นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ราวกับปีศาจราตรีกระหายเลือด
มูซาชิเงื้อง่าดาบในมือ เผ่นโผนและดิ่งเข้าใส่เก็นจิโรราวกับเป็นเป้าหมายที่เล็งเอาไว้ตั้งแรก และตระหวัดดาบฟันฉับลงไปเพียงจังหวะเดียวคอเจ้านักดาบหนุ่มน้อยก็ขาดสะบั้นในบัดดล
อนิจจา...ฝ่ายหนึ่งเหี้ยมโหด อีกฝ่ายสุดแสนจะน่าเวทนา
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายปรปักษ์แต่ก็เป็นเพียงหนุ่มน้อยที่ไม่พิษสงคู่ควรกับการนับเป็นศัตรูไม่ใช่รึ
การตายของเก็นจิโรไม่ได้ทำให้กำลังใจของเหล่านักดาบสำนักโยชิโอกะถดถอยลงเหมือนกับกองทหารที่สูญเสียแม่ทัพ แต่ความโกรธแค้นกลับทำให้ฮึกเหิมราวบ้าคลั่งกันยิ่งขึ้นทุกหมู่เหล่า
เก็นซะนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุผู้พ่อ หน้าแดงก่ำจนดำเมี่ยมด้วยความโกรธแค้นระคนโศกเศร้าแทบใจสลาย แผดเสียงคำรามก้องไปทั้งหุบเขาราวพยัคฆ์ร้ายต้องคมธนูของนายพราน เงื้อดาบที่ดูหนักเกินกำลังของผู้เฒ่าขึ้นกวัดแกว่งเหนือหัวพุ่งตัวเข้าไปหมายฟาดฟันมูซาชิให้สิ้นชื่อสมแค้น
และในพริบตาที่มูซาชิชักเท้าขวาออกไปไม่ถึงก้าวและเบี่ยงตัวพร้อมตวัดสองมือที่กุมด้ามดาบตามลงไปนั้นเอง ปลายดาบที่บั่นก้านคอเก็นจิโรมาแล้วนั้นก็เฉี่ยวเฉือนเข้าที่ข้อศอกและใบหน้าของนักรบผู้เฒ่า
เสียงโหยหวนร้องระงมที่ตามมานั้น ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเสียงของผู้ใด
เพราะร่างคนที่พุ่งทวนหมายลอบทำร้ายด้านหลังเสียหลักพุ่งออกมาล้มทับลงไปนอนโชกเลือดอยู่ด้วยกันกับนักรบผู้เฒ่า และยังไม่ทันที่จะกระพริบตานักดาบคนที่สี่ก็กระโจนเข้าใส่ตรงหน้าพอดีกับที่มูซาชิตั้งหลักได้ จึงถูกฟันเข้ากลางลำตัวลึกถึงซี่โครง คอแขนตกห้อยแล้วแต่ขายังพาร่างไร้วิญญาณเดินต่อไปอีกสองสามก้าว
หายไปไหนกันหมด
มาเร็ว ๆ สิวะ
นักดาบที่เหลืออีกหกเจ็ดคนเรียกหากองหนุนกันขรม แต่กองกำลังส่วนใหญ่แยกย้ายกันไปซุ่มเตรียมโจมตีศัตรูที่มีอยู่เพียงคนเดียวนี้อยู่ริมทางทั้งสามแพร่ง ซึ่งไกลจากฐานที่มั่นไม่น้อย ทั้งยังไม่มีใครล่วงรู้ถึงเหตุการณ์พิชิตชีวิตจอมทัพและเผด็จศึกภายในเสี้ยววินาทีที่กลางฐานที่มั่นนี้ด้วย
แม้จะก่นเรียกเพียงใดเสียงนั้นก็มีแต่จะลอยตามลมผ่านแมกไม้และกอไผ่ไปอย่างไร้จุดหมาย
ต้นสนเดี่ยวยืนต้นอยู่ตรงนี้มานานหลายศตวรรษ ได้เป็นพยานรู้เห็นความพ่ายแพ้ของกองทัพตระกูลไทระที่ถอยร่นจากเกียวโตข้ามไปทางแคว้นโอมิเมื่อหลายร้อยก่อน ผ่านยุคสมัยที่ชินรันและบรรดาผู้เลื่อมใสศาสนาบนภูเขาเอซันลงไปกดดันชนชั้นขุนนางในนครหลวง และอีกหลายเหตุการณ์ในอดีต
ณ นาทีนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากความยินดีปรีดาที่รากเพิ่งดูดเลือดสด ๆ ของมนุษย์เข้าไปหล่อเลี่ยงอย่างไม่ได้คาดหมาย หรือความโศกสลดเข้าไปถึงแก่นใจ ลำต้นใหญ่ของสนต้นเดี่ยวจึงสั่นไหวขึ้นไปจนถึงปลายกิ่งก้าน และสลัดหยาดน้ำค้างอันเย็บเยียบลงไปที่ดาบและคนที่อยู่ใต้ร่มเงา
