นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ภาค 4 ลม ตอน ประลองยุทธ์ที่อิจิโจจิ
1
แต่แล้ว น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ยามจำใจพรากจากโอซือก็เอ่อคลอขึ้นมากลบตาและไหลผ่านแก้มลงมาเป็นสาย
อะไรทำให้ข้าขาดสติเช่นนี้ ยื่นมือออกไปจะสั่นระฆังทั้งที่ไม่ได้คิดที่จะอ้อนวอนขออะไรจากพระเจ้า ไม่ได้นึกถึงบทสวดภาวนาใด ๆ สักอย่าง...หากขาดสติเช่นนี้ ยิ่งไม่ควร
เจ้าหนุ่มนักดาบก่นด่าความไร้สติของตัวเอง นึกแค้นใจกับความตื้นเขินของปัญญาที่หลงคิดว่าลึกล้ำขึ้นจากการพากเพียรฝึกตนทุกเมื่อเชื่อวันให้เป็นนักดาบผู้มีกลยุทธ์เฉียบแหลมดั่งเช่นเขาอื่น
งี่เง่า
สมองว่างเปล่าเป็นโพรงกลวง สิ้นแล้วซึ่งพลังความคิด แม้จะตั้งความหวังความปรารถนาก็หาทำได้ไม่
ยังไม่ทันจะย่างก้าวเข้าสู่สมรภูมิใจก็เจ็บจนสุดใจเพราะความพ่ายแพ้เสียแล้ว
นี่น่ะหรือคือชีวิตนักดาบ นี่น่ะหรือชีวิตของชายที่บรรลุถึงความเป็นนักรบซามุไร
ขอบคุณพระเจ้า
ห้วงคิดของมูซาชิก็สว่างวาบขึ้นในบันดล
ม่านหมอกทึบทึมที่ก่อตัวขึ้นมาจากความปั่นป่วนของอารมณ์สลายตัวไปสิ้น
ใช่...ยังไม่ถึงเวลานัดประลองยุทธ์สักหน่อย ยังเหลืออีกก้าวหนึ่งก่อนที่จะได้รู้แพ้รู้ชนะ
พระเจ้ามีจริง และพระเจ้านั่นเองที่เตือนเราให้ได้คิดในยามนี้
มูซาชินับถือพระเจ้า แต่เจ้าหนุ่มคิดว่าบนวิถีแห่งซามุไรนั้นไม่มีการวิงวอนขอพรพระเจ้าเพราะเป็นวิถีที่อยู่บนความเป็นจริง การภาวนาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้านอกจากจะสมเกรียติภูมิของความเป็นนักรบซามุไร แล้วยังไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งด้วย พระเจ้ามีจริง...เจ้าหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธแต่คิดว่าไม่ควรขอให้พระเจ้าช่วย แม้จะเกิดมาเป็นคนอ่อนแอน่าเวทนาเพียงไรก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพยายามดำรงชีวิตให้อยู่รอดไปได้ด้วยพลังความสามารถเท่าที่มีอยู่ของตน...ก็เท่านั้น
มูซาชิถอยออกมาก้าวหนึ่งแล้วพนมมือน้อมศีรษะไหว้พระ แต่ไม่ได้คิดที่จะจับเชือกลั่นฆ้อง
จากนั้นก็ผลุนผลันออกมาจากบริเวณศาลเจ้าฮาจิได แล้วออกวิ่งไปตามทางลงเนินที่แคบและชัน ซึ่งเมื่อลงไปจนสุดก็จะพบกับทางลงไปยังสนต้นเดี่ยวที่เชิงเขา
ทางชันดิ่งและหากเป็นวันฝนตกหนักจะกลายสภาพเป็นน้ำตกโดยพลันทางเส้นนี้ เป็นดินร่วนปนก้อนหินที่ถูกน้ำชะลงมา มูซาชิวิ่งลิ่วรวดเดียวลงไปสุดเนิน เสียงก้อนหินและดินร่วนร่วงกรูตามลงมาทำลายความสงบเงียบในบริเวณนั้น
โอ๊ะ
เจ้าหนุ่มนักดาบอุทานพร้อมกับม้วนตัวเข้าไปซุกอยู่ในกอหญ้าเมื่อเหลือบไปเห็นอะไรอย่างหนึ่ง
