xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 3 ไฟ ฝูงปลาในวังวน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
ชีวิตของโอซือเท่าที่ผ่านมาจนทุกวันนี้แม้จะบางช่วงที่เศร้าสลดเมื่อคิดคำนึงถึงอดีต และบางช่วงที่ต้องทุกข์รันทดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด สาวใดที่มีจุดมุ่งหมายอันแน่วแน่ มีความหวังอันสูงสุดอยู่เปี่ยมใจ บวกกับความรื่นเริงบันเทิงใจที่พานพบในแต่ละวัน โลกของนางก็จะสดชื่นแจ่มใสราวกับสวนดอกไม้ ถึงกระนั้นโอซือก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครที่สามารถสลัดความเศร้าและความทุกข์ออกไปแล้วหันหาความสุขอยู่ได้อย่างเดียว

เฉพาะวันนี้โลกในแง่ดีของโอซือดูเหมือนจะกำลังจะแตกสลาย ใจสาวที่ครองความซื่อบริสุทธิ์ตลอดมาของนางกำลังร้าวรานเกือบจะแตกออกเป็นสองเสี่ยง

---อาเกมิกับมูซาชิ

ภาพชายหญิงที่แอบอิงชิดใกล้อย่างไม่ใส่ใจใยดีกับสายตาผู้คนบนสะพานโกโจ ที่เห็นแต่ไกลทำเอาสาวเจ้าถึงกับขาสั่นเทา ตาพร่าพรายราวกับจะเป็นลมล้มลงไปดีที่ยึดล้อเกวียนเอาไว้ได้ทัน และทรุดลงสิ้นแรงอยู่ตรงนั้น

ทำไม...เช้าวันนี้เราถึงต้องมาที่นี่ด้วย ทำไม...ทำไม

ความรู้สึกนั้นรุนแรงจนไม่อาจระงับได้ด้วยการเสียใจหรือน้ำตา แม้จะเพียงวูบเดียวแต่ก็นานพอให้นางคิดถึงความตาย นานพอที่จะให้นางเจ็บใจกับความโป้ปดมดเท็จของชาย ความรักและความแค้น ความโกรธและความรันทด แม้จนกระทั่งเกลียดตัวเอง แค่น้ำตาไม่เพียงพอที่จะสยบความสะเทือนใจของโอซือในครั้งนี้ เมื่อสวนดอกไม้ในใจสาวถูกแผดเผาจนแทบจะเป็นเถ้าถ่านอยู่แล้ว

ถึงกระนั้น

โอซือก็ไม่อาจแสดงตัวออกมาได้ตราบที่อาเกมิยังแอบอิงอยู่กับมูซาชิ

แม้เลือดจะกายตัวจะเดือดพล่านไปด้วยไฟริษยา แทบบ้าคลั่งจนอยากลุกขึ้นเต้นเร่า ๆ และร้องกรี๊ด แต่ยังดีที่สติสัมปชัญญะของความเป็นหญิงผู้มีปัญญาช่วยเหนี่ยวรั้งเอาไว้สุดฤทธิ์

อย่านะ โอซือ ผู้หญิงดี ๆ เขาไม่ทำกัน

ทำใจเย็นเข้าไว้ เย็น...เย็นนะโอซือ

แต่ครั้นเห็นอาเกมิผละจากไป โอซือก็สิ้นความมานะอดทน ตั้งท่าวิ่งเข้าใส่มูซาชิและต่อว่าต่อขานให้สาสมกับความขัดเคืองที่คุกรุ่นอยู่ในอก ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นด้วยคำใด

ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง...ก้าวพลาดแม้เพียงนิดเดียวชีวิตอาจเปลี่ยน

ก้าวเดียวที่พลาดอาจทำให้ชีวิตล้มเหลวไปเป็นสิบปี แต่ใครเล่าจะล่วงรู้และทันระวัง

ก็อย่างโอซือนี่ไง วูบเดียวที่มูซาชิลับไปจากสายตา แม่เฒ่าโอซูงิก็ปรากฏตัวขึ้นมาประจันหน้าอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวราวกับผุดขึ้นมาจากพื้นดิน

