นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
สมัยเด็ก มูจิไซผู้พ่อเคยออกปากว่า หน้าตาของเจ้าไม่เหมือนข้า ที่สำคัญคือตาของข้าดำสนิท แต่ของเจ้าค่อนไปทาง สีน้ำตาลคล้ายกับท่านฮิราตะ โชเก็นซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของปู่เจ้า และเจ้าก็คงเกิดมามีตาสีน้ำตาลเหมือนปู่นั่นเอง
และคงเป็นเพราะแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ดวงตาทั้งคู่ของมูซาชิจึงเปล่งประกายกล้าและเฉียบคมราวอำพันที่ไร้ตำหนิ
ชายคนนี้นี่เอง
ซาซากิ โคจิโร มองมาที่ชายชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ ที่ยินแต่ชื่อมานาน
ใครกันนั่น
มูซาชิขยับตัวตั้งท่าระแวดระวัง
สายตาที่มองมาและสายตาที่มองไปสบกันในห้วงระหว่างราวสะพานกับต้นหลิวเก่าแก่ชายฝั่งแม่น้ำ ต่างหยั่งความเป็นมนุษย์ของกันและกันว่าจะลึกล้ำเพียงใด ราวกับกำลังกำหนดลมหายใจตั้งสมาธิวัดอิทธิฤทธิเชิงดาบของอีกฝ่ายขณะจดจ้องปลายดาบในการประลองยุทธ์
ยิ่งกว่านั้น ทั้งมูซาชิและโคจิโรต่างมีข้อปุจฉาอยู่ในใจ
ทางด้านโคจิโร...
อาเกมิที่เราช่วยให้พ้นคมเขี้ยวหมาล่าเหยื่อที่โบสถ์อมิตพุทธและพาเดินทางมาด้วย เป็นอะไรกันกับมูซาชิจึงได้พูดจาพาทีสนิทชิดเชื้ออย่างนั้น
และเป็นธรรมดาที่จะต้องขัดเคืองไม่สบอารมณ์
เห็นลือกันนักกันหนาว่าเป็นนักดาบผู้เลิศเลอ ที่แท้ก็เสือผู้หญิงดี ๆ นี่เอง นางอาเกมิก็อีกคน เผลอนิดเดียวก็หายตัวไป ดีที่หาพบและสะกดรอยตามมา ถึงได้รู้ว่าหนีข้ามาออดอ้อน พิรี้พิไรซบอกเจ้านักดาบคนนี้นี่เอง
ยิ่งคิดก็ยิ่งบรรดาลโทสะจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว
สายตาคมวาวราวนกเหยี่ยวของมูซาชิ จับความขัดเคืองประกอบกับความทะนงตนและความรู้สึกเป็นอริที่จะพลุ่งขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณทุกครั้งที่นักดาบฝึกหัดพบหน้ากัน ที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งทางดวงตาทั้งคู่ของอีกฝ่ายได้ชัด
นายคนนั้นคือใครกันแน่
มูซาชิขมวดคิ้ว
ท่าทางมีฝีมือใช้ได้ทีเดียว
นักดาบหนุ่มประเมินฝีมืออีกฝ่าย
แต่ทำไมทำตาขวางราวกับเป็นคู่อาฆาตกันมานานอย่างนั้น เห็นทีจะประมาทไม่ได้
ความตึงเครียดระหว่างชายทั้งสองไม่ได้เกิดจากมองลึกลงไปในหัวใจของกันและกัน ไม่ใช่การจ้องตากันธรรมดา ดวงตาของคนทั้งสองจึงเป็นประกายวาววับราวกับจะประทุออกมาเป็นลูกไฟ
มูซาชิกับโคจิโรเป็นหนุ่มรุ่นคะนองอายุใกล้เคียงกันอาจอ่อนแก่กว่ากันบ้างแต่ไม่น่าเกินปีสองปี อยู่ในวัยผยองด้วยความมั่นใจในตัวเองเต็มที่ คิดว่าตนมีความรอบรู้ไปทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยายุทธ์ ชีวิตในสังคม และการเมือง
การเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกของมูซาชิกับโคจิโรแม้ในระยะไม่กระชั้นชิด แต่กระแสจิตที่พุ่งเข้าใส่กันรุนแรงทำให้แต่ละฝ่ายตื่นตัวตึงเครียด ขนลุกชันขึ้นทั้งตัวราวกับสัตว์ปาที่พองขนและคำรามใส่กันพร้อมเผด็จศึก
อยู่ ๆ โคจิโรก็ถอนสายตาออกจากการจับจ้องพร้อมกับครางเบา ๆ ในลำคอ
มูซาชิมองตามใบหน้าที่หันหลบไปด้วยความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ชนะและลำพองอยู่ในใจ
“อาเกมิ”
มูซาชิเอื้อมมือไปตบหลังสาวน้อยที่ยังร้องไห้กระซิก ๆ อยู่กับราวสะพานเบา ๆ
“นายคนนั้นคือใคร เจ้ารู้จักใช่ไหม ท่าทางเป็นนักดาบฝึกหัด ใครกัน”
“... ... ...”