นักดาบศิษย์เอกสำนักดาบโยชิโอกะที่ฐานบัญชาการตีวงล้อมมูซาชิ ที่ยืนแนบหลังกับลำต้นใหญ่ขนาดสองคนโอบของสนต้นเดี่ยวในท่าตั้งรับ ไม่มีใครสักคนที่จะหยุดสนใจหนึ่งศพและสามนักดาบบาดเจ็บ
แม้สนต้นเดี่ยวจะแข็งแรงมั่นคงแต่มูซาชิก็ไม่คิดที่จะยึดสนต้นเดี่ยวเอาไว้เป็นที่นั่นอยู่นานเพราะเล็งเห็นว่าจะทำให้เสียเปรียบแก่ศัตรู จึงมองหาชัยภูมิแห่งใหม่ทั้งที่ตาคมกริบราวคมมีดจับจ้องไปที่ใบหน้าศัตรูทั้งเจ็ด
เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในความเงียบของสนามประลองยุทธ์ ที่มีเพียงเสียงยอดไม้ เสียงป่าไผ่ เสียงใบหญ้าลู่ลม เสียงครืนครานมาแต่ไกลของหมู่เมฆ
ไปที่สนต้นเดี่ยวเดี๋ยวนี้
เสียงนั้นดังมาจากเนินสูงไม่ไกลนักที่เจ้าของเสียงซึ่งก็คือซาซากิ โคจิโรเลือกเป็นที่นั่งดูการประลองยุทธ์
นักดาบหนุ่มสำอางผลุดลุกขึ้นจากโขดหินทันทีที่เห็นการประหัตประหารที่เกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ตรงหน้า แล้วหันเป็นตะโกนเรียกบรรดานักดาบสำนักโยชิโอกะที่แยกย้ายกันไปซุ่มตัวอยู่ตามต้นไม้และตามสุมทุมพุ่มไม้บนทางสามแพร่ง
ออกจากที่ซ่อนด่วนเลย ไปทางสนต้นเดี่ยวเดี๋ยวนี้ กำลังรบกันใหญ่แล้ว
2
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นนัดหนึ่ง เป็นสัญญาณว่าไม่ใครก็ใครต้องได้ยินเสียงร้องเตือนของโคจิโร
หลายคนยกมือขึ้นอุดหู และในอึดใจต่อมาก็มีเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ดังขึ้นจากป่าไผ่ สุมทุมพุ่มไม้ หลังโขดหินและที่ซุ่มตัวทุกแห่งบนทางสามแพร่ง พร้อมกับนักดาบอาวุธครบมือกรูกันออกมาราวกับผึ้งแตกรัง มุ่งหน้าไปยังปากทางแยกสามแพร่ง ส่งเสียงสบถระคนท้าทายและก่นด่าศัตรูไปตลอดทาง
กองกำลังจากทางสามแพร่งทางละราวยี่สิบคนมาบรรจบกันราวสามแควรวมตัวเป็นแม่น้ำสายใหญ่
มูซาชิเบี่ยงตัวหลบทันทีในเสี้ยววินาทีที่ได้ยินเสียงปืน และเคลื่อนตัวเสียดสีกับเปลือกไม้ของสนต้นเดี่ยวไปข้าง หนึ่ง กระสุนจึงเฉี่ยวใบหน้าเจ้าหนุ่มในระยะเฉียดฉิวไปฝังตัวกับลำต้น นักดาบศิษย์เอกเจ็ดคนที่จ่อปลายทวนบ้างดาบบ้างพร้อมเพรียงกันพลอยเคลื่อนตัวตามได้
ทันใดนั้นเอง มูซาชิก็ยกดาบขึ้นในระดับตาทั้งคู่แล้ววิ่งเข้าใส่โคบาชิ คุรันโดะนักดาบหนึ่งในศิษย์เอกทั้งสิบที่อยู่ริมซ้ายสุด คุรันโดะร้องลั่นไม่เป็นภาษาเมื่อถูกจู่โจมฉันพลันทันทีและเบี่ยงตัวหลบด้วยสัญชาตญาณ เปิดช่องให้ มูซาชิวิ่งฝ่าวงล้อมเตลิดออกไปข้างหน้า
นักดาบโยชิโอกะถึงกับตั้งตัวไม่ติดเมื่อศัตรูแหกวงล้อมออกไปอย่างอาจหาญ ในนาทีที่เกือบจะเผด็จศึกได้แล้วเช่นนั้น แม้จะตั้งขบวนกันใหม่แต่ก็ยังรวนอยู่ทำอะไรกันไม่ถูก ได้แต่ตะโกนโหวกเหวกไล่หลังมูซาชิ