ใบหญ้ายังอุ้มน้ำค้างไว้เต็มที่ยังไม่กระเซ็นไปไหน เนื้อตัวเจ้าหนุ่มที่หมอบอยู่ราวกระต่ายป่าจึงเปียกโชก
สายตาของมูซาชิจับจ้องไปที่กิ่งต้นสนเดี่ยวเชิงเขา
จากจุดที่นี้เจ้าหนุ่มพอจะกะได้ว่าตนอยู่สูงขึ้นมาจากสนต้นเดี่ยวหลายสิบก้าว
และบนกิ่งสนก็ดูเตี้ยจากพื้นดินกว่าความเป็นจริงนั้นเอง มูซาชิเห็นเงาตะคุ่มของคนซุ่มอยู่บนคาคบไม้ และดูเหมือนจะถืออาวุธประเภทยิงระยะไกลตั้งท่าเตรียมพิฆาต อาวุธนั้นไม่ใช่คันธนูแต่ดูลักษณะแล้วต้องเป็นปืนแน่นอน
ขี้ขลาด
มูซาชิร้องเอ็ดอึงอยู่ในใจ แล้วก็นึกสมเพช
โธ่เอ๋ย มีศัตรูแค่คนเดียวเอง
แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะเป็นธรรมดาที่มูซาชิเองก็จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วเหมือนกันว่าต้องเจอประมาณนี้ แล้วอีกอย่างทางสำนักดาบโยชิโอกะคงไม่ประมาทและไม่คิดว่าตนจะบุกเดี่ยว จึงเตรียมมือปืนเอาไว้และคงไม่ได้มีปืนแค่กระบอกสองกระบอก
แม้ว่าจากที่ซุ่มดูอยู่ตรงนี้จะเห็นแค่คนที่อยู่บนคาคบสนต้นเดี่ยวเท่านั้น แต่การคิดว่าพลยิงจะต้องอยู่บนคบไม้เท่านั้นเป็นการประเมินสถานการณ์ที่เร็วเกินไปและเป็นอันตรายมาก ถ้าเป็นธนูก็อาจซุ่มยิงอยู่หลังโขดหินหรือแอ่งดินบนพื้นราบ และถ้าเป็นปืนก็อาจยิงมาไกลจากสันเขาก็ได้
ความได้เปรียบของมูซาชิมีอยู่อย่างเดียวคือ ศัตรูที่อยู่บนต้นไม้และที่รวมกลุ่มกันอยู่ใต้ต้นไม้นั้นทุกคนหันหลังให้ตน นักดาบสำนักโยชิโอกะเฝ้าระวังแต่ที่ทางสามแพร่งซึ่งแยกออกไปจากสนต้นเดี่ยว โดยลืมภูเขาที่อยู่ด้านหลังไม่มีใครสักคนนึกถึง
มูซาชิ ก้มหัวลงต่ำกว่าด้ามดาบที่ชักออกจากฝักกระชับแน่นอยู่ในมือ และคืบคลานไปข้างหน้าช้า ๆ จนได้จังหวะก็ดีดตัวขึ้นวิ่งเหยาะ ๆ ฝ่าพงหญ้าไปยังสนเดี่ยวต้นใหญ่ พอเข้าไปใกล้ราวอีกยี่สิบเก้าจะถึง คนบนคบไม้ก็เอะอะขึ้นเมื่อเห็นเงาวูบวาบ
“โอ๊ะ นั่นมันมูซาชินี่”
เสียงตะโกนของมือปืนดังก้องไปไกลไม่อาจหยุดยั้งมูซาชิได้ เจ้าหนุ่มเคลื่อนตัวด้วยท่าเดิมวิ่งรุดหน้าไปอีกราวสิบก้าว
มูซาชิมั่นใจว่าในช่วงไม่กี่วินาทีนั้นมือปืนบนคบไม้ที่นั่งคร่อมกิ่งไม้เล็งกระบอกปืนไปยังทางสามแพร่ง จะไม่อาจพ่นกระสุนใส่ตนได้ทันแน่นอน เพราะไหนจะต้องกลับตัวอย่างทุลักทะเลเพราะเกะกะกิ่งไม้ ไหนจะต้องตั้งปืนเล็งเป้าหมายใหม่อีกซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ดังนั้น ช่วงไม่กี่วินาทีนั้นเป็นเวลาที่ปลอดภัยสำหรับมูซาชิ
“เกิดอะไรขึ้น”
“อะไร ทางไหน”
นักดาบศิษย์เอกสำนักโยชิโอกะราวสิบนายที่ยึดเอาบริเวณใต้ต้นสนเดี่ยวเป็นฐานที่ตั้ง แต่ละคนร้องถามแทบจะพร้อมกัน และในอึดใจต่อมานั้นเอง...