อาเกมิเพิ่งจะเห็นโคจิโรก็เมื่อมูซาชิชี้ถาม ใบหน้าแดงเรื่อด้วยฤทธิ์ร้องไห้มีแววลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“อ๋อ คนนั้นน่ะหรือ”
“ใช่คนนั้นแหละ”
“คือ...เอ่อ...”
สาวน้อยอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น
2
“ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นหลิว สะพายดาบยาวคาดหลังดูสง่างาม แต่งตัวหรูหรานำสมัยท่าทางองอาจลำพองฝีมือดาบอยู่ไม่น้อย อาเกมิรู้จักชายคนนั้นได้ยังไง เป็นอะไรกันรึ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้จักกัน ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร”
“แต่ก็รู้จักกันใช่ไหมล่ะ”
“ใช่”
อาเกมิรีบตอบด้วยเกรงว่ามูซาชิจะเข้าใจผิด
“เมื่อวันก่อน ตอนอยู่ที่โบสถ์วัดอมิตพุทธที่หุบเขาโคมัตสึ ข้าถูกหมาล่าเหยื่อมาจากไหนไม่รู้กัดแขนเลือดไหลไม่หยุด พอดีชายคนนี้มาพบเข้าจึงช่วยข้าไว้ พาไปที่โรงเตี๊ยมที่พักและเรียกหมอมาทำแผลให้ เขาดูแลข้าอยู่สามสี่วัน”
“อยู่ด้วยกันตลอดเลยรึ”
“ก็อยู่ด้วยกันแต่ไม่มีอะไรหรอกนะ”
อาเกมิเน้นเสียงหนัก
ความจริงมูซาชิไม่ได้ถามด้วยความเคลือบแคลงอะไรทั้งนั้น เพียงแต่อาเกมิคิดไปเองว่าเจ้าหนุ่มถามด้วยความระแวง
“จริงรึ คิดว่าเจ้าคงไม่รู้จักชายคนนั้นลึกซึ้งนัก แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้ว่าชื่ออะไร”
“รู้สิ ได้ยินเขาเรียกกันว่ากันริว และชื่อจริงคือซาซากิ โคจิโร”
“กันริวรึ”
มูซาชิเคยได้ยินชื่อนี้เพราะแม้จะไม่ได้เป็นนักดาบมีชื่อแต่ก็พอจะเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักดาบทั่วแว่นแคว้น แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อน จากเรื่องราวที่ได้ยินมาเจ้าหนุ่มคิดว่านักดาบที่ชื่อซาซากิ โคจิโร หรือกันริวผู้นี้เป็นคนมีอายุ แต่เมื่อได้พบเป็นครั้งแรกในวันนี้จึงรู้สึกว่าผิดคาดเอามาก ๆ
นี่น่ะหรือ คนที่เขาเล่าลือกัน
โคจิโรหันหน้าที่เบือนไปกลับมาทางมูซาชิอีกครั้ง พอดีกับที่มูซาชิก้มลงกระซิบถามอาเกมิจนดูแนบชิด ภาพนั้นทำให้ โคจิโรยิ้มจนเห็นลักยิ้มบุ๋มสองข้าง
มูซาชิยิ้มตอบ
แต่การสื่อกันด้วยยิ้มระหว่างสองหนุ่มนักดาบไม่ใช่สัญญาณของไมตรีจิตและสันติภาพ เฉกเช่นยิ้มของพระพุทธเจ้าที่ประทานแก่พระอานนท์ผู้ถือดอกไม้มาสักการะ เพราะยิ้มของโคจิโรแฝงความเย้ยหยันซับซ้อนและท้าทาย ส่วนยิ้มของ มูซาชิเป็นยิ้มตอบคำท้าและแฝงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะสู้
อาเกมิไม่รู้ตัวว่าตนถูกบีบอยู่ตรงกลางระหว่างพลังร้อนแรงนักดาบหนุ่ม ทำท่าจะอ้อนชายในดวงใจของนางต่อไปอีก แต่ถูกมูซาชิขัดเอาไว้ก่อน
“อาเกมิ ข้าว่าเจ้ากลับไปที่พักของนายคนนั้นก่อนดีกว่า แล้วค่อยนัดพบกันใหม่ในเร็ววัน”