วันนี้เป็นวันปีใหม่แต่ทำไมถึงได้อัปมงคลเช่นนี้

สวนดอกไม้ของโอซือทำไมจึงมีแต่งูพิษชูคอขึ้นมาไม่หยุดหย่อน

โอซือวิ่งหนีแม่เฒ่าโอซูงิอย่างไม่คิดชีวิตเช่นเดียวกับในฝันร้ายที่เวียนมาหลอกหลอนนางไม่เว้นแต่ละวัน

แม่เฒ่าสารพัดพิษคือตัวการที่ทำให้ฝันของนางกลายเป็นฝันร้าย และขณะนี้เจ้าของใบหน้าเหี่ยวย่นราวนางปีศาจร้ายนั้นกำลังกวดตามมาในระยะกระชั้นชิดในความเป็นจริงที่เสมือนฝันร้าย

โอซือเหลียวหลังไปมองหลังวิ่งมาได้พักหนึ่งแล้วหัวใจก็แทบหยุดเต้นเมื่อเห็นแม่เฒ่าสารพัดพิษคว้าคอโจทาโรเอาไว้ได้ลากเข้าไปตบตีเป็นพัลวันอยู่ห่างออกไป

เจ้าหนุ่มโจทาโรไม่ยอมแพ้ พยายามดิ้นให้หลุดจากแม่เฒ่าขณะที่มือไขว่คว้าหาดาบ

โอซือยืนตะลึง ใจไม่ดีด้วยเกรงว่าโจทาโรอาจชักดาบไม้ที่เหน็บอยู่กับเอวออกมาได้ และแม่เฒ่าก็จะชักดาบสั้นคู่มือออกมารับมือ

โอซือรู้นิสัยอาฆาตมาดร้ายและฝีมือดาบของนายแม่ใหญ่แห่งตระกูลฮนอิเด็นคนนี้ดี ใครก็ตามที่ทำให้แม่เฒ่าโกรธก็อย่าคิดเลยว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างเป็นสุขเพราะนางจะตามจองล้างจองผลาญอย่างไม่สิ้นสุด อย่างที่โอซือกับมูซาชิกำลังเผชิญอยู่

เจ้าหนุ่มน้อยโจทาโรอาจถูกฟันทิ้งทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแค้นครั้งนี้ของแม่เฒ่า

ทำไงดีล่ะ

ตรงนั้นเป็นที่เปลี่ยวอยู่ในเขตชิจิโจซึ่งเป็นช่วงใกล้ปากแม่น้ำ มองขึ้นไปบนคันเขื่อนไม่เห็นใครสักคน

โอซือได้แต่พะวักพะวน ใจหนึ่งอยากเข้าไปช่วยโจทาโรแต่อีกใจหนึ่งก็หวาดกลัวไม่กล้าเข้าไปใกล้แม่เฒ่าสารพัดพิษ

2
“ยายบ้า ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ”

โจทาโรชักดาบไม้ออกมาได้แต่ก็ยังดิ้นไม่หลุดจากท่อนแขนของแม่เฒ่าที่รัดคอเอาไว้แน่น ได้แต่แกว่งดาบไปมาและพยายามถีบพื้นดินเพื่อยันตัวขึ้นยืนอยู่อย่างนั้น

“ไอ้เด็กน้อย เอ็งจะทำอะไร เล่นเป็นกบรึ”

แม่เฒ่าแสยะยิ้มเย้ยอย่างผู้ชนะเห็นฟันหน้ายาวเหมือนกระต่าย ก่อนลากคอเจ้าหนุ่มน้อยเดินดุ่มไปข้างหน้า

ช้าก่อน

แม่เฒ่าสารพัดพิษหยุดกึกเมื่อมองไปเห็นโอซือยืนตะลึงอยู่ สมองแสนกลแล่นปราดเห็นอุบายแยบยลตั้งแต่ต้นจนจบ

ไม่ได้แล้ว ถ้าจะพิชิตนางแพศยากับเจ้าเด็กน้อยจอมป่วนให้อยู่มือเราจะต้องปรับแผนใหม่ ขืนใช้กำลังคนชราวิ่งไล่ตามอย่างนี้เห็นทีจะไม่ได้การ คงต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ถ้าเป็นชายใจหยาบอย่างเจ้าทาเกโซอาจไม่ได้ผล แต่ผู้หญิงกับเด็กด้อยปัญญาอย่างสองคนนี่ แค่ตะล่อมด้วยคำหวานที่ปลายลิ้นไม่กี่คำเป็นต้องตกหลุมพลางข้าแน่ และจากนั้นก็จะได้เอามาเคี่ยวมาต้มเคี้ยวให้อร่อยได้ไม่ยาก