“เฮ้ย มันอยู่ข้างหลัง”
คนบนคาคบแผดเสียงร้องแทนคอจะแตก และตอนนั้นเองที่ปากกระบอกปืนที่มือปืนลนลานตั้งเป้าใหม่นั้น เล็งตรงไปที่หัวของมูซาชิอย่างดูแล้วไม่มีพลาด
มูซาชิคว้าก้อนอิฐขนาดเหมาะมือขึ้นมาทันทีที่เห็นไฟติดสายชนวนแวบ ๆ ผ่านใบสนเรียวแหลม แล้วเขวี้ยงสุดแรงไปที่เปลวไฟบนสายชนวนที่เล็ก ๆ พอ ๆ กับก้านธูป
เสียงกิ่งไม้หักระคนเสียงร้องด้วยความตระหนก ตามมาด้วยเสียงอะไรหนัก ๆ ตกลงมากระทบพื้นดินดังสนั่นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นมือปืนที่ซุ่มอยู่บนคบไม้เมื่อครู่ก่อนนี้เอง
2
“โอ๊ย”
“มูซาชิ”
“เฮ้ย มูซาชิ มันมาแล้ว”
ใครก็ตามที่ไม่มีตาหลัง ย่อมตื่นตกใจหยิบจับอะไรไม่ถูกตาม ๆ กันเมื่ออยู่ ๆ มูซาชิก็ปรากฏตัวขึ้นในทิศทางที่ไม่มีใครคาดฝันมาก่อน
สำนักดาบโยชิโอกะวางกำลังพลไว้หนาแน่นแทบทุกตารางนิ้วบนทางสามแพร่ง อย่างชนิดที่ถ้ามูซาชิผ่านเข้ามาจะไม่มีวันรอดกลับออกไปได้ ไม่มีใครคิดว่าจู่ ๆ จะต้องมารับมือกับมูซาชิที่จู่โจมเข้ามากลางฐานทัพ อย่างที่ไม่มีใครรู้เบาะแสมาก่อน และไม่มีใครคาดฝัน จึงไม่แปลกอะไรที่พวกโยชิโอกะจะต้องหันรีหันขวางตั้งขบวนไม่ติด
การปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของมูซาชิ ทำเอานักดาบระดับศิษย์เอกของสำนักไม่ถึงสิบคนที่ยึดฐานทัพเป็นที่มั่นอยู่นั้นตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกราวกับเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ทุกคนชักดาบออกจากฝักด้วยสัญชาตญาณของนักดาบแต่ความที่สับสนอลหม่าน ดาบกลับกลายเป็นสิ่งที่เกะกะกีดขวางจนเกือบจะประดาบกันเอง ส่วนคนที่ถือทวนด้ามทวนก็ไปเกะกะเพื่อนแทบจะหกคะเมนตามกันไป บางคนเผ่นแน่บไปไกล
“โคบาชิ”
“มิอิเกะ”
คนที่ยังมีสติก็กู่ร้องบอกกันให้ล้อมตัวมูซาชิเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้
บางคนก็ยังงงงันร้องอะไรออกมาไม่เป็นภาษา กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไรและรวมตัวกันล้อมมูซาชิเอาไว้เป็นครึ่งวงกลม ก็ได้จังหวะที่มูซาชิหยุดยืนเด่นเป็นสง่าและกล่าวคำท้าทายเสียงกร้าว