“แน่นะ ท่านต้องมาหาข้านะ”
“ไปสิ”
“จำชื่อโรงเตี๊ยมเอาไว้ให้ดีนะ ข้าอยู่ที่ซูซูยะ หน้าวัดที่ถนนโรกูโจ”
“อืม จำได้แล้ว”
มูซาชิพยักหน้ารับไปตามเพลง แต่อาเกมิไม่พอใจแค่นั้น นางฉวยมือมูซาชิที่เกาะราวสะพานอยู่มากุมไว้ ดึงสอดเข้าไปในอกเสื้อแล้วกอดเอาไว้แนบแน่น ดวงตาวาวด้วยความพิศวาส
“มาแน่นะ ต้องมานะ”
ยังไม่ทันที่มูซาชิจะตอบว่ากระไร โคจิโรที่ยืนมองอยู่ไกลออกไปทางด้านโน้นก็หัวเราะลั่นจนตัวงอ
“วะ ฮะ ฮะ ฮะ โอ๊ย วะ ฮะ ฮะ ฮะ”
ก่อนหันหลังเดินหายไปในเงาแมกไม้
โจทาโรนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงคนหัวเราะเหมือนเสียสติ และมองไปที่เจ้าของเสียงหัวเราะอย่างตำหนิที่ไม่รู้จักวางท่าให้สมกับที่เป็นนักดาบที่ควรแก่การยำเกรง
แต่จะว่าไปมูซาชิผู้เป็นครูของตนดูเหมือนจะย่ำแย่กว่าที่มายืนแอบอิงกับสาวน้อยตั้งแต่เช้าโดยไม่อับอายผู้คนที่ผ่านไปมา คิดแล้วก็เคืองโอซือที่ป่านนี้แล้วยังไม่มาสักที เคืองแล้วก็เปลี่ยนเป็นห่วง
“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
โจทาโรคิดดังนั้นจึงรีบออกเดินไปทางตัวเมือง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นหน้าขาว ๆ ของโอซือแวบ ๆ อยู่ตรงซี่ล้อเกวียนเทียมวัวที่จอดอยู่ตรงสี่แยกใกล้ ๆ นั้น
3
“อยู่นี่เอง”
หนุ่มน้อยร้องด้วยความยินดีเหมือนเล่นซ่อนหาแล้วหาตัวเพื่อนพบ และปราดเข้าไปหาทันที
โอซือนั่งกุมอกซุกตัวแอบอยู่ข้างล้อเกวียนเทียมวัวคันนั้น
เช้านี้นับว่าแปลกที่โอซือเกล้าผมและทาปากสดใสแม้จะแต่งหน้าไม่เก่งแต่ก็งดงามพอที่จะให้หนุ่ม ๆ มองเหลียวหลังและบางคนเดินตาม กิโมโนที่คุณนายบ้านคาราซูมารุให้มาด้วยความเอ็นดู ปักลวดลายดอกไม้สีขาวสลับใบเขียวกระจายเต็มตัวสมฤดูกาลขึ้นปีใหม่
โจทาโรกระโจนเฉี่ยวจมูกวัวเทียมเกวียนเข้าไปหาทันทีที่เห็นชายเสื้อสีขาวแวบผ่านซี่ล้อเกวียน
“โอซือ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ โอซือ เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าหนุ่มโผเข้ากอดโอซือจากข้างหลังโดยไม่หวั่นว่าจะทำให้ผมยุ่งหรือเครื่องสำอางจะเปื้อนเลอะ
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ข้ารอแล้วรออีก จนทนไม่ไหวต้องออกเที่ยวเดินหา มานี่เถิด เร็วเข้า”
“เร็วเข้าสิ โอซือ เร็วเข้า ขืนร่ำไรอยู่จะไม่ทันการ”
เจ้าหนุ่มเร่งอย่างเอาเป็นเอาตายพลางจับบ่าเขย่าเร่า ๆ
“ท่านมูซาชิมาอยู่ตรงนั้นแล้ว เห็นใช่ไหม นั่นไง มองจากตรงนี้ก็เห็น ข้าไม่อยากเข้าไปคนเดียว มาเถอะโอซือ ไปด้วยกัน ข้าทนไม่ไหวแล้ว”
คราวนี้ โจทาโรถึงกับฉุดมือดึงแรง ๆ จนข้อมือแทบหลุด แต่พอสัมผัสกับมือเปียกและเห็นหญิงสาวยังก้มหน้างุดอยู่ก็เอะใจ
“อะไรกันล่ะนั่น โอซือร้องไห้ทำไม”