“โอซือ โอซือ”

แม่เฒ่ายกมือขึ้นร้องทักเหมือนไม่มีอะไรหมองใจต่อกัน

“โอซือ เจ้าหนีข้าทำไม พอเห็นหน้าข้าเท่านั้นก็วิ่งหนีราวกับข้าเป็นยักษ์เป็นมาร ตอนพบกันในร้านน้ำชามิกาสึกิที่ โอซากาก็ครั้งหนึ่งแล้วและยังวันนี้อีก ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าคิดยังไงถึงได้หนีข้า แต่ถ้าเข้าใจผิดคิดว่านางเฒ่าคนนี้เป็นมารร้ายที่คอยตามล้างตามผลาญเจ้าละก็คิดใหม่ได้เลยนะ ข้าไม่มีใจอาฆาตมาดร้ายเจ้าเลยจริง ๆ”

โอซืออ้าปากค้างเพราะไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินคำพูดนั้นจากปากแม่เฒ่า ส่วนโจทาโรที่ถูกหนีบอยู่กับท่อนแขนแข็งเกร็งของแม่เฒ่าตะโกนถาม

“จริงหรือ จริงหรือยาย”

“จริงสิ แม่คนนี้เข้าใจข้าผิด และหวาดกลัวราวกับว่ายายแก่คนนี้เป็นยักษ์เป็นมาร”

“งั้นปล่อยสิ ข้าจะไปเรียกโอซือมา ปล่อยเถอะ บอกให้ปล่อยไง”

“ไม่ปล่อย ข้ารู้ทันเจ้าหรอกน่า พอหลุดไปได้เอ็งก็จะเอาดาบไม้นั่นฟาดข้าแล้วหนีไปใช่ไหมล่ะ”

“ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาดถึงจะได้ทำอะไรอย่างนั้น และอีกอย่างจะต้องรบราฆ่าฟันกันไปทำไม ในเมื่อเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกัน”

“งั้นเจ้าไปบอกโอซือทีเถิดว่าข้าแม่เฒ่าโอซูงิไม่ใช่นายแม่ใหญ่ของตระกูลฮนอิเด็นคนเดิมแล้ว หลังจากอากงญาติสนิทที่เดินทางมาด้วยกันตายไป ข้าก็พกเถ้ากระดูกของอาติดตัวพเนจรต่อไปเดินบ้างพักบ้างตามแต่สังขารจะอำนวย ความโกรธแค้นที่เคยมีต่อโอซือในครั้งนั้นตอนนี้ข้าลืมหมดสิ้น ข้าไม่เอาเรื่องเจ้าทาเกโซมาเป็นอารมณ์อีกแล้วและยังคิดว่านางเป็นลูกสะใภ้ของตระกูล ข้าไม่ได้หวังว่าเราจะคืนดีกันได้เหมือนเดิม แต่ก็อยากให้โอซือมีเยื่อใยต่อกันบ้าง อย่างน้อยก็สงสารแม่เฒ่าผู้อ้างว้างโดดเดี่ยวคนนี้ ช่วยรับฟังความทุกข์ร้อนและเป็นคู่คิดให้กันในยามยากด้วยเถิด”

“ยายพูดยาวอย่างนี้ข้าจำได้ไม่หมดหรอกนะ”

“เอาเท่าที่จำได้ก็พอ”

“งั้นก็ปล่อยข้าได้แล้ว”

“บอกโอซือให้ได้มากที่สุดแล้วกัน”

“ตกลง”

โจทาโรวิ่งโลดไปที่โอซือทันทีที่หลุดออกมาได้ และถ่ายทอดคำพูดของแม่เฒ่าสารพัดพิษให้นางฟังแทบจะครบถ้วน โดยที่
เจ้าของคำพูดทำทีว่าไม่เห็นและเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนโขดหิน ตาที่ชำเลืองไปทางโอซือเป็นประกายแสนกลขึ้นมาแวบหนึ่ง ไวกว่าเงาฝูงปลาตัวเล็ก ๆ ที่ว่ายวนตามกันอยู่ในชายน้ำตื้น ๆ เสียอีก

