอกสายตา

ส่วนรัศมีการมองเห็นของมูซาชิที่มีดวงตาทั้งสองเป็นศูนย์กลางนั้นมาก เมื่อบวกความยาวของดาบทั้งสองกับระยะห่างระหว่างมือที่ถือดาบเมื่อกางแขนออกเต็มที่

ศัตรูไม่ชอบการเผชิญหน้าตรง ๆ พอเห็นมูซาชิเคลื่อนตัวไปทางขวาก็จะหันตาม ซึ่งเจ้าหนุ่มก็จะยกดาบในมือขวาขึ้นฟาดฟัน และถ้าศัตรูหันไปทางอื่นเจ้าหนุ่มก็จะใช้ดาบในมือซ้ายสกัดกั้นเอาไว้ ศัตรูจึงติดกับอยู่ระหว่างสองดาบนั้นเอง
ดาบสั้นที่ยื่นออกไปตรงหน้านั้นมีพลังเหมือนมนต์สะกด พอพุ่งปลายจ่อไปที่ร่างศัตรูคนใดคนนั้นเป็นต้องหยุดกึก และยังไม่ทันสู้หรือถอย เจ้าหนุ่มฟันดาบยาวในมือขวาลงมาสังหาร เลือดพุ่งกระจายทุกรายไป เชิงดาบนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในสมัยต่อมาว่าวิชาดาบสองมือต่อสู้กับศัตรูหมู่มาก แต่ครั้งนั้นมูซาชิไม่ได้รู้ตัวเลย เจ้าหนุ่มต่อสู้ด้วยสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดล้วน ๆ คือเมื่อจวนตัวเข้าจริง ๆ ก็จะต้องระดมพละกำลังความสามารถที่มีอยู่ในตัวออกมาให้หมด แม้กระทั่งมือซ้ายที่ปกติไม่เคยนึกถึงก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่เท่านั้นเอง

เมื่อมองในแง่ของนักดาบ อาจกล่าวได้ว่ามูซาชิยังอยู่ในขั้นอนุบาล ไม่ได้สนใจเรื่องสำนักหรือครูบาอาจารย์ใดๆ ไม่มีรูปแบบของเชิงดาบให้ยึดติด ไม่มีการพูดถึงวิชา ตำราหรือทฤษฎีอะไรทั้งนั้น วิถีทางที่เจ้าหนุ่มผู้นี้เชื่อถือโดยไม่มีข้อสงสัยก็คือการปฏิบัติจริง เรียนรู้จากความเป็นจริงที่ประจักษ์ต่อสายตาตนเอง ส่วนเหตุและผลที่จะสรุปเป็นทฤษฎีนั้นเก็บไว้คิดภายหลัง จะคิดตอนนอนก็ยังได้

ด้านศิษย์สำนักโยชิโอกะนั้นช่างต่างจากเจ้านักดาบผู้โดดเดี่ยวราวขาวกับดำไปเสียทุกอย่าง ศิษย์สำนักดาบแห่งนี้ทุกคนนับตั้งแต่ศิษย์เอกทั้งสิบไปจนถึงศิษย์ระดับปลายแถวที่ฝีมือยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ต่างก็มีทฤษฎีวิชาดาบสายเคียวฮาจิฝังแน่นอยู่ในหัวกันทั้งนั้น ทั้งยังมีกฎเกณฑ์และขนบประเพณีของตระกูลโยชิโอกะที่เป็นเจ้าสำนักดาบอีกมากมายก่ายกองไม่รู้ว่าจะจดจำให้ครบถ้วนได้ยังไง

และเมื่อปะทะกัน จิตวิญญาณของนักสู้หรือจะแกร่งเท่ามูซาชิ นักดาบผู้ฝึกฝนฝีมือดาบอยู่คนเดียวท่ามกลางป่าเขา มีธรรมชาติอันไม่เคยปราณีผู้ใดเป็นครูที่ดุดัน เจ้าหนุ่มฝึกฟันดาบมาตั้งแต่ยังไม่รู้จักดาบ เนื้อแท้ของนักสู้ต่างกันตรงนี้
มือทั้งคู่ของมูซาชิกระชับดาบใหญ่เล็กตวัดซ้ายขวาสู้ยิบตาอยู่กลางวงล้อม ใครถลันเข้ามาไม่เจ็บก็ตาย เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ใจสู้หายใจหอบหนักจนมีเสียงรอดออกมา ใบหน้าขาวซีด และร่างโชกเลือดสีแดงสดราวพญามารผุดขึ้นมาจากอเวจี
ฝ่ายศัตรูเริ่มหวั่นไหวเมื่อเห็นมูซาชิยืนหยัดสู้อยู่คนเดียวโดยที่พละกำลังไม่ถดถอย และไม่มีพวกตนคนใดที่อาจหาญบุกเข้าไปพิชิตรอดชีวิตกลับมา แต่ละคนเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง เหงื่อไหลเข้าตาจนพล่ามัวจับร่างของมูซาชิได้ไม่ชัดเสียแล้ว รู้สึกราวกับว่ากำลังต่อสู้อยู่กับภูตพรายตัวแดงจัด

กองกำลังของสำนักดาบโยชิโอกะที่ระดมกันมาหกสิบเจ็ดสิบแทบจะหมดสำนัก ถ้าจะไปไม่ไหวเสียแล้ว


กำลังโหลดความคิดเห็น