“โจทาโร”
“อะไรรึ”
“เข้ามาแอบด้วยกันตรงนี้เถิด อย่าให้ท่านมูซาชิเห็นเราเลยดีกว่า เข้ามาเถอะนะ”
“ทำไมต้องแอบด้วย”
“ไม่ต้องถามหรอก มานี่เถิด”
“ไม่ได้ความ”
เจ้าหนุ่มทำหน้างอเมื่อถูกขัดใจ
“พวกผู้หญิงก็เป็นเสียอย่างนี้ ข้าถึงได้รำคาญนัก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ให้ตายสิ เมื่อวันก่อนยังพร่ำไม่ขาดปากว่าคิดถึงท่านมูซาชิย่างนั้นอย่างดี อยากพบเจอใจจะขาดเสียให้ได้ ถึงขนาดร้องห่มร้องไห้เที่ยวตามหา แต่พอมาวันนี้กลับมาซุกตัวซ่อนอยู่หลังล้อเกวียนเทียมวัว แล้วยังจะลากข้าเข้าไปซ่อนด้วย ฮะ ฮะ เฮ้ออยากหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก”
คำพูดเสียดสีของเจ้าหนุ่มน้อยกระทบใจโอซือราวกับถูกฟาดด้วยแซ่ นางช้อนตาแดงก่ำเพราะร้องไห้หนักขึ้นชะอ้อนเจ้าหนุ่มน้อย
“โจทาโร โจทาโร อย่าพูดอย่างนั้นได้ไหม ขอทีเถอะ ใจข้าถูกย่ำยีหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เจ้าอย่าพลอยซ้ำเติมข้าให้เจ็บไปกว่านี้ได้ไหม”
“อะไรกัน ข้าซ้ำเติมโอซือตรงไหน อย่ามาทำเป็นตู่”
“เอาเถิด ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ เข้ามาซ่อนตัวนิ่ง ๆ กับข้าตรงนี้ เร็วสิ”
“ไม่เอา ตรงนั้นมีขี้วัวเห็นรึเปล่า แล้วก็หยุดร้องไห้เสียที โบราณว่าใครร้องไห้ตั้งแต่วันปีใหม่จะถูกอีกาหัวเราะเยาะ จะเอาอย่างนั้นรึ”
“ช่างเถอะ จะยังไงก็ช่าง ข้า ข้าไม่ไหวแล้ว”
“หัวเราะกันดีกว่า หัวเราะให้ลั่นทุ่งเหมือนเจ้าหนุ่มที่โคนต้นหลิวเมื่อกี้ ข้าจะตบมือให้กับหัวเราะแรกของปี หัวเราะสิโอซือ หัวเราะเลย”
“เลิกตลกได้แล้ว”
“อืม ข้าก็หัวเราะไม่ออกเหมือนกัน”
โจทาโรสูดจมูกทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ตามไปอีกคน
“โอซือ ข้ารู้แล้ว ที่โอซือเป็นอย่างนี้ก็เพราะหึงที่ท่านมูซาชิอี๋อ๋อกับผู้หญิงคนอื่นใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ใช่สิ ต้องใช่ ขนาดข้าเองยังเจ็บใจเลย โอซือต้องออกไปเจอท่านมูซาชิสิ มาแอบซ่อนอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ทำไมเป็นคนเข้าใจอะไรยากอย่างนี้นะ โอซือ”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
สมัยเด็ก มูจิไซผู้พ่อเคยออกปากว่า หน้าตาของเจ้าไม่เหมือนข้า ที่สำคัญคือตาของข้าดำสนิท แต่ของเจ้าค่อนไปทาง สีน้ำตาลคล้ายกับท่านฮิราตะ โชเก็นซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของปู่เจ้า และเจ้าก็คงเกิดมามีตาสีน้ำตาลเหมือนปู่นั่นเอง
และคงเป็นเพราะแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ดวงตาทั้งคู่ของมูซาชิจึงเปล่งประกายกล้าและเฉียบคมราวอำพันที่ไร้ตำหนิ
ชายคนนี้นี่เอง