จะมาไหม จะมาดี ๆ ไหมนางโอซือ

3

โอซือตริตรองด้วยความระแวดระวังอยู่หลายตลบไม่ยอมเข้าใกล้แม่เฒ่าโอซูงิง่าย ๆ จนในที่สุดก็ออกเดินมาอย่าง หวาด ๆ เพราะเห็นว่าอย่างน้อยก็มีโจทาโรเป็นที่พึ่ง

แม่เฒ่าสารพัดพิษคงจะกระหยิ่มอยู่ในใจเมื่อคิดว่าคราวนี้แหละถึงทีเราแล้ว จึงได้ยิ้มย่องหน้ายับย่นเห็นฟันยาวเหมือนกระต่ายและร้องทัก

“โอซือ”

“คุณป้าเจ้าขา”

โอซือตรงเข้ามาคุกเข่าจรดมือลงกับพื้นทำความเคารพแทบเท้าแม่เฒ่า

“หนูขอโทษ ยกโทษให้หนูนะเจ้าคะ เรื่องมันนานมาจนหนูไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้วเจ้าค่ะ”

“พูดอะไรอย่างนั้น”

แม่เฒ่าโอซูงิพูดด้วยเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนไม่ผิดอะไรกับที่โอซือเคยได้ยินครั้งที่ยังดีกันอยู่

“เจ้ามาตาฮาจิต่างหากที่ไม่ดี ลูกชายข้ายังแค้นเจ้าไม่หายที่ไปปันใจให้กับเจ้าทาเกโซ และข้าเองก็เคยคิดว่าเจ้าเป็นสะใภ้แพศยาและพลอยโกรธเกลียดอยู่เป็นนาน แต่ตอนนี้ข้าปล่อยให้เรื่องนี้ลอยไปกับกระแสน้ำจนไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจอีกแล้ว”

“คุณป้ายกโทษให้หนูแล้วใช่ไหม ไม่โกรธเกลียดที่หนูทำอะไรเอาแต่ใจตนเองแล้วใช่ไหม”

“...แต่”

แม่เฒ่าไม่ตอบในทันทีแต่เลื่อนตัวลงมานั่งพับขาข้าง ๆ โอซือที่นั่งเอานิ้วขุดพื้นทรายเย็น ๆ แก้เขินอยู่ น้ำอุ่น ๆ ของฤดูใบไม้ผลิเอ่อขึ้นมาจากรูที่ขุดลงไป

“ข้าเป็นแม่คงจะตอบได้ไม่เต็มปากละมัง เจ้าเองถึงยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของมาตาฮาจิ ข้าจึงอยากขอให้เจ้าพบกับลูกชายคนนี้ของข้าสักครั้งจะได้ไหม ข้าไม่ได้เห็นดีด้วยกับการที่เจ้ามาตาฮาจิทิ้งเจ้าไปหาหญิงอื่นตามอำเภอใจ และในเมื่อเรื่องมันก็ล่วงเลยมาจนป่านนี้แล้วข้าก็ไม่ได้หวังว่าเจ้าทั้งสองจะคืนดีกัน”

“เจ้าค่ะ”

“ว่ายังไงโอซือ เจ้าจะยอมพบกับมาตาฮาจิอีกสักครั้งหนึ่งได้ไหม หากเจ้ากับมาตาฮาจิมาอยู่ด้วยกันตรงหน้า ข้าก็จะได้พูดให้เจ้าลูกชายเข้าใจชัดเจนลงไปว่าอะไรควรอะไรไม่ควรตามหน้าที่ของคนที่เป็นแม่”

“เจ้าค่ะ...”