“ข้ามูซาชิบุตรชายคนเดียวของชินเม็น มูนิไซ แห่งแคว้นมิมาซากะ ข้ามาที่นี่วันนี้ตามกำหนดการประลองยุทธ์ที่ได้ให้สัญญากันไว้ คิดว่าท่านเก็นจิโรคงมาถึงแล้ว ข้าขอเตือนท่านว่าอย่าได้ประมาทเหมือนท่านเซจูโรและท่านเด็นชิจิโรที่เพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้ครั้งก่อน ๆ ข้าเข้าใจว่าท่านยังเยาว์จึงจำเป็นต้องมีผู้ช่วยตามมาด้วยเป็นสิบ ๆ แต่มูซาชิคนนี้มาเพียงคนเดียวอย่างที่เห็น คนของท่านจะเข้ามาทีละคนหรือจะทั้งฝูงก็ได้ตามใจ ข้าพร้อมสู้”
ว่าแล้วเจ้าหนุ่มนักดาบก็ยืดอกอย่างอาจหาญ แสดงทีท่าว่าไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น
ทุกคนไม่คิดว่าเจ้าหนุ่มนักดาบผู้อหังการจะกล่าวคำทักทายคู่ต่อสู้ได้อย่างถูกต้องตามธรรมเนียมทุกถ้อยคำเช่นนี้ พร้อมกันนั้นก็รู้สึกอับอายการกระทำของพวกตนที่ไม่สมกับการที่อีกฝ่ายจะสุภาพด้วยเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าการแสดงตัวของมูซาชินั้นไม่ธรรมดา เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าไม่มีความมั่นใจมาก ๆ แล้วก็ไม่อาจกลั่นกรองคำพูดดี ๆ เช่นนั้นออกมาได้
ปากแห้งเกราะด้วยความหวาดหวั่น จะข่มขู่ได้ก็แค่ว่า
“มูซาชิ เจ้ามาช้ากว่าเวลานัด”
“กลัวละซี”
ยังดีที่มูซาชิบอกว่ามาคนเดียว ใจของหลายคนจึงฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง แต่เก็นซะนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุ มิอิเกะ และบรรดาศิษย์เอกของสำนักมองลึกลงไปถึงความเป็นไปได้ที่แฝงอยู่เบื้องหลัง คือแม้มูซาชิอาจมีแผนแยบยลอย่างเช่นซุ่มซ่อนตัวนักดาบมือรองเอาไว้สักแห่งใกล้ ๆ นี้ก็ได้
เฟี้ยว
เสียงลูกธนูวิ่งออกจากแล่ง
เสียงคมดาบในมือของมูซาชิแหวกอากาศ
ตามมาด้วยเสียงธนูที่วิ่งเข้าใส่แสกหน้าของถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน
มูซาชิและดาบหยุดไม่อยู่เสียแล้ว เจ้าหนุ่มนักดาบเผ่นโผนเข้าใส่ร่างที่หลบอยู่หลังต้นสนเดี่ยว ทั้งร่างและผมที่กระจายนั้นดูราวสิงโตที่กำลังกระโจนเข้าหาเหยื่อ
“ช่วยด้วย ข้ากลัว”
หนุ่มน้อยเก็นจิโรที่ยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ต้น กรีดร้องและโผเข้ากอดสนต้นเดี่ยวไว้แน่น
เก็นซะนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุผู้เป็นพ่อร้องราวกับร่างของตนเองถูกฟันขาดเป็นสองท่อนพร้อมกับกระโจนเข้าหาลูกชาย
แต่ช้าไปเสียแล้ว...คมดาบของมูซาชิเฉือนเปลือกไม้ขาดลงไปเป็นแถบ ร่วงลงดินพร้อมกับศีรษะที่ยังไว้ผมม้าของหนุ่มน้อย และเลือดกระฉูดจากร่างที่ทรุดลงไปกับพื้นดิน