อย่าปล่อยมันไป
มูซาชิเผ่นโผนหมุนตัวคว้างจนดูคล้ายแยกออกเป็นสองร่าง เมื่อยกดาบฟาดฟันลงไปที่สีข้างของมิอิเกะที่ถลันเข้ามาเป็นคนแรก แต่ศิษย์เอกสำนักโยชิโอกะตั้งท่ารับไว้พร้อมเพราะมองเชิงดาบออกอยู่แล้วด้วยความเจนสนาม ปลายดาบของมูซาชิจึงแค่เฉี่ยวหน้าอกเฉียงลงไป
เชิงดาบของมูซาชินั้นฉับไวยิ่งนัก ไม่เชื่องช้าเหมือนของนักดาบร่วมสมัยโดยทั่วไป ซึ่งตามปกติเมื่อฟันพลาดเป้าหมายแรงของดาบก็จะสูญเปล่า และถ้าจะฟันเป้าหมายนั้นซ้ำอีกครั้งก็จะต้องตั้งดาบใหม่
มูซาชิเป็นนักดาบที่ไม่มีครู ระหว่างฝึกวิชาดาบอยู่คนเดียวนั้นย่อมมีความผิดพลาด ความทุกข์และท้อถอย แต่สำหรับนักดาบหนุ่มผู้นี้การไม่มีครูอาจนับว่าเป็นข้อดีก็ได้
ที่สำคัญคือมูซาชิไม่ถูกหล่อหลอมอยู่ในแบบพิมพ์ของสำนักดาบแห่งใดที่เลื่องชื่อลือนามอยู่แล้ว เชิงดาบของเจ้าหนุ่มไม่มีทั้งรูปแบบที่ตายตัว ไม่มีกฎระเบียบที่ต้องยึดถือร่วมกัน ทั้งยังไม่มีแนวคิดปรัชญาที่ลึกล้ำ แต่เป็นเชิงดาบที่ไร้ชื่อไร้รูปแบบที่เกิดจากการผูกประสานกันของพลังจินตนาการในทุกมิติของโลกและสวรรค์กับพลังความสามารถ
ดังจะเห็นได้ชัดจากเชิงดาบอันเฉียบขาดที่มูซาชิใช้ฟาดฟันมิอิเกะในการประลองยุทธ์ที่สนต้นเดี่ยว
มิอิเกะผู้ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เอกของสำนักโยชิโอกะนั้นย่อมไม่เพลี่ยงพล้ำกับกลยุทธ์การแสร้งทำเป็นหนีแล้วหันกลับมาสู้เช่นนั้นอยู่แล้ว และไม่ว่าจะเป็นนักดาบจากสำนักที่เลื่องชื่อลือชาแห่งใดก็ย่อมเอาชนะได้ทั้งนั้น
แต่จะปรามาสเชิงดาบเฉพาะตัวของมูซาชิเช่นนั้นไม่ได้
พลังดาบของมูซาชินั้นเมื่อฟาดฟันไปลงคราวใดพลังนั้นจะย้อนกลับทุกครั้งไม่มีสูญเปล่า คือเมื่อฟาดฟันลงไปทางขวาดาบจะวาดกลับขึ้นไปทางซ้ายทันทีด้วยพลังขับเคลื่อนที่แฝงอยู่ ดังนั้นเมื่อมองประกายคมดาบของมูซาชิที่วาดแวบผ่านอากาศให้ดี ๆ จะเห็นเหมือนลำแสงแยกเป็นสองเส้นพุ่งไปที่ศัตรูแล้วย้อนกลับ
เสียงร้องโหยหวนขาดหายเมื่อคมดาบที่พลาดเป้าย้อนกลับขึ้นไปฟันใบหน้าของมิอิเกะขาดออกทั้งเสี้ยว เลือดสาดกระจาย
เลือดของโยชิโอกะนองสนามประลองยุทธ์ที่สนต้นเดี่ยว
ศิษย์เอกทั้งสิบผู้สืบทอดเกียรติภูมิของสำนักดาบโยชิโอกะแห่งนครหลวงสิ้นชีพด้วยคมดาบของมูซาชิไปสองคนคือคุรันโดะและมิอิเกะที่เพิ่งสิ้นใจ รวมทั้งเก็นจิโรผู้นำธงของโยชิโอกะในการประลองยุทธ์ครั้งนี้
หลังสังหารมิอิเกะพลังดาบของมูซาชิยังเหลือเฟือ หากจะฮึกเหิมขึ้นสู้ต่อก็คงจะจิกหัวศัตรูมาบั่นคอสังหารได้อีกหลายหมู่เหล่า แต่ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มนักดาบไม่รู้คิดอย่างไรจึงได้วิ่งไปที่ทางสามแพร่ง
เหล่านักดาบโยชิโอกะกลับตัวแทบไม่ทันแต่พอตั้งท่าจะกรูตามไปก็ไม่เห็นร่างใหญ่ประเปรียวของศัตรูเสียแล้ว