ลูกปูไต่ออกมาจากรูที่น้ำอุ่นใสเอ่อขึ้นมา แสงแดดฤดูใบไม้ผลิสาดส่องลงมาสะท้อนหยาดน้ำบนโขดหินส่งประกายวิบวับ โจทาโรตะครุบลูกปูได้ตัวหนึ่ง แอบย่องไปข้างหลังแม่เฒ่าแล้วปล่อยมันลงไปในมุ่นมวยผม

“แต่คุณป้าเจ้าคะ เรื่องมันก็นานมาแล้ว คิดว่าหนูไม่ควรพบกับมาตาฮาจิอีกเลยจะดีกว่า”

“ข้าไม่ได้คิดว่าจะให้เจอกันสองต่อสอง แต่ให้มาพบกันต่อหน้าข้าต่างหาก เพื่อจะได้ปรับความเข้าใจกันให้ชัดเจน ซึ่งจะเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิตของพวกเจ้าที่จะดำเนินต่อไป”

“แต่ว่าคุณป้าเจ้าคะ”

“ที่ข้าแนะนำให้อย่างนั้นก็เพื่ออนาคตของเจ้าทั้งสองที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่”

“หนูเข้าใจคุณป้า แต่คงทำอะไรไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้มาตาฮาจิอยู่ที่ไหน หรือว่าคุณป้ารู้เจ้าคะ”

“ถ้าอยากรู้ก็น่าจะรู้ได้ไม่ยาก เพราะไม่นานนี้เองข้ายังพบเจ้าลูกชายที่โอซากา แต่พอเห็นข้าเข้าเจ้ามาตาฮาจิก็หลบหน้าเช่นเคยปล่อยให้ข้าเคว้งอยู่ที่ซูมิโยชิ แต่ข้าก็รู้ว่าทุกครั้งที่ทำอย่างนี้เจ้าลูกชายจะต้องนึกเสียใจในภายหลังและตามหาแม่ของมัน จึงคิดว่าตอนนี้มาตาฮาจิน่าจะอยู่แถว ๆ เกียวโตนี่แหละ

คำหว่านล้อมของแม่เฒ่าทำให้โอซือรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีที่คิดว่าอาจต้องเผชิญหน้ากับมาตาฮาจิไม่ช้าก็เร็ว แต่ตรองดูแล้วคำพูดผู้มีอาวุโสก็สมเหตุสมผล ทั้งยังน่าเห็นใจกับการเป็นแม่ที่มีลูกชายเหลือขออีกด้วย

“คุณป้าเจ้าคะ หนูจะช่วยตามหามาตาฮาจิอีกแรงหนึ่ง”

“จริงรึโอซือ”

“จริงเจ้าค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามข้ามาที่โรงเตี้ยมก่อนแล้วกัน เฮ้ย...นี่อะไร”

แม่เฒ่าผลุดลุกขึ้นยืน พร้อมกับเอื้อมมือขึ้นไปตะครุบลูกปูที่ต่ายเดี่ยะลงมาขยุกขยิกอยู่ที่คอเสื้อด้านหลัง

4
“อะไรกันเนี่ย อี้...”

โจทาโรที่นั่งแอบอยู่ข้างหลังโอซือกลั้นหัวเราะแทบแย่ เมื่อเห็นแม่เฒ่าตัวสั่นด้วยความขยะแขยงก่อนเควี้ยงลูกปูที่ตะครุบมาจากคอเสื้อกระเด็นไปทางหนึ่ง

แม่เฒ่ามองมาทำตาขวาง

“เอ็งแกล้งข้าใช่ไหม ไอ้เด็กบ้า”

“เปล่านะ ข้าไม่ได้ทำ”

เจ้าหนุ่มน้อยเผ่นหนีขึ้นไปบนคันเขื่อนแล้วตะโกนลงมา

“โอซือ จะไปที่โรงเตี๊ยมของแม่เฒ่าเหรอ”

“ใช่”

แม่เฒ่าชิงตอบก่อนที่โอซือจะทันเปิดปาก

“โรงเตี๊ยมของข้าอยู่ที่เชิงเนินซันเน็นซากะใกล้ ๆ นี้เอง มาเกียวโตทีไรข้าก็พักที่นี่แหละ เอ็งมาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะ ไม่ต้องมายุ่งกับเราอีก”

“อ๋อ ได้ ข้าจะกลับไปคอยอยู่ที่บ้านคาราซูมารู โอซือเสร็จธุระเมื่อไหร่ก็กลับมาแล้วกัน”

ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะวิ่งกลับไป

โอซือใจเสียรีบเรียกเอาไว้ปากคอสั่นแล้ววิ่งตามขึ้นไปบนคันเขื่อน

“เดี๋ยวก่อน โจทาโรอย่าเพิ่งไป”

แม่เฒ่าสารพัดพิษเห็นดังนั้นก็หวั่นใจเกรงว่าโอซือซึ่งเกือบจะติดกับตนอยู่แล้วเกิดไหวตัวและหนีไป จึงขโยกเขยกปีนคันเขื่อนตามไปติด ๆ

โอซือกับโจทาโรหารือกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่แม่เฒ่าจะตามมาถึง

“โจทาโร เข้าคงได้ยินหมดแล้วนะ ตกลงข้าจะตามแม่เฒ่าไปที่โรงเตี๊ยมและจะหาโอกาสกลับไปที่บ้านคาราซูมารูเป็นครั้งคราว เจ้าช่วยแจ้งคนที่บ้านนั้นด้วย ส่วนเจ้าก็ฝากเนื้อฝากตัวอยู่กับบ้านนั้นไปชั่วระยะหนึ่งก่อน จนกว่าข้าจะจัดการธุระทางนี้เสร็จ เข้าใจนะ”

“ตกลง นานเท่าไรก็จะคอย”

“และระหว่างนั้นฉันจะเที่ยวสืบหาด้วยว่าท่านมูซาชิอยู่ที่ไหน เจ้าช่วยสืบหาอีกแรงหนึ่งด้วยจะได้ไหม”

“ไม่ดีกว่า เจอตัวแล้วไม่ออกไปพบ เอาแต่ซ่อนอยู่หลังล้อเกวียนแบบนั้น ช่วยไปก็เสียแรงเปล่า ข้าไม่เอาด้วยแล้ว”
“จริง ทำไมข้าถึงบ้าบออย่างนั้นก็ไม่รู้”

แม่เฒ่าโอซูงิตามขึ้นมาทันพอดี โอซือจึงรีบหุบปากเพราะไม่อยากให้เรื่องราวของของมูซาชิแพร่งพรายไปเข้าหูแม่เฒ่าที่นางยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งคนนี้

แม้จะเดินเคียงกันไปด้วยท่าทางสนิทสนม แต่ดวงตาหรี่เล็กมีประกายราวเข็มแหลมของแม่เฒ่าไหวตามอากัปกิริยาทุกช่วงตอนของโอซือด้วยความระวังระไว แม้ว่าแม่เฒ่าจะไม่อยู่ในฐานะแม่ผัวที่ต้องยำเกรงแต่โอซือก็ยังบีบเนื้อบีบตัวจนอึดอัดไปหมด ขณะเดินตามไปโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังเดินเข้าสู่กับดักของแม่เฒ่าเจ้าเล่ห์ที่รออยู่ข้างหน้า

แม่เฒ่ากับเหยื่อไร้เดียงสาเดินกลับมาที่เชิงสะพานโกโจอีกครั้ง ยิ่งสายผู้คนก็ยิ่งผ่านไปมาคับคั่ง ชายหญิงอยู่ในชุดกิโมโนปีใหม่สีขรึมและสีสดในตัดกันละลานตา แสงแดดแจ่มใสสาดส่องเหนือยอดต้นหลิวและต้นบ๊วย

“มูซาชินี่ใครกันนะ ท่านรู้จักไหม”

“มูซาชิ...นักดาบชื่อนี้มีด้วยเหรอ”

“ไม่เคยได้ยินนะ”

“แต่คิดว่าต้องมีฝีมือทีเดียวถึงได้กล้ามาประลองวิทยายุทธ์กับสำนักดาบโยชิโอกะอย่างนี้”

ผู้คนเดินผ่านมาหยุดยืนวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นกลุ่ม ๆ ที่หน้าป้ายประกาศการประลองยุทธ์

โอซือหยุดกึกและมองไปที่ป้าย แม่เฒ่ากับโจทาโรหยุดตาม

เสียงผู้คนกระซิบถามบ้างซุบซิบแลกเปลี่ยนข่าวลือเรื่องมูซาชิกันบ้างไม่ขาดสาย

เพราะพอกลุ่มหนึ่งแยกย้ายกันไปอีกกลุ่มก็เข้ามามุงแทน


กำลังโหลดความคิดเห็น