ซาซากิ โคจิโร มองมาที่ชายชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิ ที่ยินแต่ชื่อมานาน
ใครกันนั่น
มูซาชิขยับตัวตั้งท่าระแวดระวัง
สายตาที่มองมาและสายตาที่มองไปสบกันในห้วงระหว่างราวสะพานกับต้นหลิวเก่าแก่ชายฝั่งแม่น้ำ ต่างหยั่งความเป็นมนุษย์ของกันและกันว่าจะลึกล้ำเพียงใด ราวกับกำลังกำหนดลมหายใจตั้งสมาธิวัดอิทธิฤทธิเชิงดาบของอีกฝ่ายขณะจดจ้องปลายดาบในการประลองยุทธ์
ยิ่งกว่านั้น ทั้งมูซาชิและโคจิโรต่างมีข้อปุจฉาอยู่ในใจ
ทางด้านโคจิโร...
อาเกมิที่เราช่วยให้พ้นคมเขี้ยวหมาล่าเหยื่อที่โบสถ์อมิตพุทธและพาเดินทางมาด้วย เป็นอะไรกันกับมูซาชิจึงได้พูดจาพาทีสนิทชิดเชื้ออย่างนั้น
และเป็นธรรมดาที่จะต้องขัดเคืองไม่สบอารมณ์
เห็นลือกันนักกันหนาว่าเป็นนักดาบผู้เลิศเลอ ที่แท้ก็เสือผู้หญิงดี ๆ นี่เอง นางอาเกมิก็อีกคน เผลอนิดเดียวก็หายตัวไป ดีที่หาพบและสะกดรอยตามมา ถึงได้รู้ว่าหนีข้ามาออดอ้อน พิรี้พิไรซบอกเจ้านักดาบคนนี้นี่เอง
ยิ่งคิดก็ยิ่งบรรดาลโทสะจนร้อนรุ่มไปทั้งตัว
สายตาคมวาวราวนกเหยี่ยวของมูซาชิ จับความขัดเคืองประกอบกับความทะนงตนและความรู้สึกเป็นอริที่จะพลุ่งขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณทุกครั้งที่นักดาบฝึกหัดพบหน้ากัน ที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งทางดวงตาทั้งคู่ของอีกฝ่ายได้ชัด
นายคนนั้นคือใครกันแน่
มูซาชิขมวดคิ้ว
ท่าทางมีฝีมือใช้ได้ทีเดียว
นักดาบหนุ่มประเมินฝีมืออีกฝ่าย
แต่ทำไมทำตาขวางราวกับเป็นคู่อาฆาตกันมานานอย่างนั้น เห็นทีจะประมาทไม่ได้
ความตึงเครียดระหว่างชายทั้งสองไม่ได้เกิดจากมองลึกลงไปในหัวใจของกันและกัน ไม่ใช่การจ้องตากันธรรมดา ดวงตาของคนทั้งสองจึงเป็นประกายวาววับราวกับจะประทุออกมาเป็นลูกไฟ
มูซาชิกับโคจิโรเป็นหนุ่มรุ่นคะนองอายุใกล้เคียงกันอาจอ่อนแก่กว่ากันบ้างแต่ไม่น่าเกินปีสองปี อยู่ในวัยผยองด้วยความมั่นใจในตัวเองเต็มที่ คิดว่าตนมีความรอบรู้ไปทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยายุทธ์ ชีวิตในสังคม และการเมือง
การเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกของมูซาชิกับโคจิโรแม้ในระยะไม่กระชั้นชิด แต่กระแสจิตที่พุ่งเข้าใส่กันรุนแรงทำให้แต่ละฝ่ายตื่นตัวตึงเครียด ขนลุกชันขึ้นทั้งตัวราวกับสัตว์ปาที่พองขนและคำรามใส่กันพร้อมเผด็จศึก
อยู่ ๆ โคจิโรก็ถอนสายตาออกจากการจับจ้องพร้อมกับครางเบา ๆ ในลำคอ
มูซาชิมองตามใบหน้าที่หันหลบไปด้วยความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ชนะและลำพองอยู่ในใจ
“อาเกมิ”
มูซาชิเอื้อมมือไปตบหลังสาวน้อยที่ยังร้องไห้กระซิก ๆ อยู่กับราวสะพานเบา ๆ
“นายคนนั้นคือใคร เจ้ารู้จักใช่ไหม ท่าทางเป็นนักดาบฝึกหัด ใครกัน”
“... ... ...”
อาเกมิเพิ่งจะเห็นโคจิโรก็เมื่อมูซาชิชี้ถาม ใบหน้าแดงเรื่อด้วยฤทธิ์ร้องไห้มีแววลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“อ๋อ คนนั้นน่ะหรือ”
“ใช่คนนั้นแหละ”
“คือ...เอ่อ...”
สาวน้อยอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น
2
“ผู้ชายคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นหลิว สะพายดาบยาวคาดหลังดูสง่างาม แต่งตัวหรูหรานำสมัยท่าทางองอาจลำพองฝีมือดาบอยู่ไม่น้อย อาเกมิรู้จักชายคนนั้นได้ยังไง เป็นอะไรกันรึ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้จักกัน ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร”
“แต่ก็รู้จักกันใช่ไหมล่ะ”
“ใช่”
อาเกมิรีบตอบด้วยเกรงว่ามูซาชิจะเข้าใจผิด
“เมื่อวันก่อน ตอนอยู่ที่โบสถ์วัดอมิตพุทธที่หุบเขาโคมัตสึ ข้าถูกหมาล่าเหยื่อมาจากไหนไม่รู้กัดแขนเลือดไหลไม่หยุด พอดีชายคนนี้มาพบเข้าจึงช่วยข้าไว้ พาไปที่โรงเตี๊ยมที่พักและเรียกหมอมาทำแผลให้ เขาดูแลข้าอยู่สามสี่วัน”
“อยู่ด้วยกันตลอดเลยรึ”
“ก็อยู่ด้วยกันแต่ไม่มีอะไรหรอกนะ”
อาเกมิเน้นเสียงหนัก
ความจริงมูซาชิไม่ได้ถามด้วยความเคลือบแคลงอะไรทั้งนั้น เพียงแต่อาเกมิคิดไปเองว่าเจ้าหนุ่มถามด้วยความระแวง
“จริงรึ คิดว่าเจ้าคงไม่รู้จักชายคนนั้นลึกซึ้งนัก แต่อย่างน้อยก็น่าจะรู้ว่าชื่ออะไร”
“รู้สิ ได้ยินเขาเรียกกันว่ากันริว และชื่อจริงคือซาซากิ โคจิโร”
“กันริวรึ”
มูซาชิเคยได้ยินชื่อนี้เพราะแม้จะไม่ได้เป็นนักดาบมีชื่อแต่ก็พอจะเป็นที่รู้จักกันในหมู่นักดาบทั่วแว่นแคว้น แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อน จากเรื่องราวที่ได้ยินมาเจ้าหนุ่มคิดว่านักดาบที่ชื่อซาซากิ โคจิโร หรือกันริวผู้นี้เป็นคนมีอายุ แต่เมื่อได้พบเป็นครั้งแรกในวันนี้จึงรู้สึกว่าผิดคาดเอามาก ๆ
นี่น่ะหรือ คนที่เขาเล่าลือกัน
โคจิโรหันหน้าที่เบือนไปกลับมาทางมูซาชิอีกครั้ง พอดีกับที่มูซาชิก้มลงกระซิบถามอาเกมิจนดูแนบชิด ภาพนั้นทำให้ โคจิโรยิ้มจนเห็นลักยิ้มบุ๋มสองข้าง
มูซาชิยิ้มตอบ
แต่การสื่อกันด้วยยิ้มระหว่างสองหนุ่มนักดาบไม่ใช่สัญญาณของไมตรีจิตและสันติภาพ เฉกเช่นยิ้มของพระพุทธเจ้าที่ประทานแก่พระอานนท์ผู้ถือดอกไม้มาสักการะ เพราะยิ้มของโคจิโรแฝงความเย้ยหยันซับซ้อนและท้าทาย ส่วนยิ้มของ มูซาชิเป็นยิ้มตอบคำท้าและแฝงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะสู้
อาเกมิไม่รู้ตัวว่าตนถูกบีบอยู่ตรงกลางระหว่างพลังร้อนแรงนักดาบหนุ่ม ทำท่าจะอ้อนชายในดวงใจของนางต่อไปอีก แต่ถูกมูซาชิขัดเอาไว้ก่อน
“อาเกมิ ข้าว่าเจ้ากลับไปที่พักของนายคนนั้นก่อนดีกว่า แล้วค่อยนัดพบกันใหม่ในเร็ววัน”
“แน่นะ ท่านต้องมาหาข้านะ”
“ไปสิ”
“จำชื่อโรงเตี๊ยมเอาไว้ให้ดีนะ ข้าอยู่ที่ซูซูยะ หน้าวัดที่ถนนโรกูโจ”
“อืม จำได้แล้ว”
มูซาชิพยักหน้ารับไปตามเพลง แต่อาเกมิไม่พอใจแค่นั้น นางฉวยมือมูซาชิที่เกาะราวสะพานอยู่มากุมไว้ ดึงสอดเข้าไปในอกเสื้อแล้วกอดเอาไว้แนบแน่น ดวงตาวาวด้วยความพิศวาส
“มาแน่นะ ต้องมานะ”
ยังไม่ทันที่มูซาชิจะตอบว่ากระไร โคจิโรที่ยืนมองอยู่ไกลออกไปทางด้านโน้นก็หัวเราะลั่นจนตัวงอ
“วะ ฮะ ฮะ ฮะ โอ๊ย วะ ฮะ ฮะ ฮะ”
ก่อนหันหลังเดินหายไปในเงาแมกไม้
โจทาโรนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเสียงคนหัวเราะเหมือนเสียสติ และมองไปที่เจ้าของเสียงหัวเราะอย่างตำหนิที่ไม่รู้จักวางท่าให้สมกับที่เป็นนักดาบที่ควรแก่การยำเกรง
แต่จะว่าไปมูซาชิผู้เป็นครูของตนดูเหมือนจะย่ำแย่กว่าที่มายืนแอบอิงกับสาวน้อยตั้งแต่เช้าโดยไม่อับอายผู้คนที่ผ่านไปมา คิดแล้วก็เคืองโอซือที่ป่านนี้แล้วยังไม่มาสักที เคืองแล้วก็เปลี่ยนเป็นห่วง
“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
โจทาโรคิดดังนั้นจึงรีบออกเดินไปทางตัวเมือง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นหน้าขาว ๆ ของโอซือแวบ ๆ อยู่ตรงซี่ล้อเกวียนเทียมวัวที่จอดอยู่ตรงสี่แยกใกล้ ๆ นั้น
3
“อยู่นี่เอง”
หนุ่มน้อยร้องด้วยความยินดีเหมือนเล่นซ่อนหาแล้วหาตัวเพื่อนพบ และปราดเข้าไปหาทันที
โอซือนั่งกุมอกซุกตัวแอบอยู่ข้างล้อเกวียนเทียมวัวคันนั้น
เช้านี้นับว่าแปลกที่โอซือเกล้าผมและทาปากสดใสแม้จะแต่งหน้าไม่เก่งแต่ก็งดงามพอที่จะให้หนุ่ม ๆ มองเหลียวหลังและบางคนเดินตาม กิโมโนที่คุณนายบ้านคาราซูมารุให้มาด้วยความเอ็นดู ปักลวดลายดอกไม้สีขาวสลับใบเขียวกระจายเต็มตัวสมฤดูกาลขึ้นปีใหม่
โจทาโรกระโจนเฉี่ยวจมูกวัวเทียมเกวียนเข้าไปหาทันทีที่เห็นชายเสื้อสีขาวแวบผ่านซี่ล้อเกวียน
“โอซือ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ โอซือ เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าหนุ่มโผเข้ากอดโอซือจากข้างหลังโดยไม่หวั่นว่าจะทำให้ผมยุ่งหรือเครื่องสำอางจะเปื้อนเลอะ
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ข้ารอแล้วรออีก จนทนไม่ไหวต้องออกเที่ยวเดินหา มานี่เถิด เร็วเข้า”
“เร็วเข้าสิ โอซือ เร็วเข้า ขืนร่ำไรอยู่จะไม่ทันการ”
เจ้าหนุ่มเร่งอย่างเอาเป็นเอาตายพลางจับบ่าเขย่าเร่า ๆ
“ท่านมูซาชิมาอยู่ตรงนั้นแล้ว เห็นใช่ไหม นั่นไง มองจากตรงนี้ก็เห็น ข้าไม่อยากเข้าไปคนเดียว มาเถอะโอซือ ไปด้วยกัน ข้าทนไม่ไหวแล้ว”
คราวนี้ โจทาโรถึงกับฉุดมือดึงแรง ๆ จนข้อมือแทบหลุด แต่พอสัมผัสกับมือเปียกและเห็นหญิงสาวยังก้มหน้างุดอยู่ก็เอะใจ
“อะไรกันล่ะนั่น โอซือร้องไห้ทำไม”
“โจทาโร”
“อะไรรึ”
“เข้ามาแอบด้วยกันตรงนี้เถิด อย่าให้ท่านมูซาชิเห็นเราเลยดีกว่า เข้ามาเถอะนะ”
“ทำไมต้องแอบด้วย”
“ไม่ต้องถามหรอก มานี่เถิด”
“ไม่ได้ความ”
เจ้าหนุ่มทำหน้างอเมื่อถูกขัดใจ
“พวกผู้หญิงก็เป็นเสียอย่างนี้ ข้าถึงได้รำคาญนัก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ให้ตายสิ เมื่อวันก่อนยังพร่ำไม่ขาดปากว่าคิดถึงท่านมูซาชิย่างนั้นอย่างดี อยากพบเจอใจจะขาดเสียให้ได้ ถึงขนาดร้องห่มร้องไห้เที่ยวตามหา แต่พอมาวันนี้กลับมาซุกตัวซ่อนอยู่หลังล้อเกวียนเทียมวัว แล้วยังจะลากข้าเข้าไปซ่อนด้วย ฮะ ฮะ เฮ้ออยากหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก”
คำพูดเสียดสีของเจ้าหนุ่มน้อยกระทบใจโอซือราวกับถูกฟาดด้วยแซ่ นางช้อนตาแดงก่ำเพราะร้องไห้หนักขึ้นชะอ้อนเจ้าหนุ่มน้อย
“โจทาโร โจทาโร อย่าพูดอย่างนั้นได้ไหม ขอทีเถอะ ใจข้าถูกย่ำยีหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เจ้าอย่าพลอยซ้ำเติมข้าให้เจ็บไปกว่านี้ได้ไหม”
“อะไรกัน ข้าซ้ำเติมโอซือตรงไหน อย่ามาทำเป็นตู่”
“เอาเถิด ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ เข้ามาซ่อนตัวนิ่ง ๆ กับข้าตรงนี้ เร็วสิ”
“ไม่เอา ตรงนั้นมีขี้วัวเห็นรึเปล่า แล้วก็หยุดร้องไห้เสียที โบราณว่าใครร้องไห้ตั้งแต่วันปีใหม่จะถูกอีกาหัวเราะเยาะ จะเอาอย่างนั้นรึ”
“ช่างเถอะ จะยังไงก็ช่าง ข้า ข้าไม่ไหวแล้ว”
“หัวเราะกันดีกว่า หัวเราะให้ลั่นทุ่งเหมือนเจ้าหนุ่มที่โคนต้นหลิวเมื่อกี้ ข้าจะตบมือให้กับหัวเราะแรกของปี หัวเราะสิโอซือ หัวเราะเลย”
“เลิกตลกได้แล้ว”
“อืม ข้าก็หัวเราะไม่ออกเหมือนกัน”
โจทาโรสูดจมูกทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ตามไปอีกคน
“โอซือ ข้ารู้แล้ว ที่โอซือเป็นอย่างนี้ก็เพราะหึงที่ท่านมูซาชิอี๋อ๋อกับผู้หญิงคนอื่นใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น”
“ใช่สิ ต้องใช่ ขนาดข้าเองยังเจ็บใจเลย โอซือต้องออกไปเจอท่านมูซาชิสิ มาแอบซ่อนอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ทำไมเป็นคนเข้าใจอะไรยากอย่างนี้นะ โอซือ”