นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“โอ๊ะ ไอ้นี่เอง”
มูซาชิอุทานพลางดึงเข็มเล่มหนึ่งที่ปักอยู่ตรงคอเสื้อมาดูใกล้ ๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข่นเขี้ยวคำรามออกมาว่า
“นางเฒ่าสารพัดพิษ”
เข็มในมือเจ้าหนุ่มนักดาบเป็นเข็มเล่มเล็กบางประมาณเข็มเย็บผ้า ต่างกันแต่ว่าไม่มีรูสำหรับสนด้าย ตัวเข็มไม่กลมแต่เป็นสามเหลี่ยม
เข็มพิฆาตชัด ๆ
มูซาชิครามในลำคอพร้อมกับหันขวับไปทำตาถมึงทึงกับเรือลำน้อยที่ผูกอยู่กับท่าเทียบเรือ
เจ้าหนุ่มเคยได้ยินเรื่องราวของเข็มพิฆาตที่เป็นอาวุธลับซ่อนไว้ในปากเพื่อพ่นใส่ศัตรูยามคับขัน แต่ไม่คิดฝันว่าแม่เฒ่าร่างผอมเกร็งจนเดินแทบไม่ไหวคนนี้จะมีวิชาพ่นเข็มพิฆาตเป็นเขี้ยวเล็บแฝงอยู่
“เกือบตายแล้วไหมล่ะ”
เจ้าหนุ่มนักดาบตัวร้อนจัดด้วยความสนใจใคร่รู้และร้อนวิชา รีบดึงเข็มที่ปักอยู่ตามตัวรวมได้เป็นกำ เอามากลัดเรียงกันไว้ด้านหลังอกเสื้อเพื่อไม่ให้หลุดหาย ด้วยความตั้งใจที่ศึกษาให้ละเอียดในวันหลัง เพราะเท่าที่รู้มาจากประสบการณ์ในแวดวงนักดาบซึ่งยังแคบอยู่มากนั้น ยังไม่มีใครบอกได้เต็มปากสักคนว่ามีอยู่จริง หรือเป็นแค่เรื่องเล่าลือในตำนาน
ฝ่ายที่ยืนกรานว่ามีอยู่จริงอ้างว่าวิชาเป่าเข็มพิฆาตเป็นวิชาป้องกันตัวรูปแบบหนึ่งที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณนานมาก มีต้นกำเนิดจากการละเล่นของพวกหญิงช่างเย็บและช่างทอที่อพยพจากจีนมาอยู่ที่ดินแดนหมู่เกาะแห่งนี้ จากนั้นก็ได้ฝึกปรือลับฝีมือการพ่นเข็มกันเรื่อยมาจนกลายเป็นกลยุทธ์การต่อสู้ แม้เข็มจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธแต่ก็ใช้ในการโจมตีศัตรูและป้องกันตัวมาจนถึงสมัยที่โชกุนตระกูลอาชิคาวงะเรืองอำนาจ
ส่วนฝ่ายที่ยึดมั่นในตำราวิชัยสังครามค้านเสียงแข็งว่าวิชาพ่นเข็มไม่มีอยู่จริงซ้ำยังหยามเหยียดด้วยว่า
ไร้สาระ ควรหรือที่นักรบจะมาเถียงกันด้วยเรื่องการละเล่นว่ามีหรือไม่มี ได้ยินไปถึงไหนก็อายถึงที่นั่น
หญิงช่างเย็บและช่างทอที่อพยพจากจีนจะเล่นพ่นเข็มกันหรืออย่างไรไม่อาจรู้ แต่เล่นก็คือเล่นไม่ใช่วิทยายุทธ์ ปากของมนุษย์ทำหน้าที่รับความรู้สึกที่มีต่อสิ่งที่กำลังจะผ่านเข้าไปในร่างกายเป็นด่านแรกว่า ร้อน เย็น เปรี้ยว เผ็ด หรืออย่างไร แต่ไม่สามารถอมเข็มโดยไม่ให้รู้สึกเจ็บเมื่อถูกปลายแหลมทิ่มแทง
อีกฝ่ายแก้ว่า
ทำได้ แต่แน่นอนว่าจะต้องฝึกจนชำนาญ คือใช้น้ำลายตะล่อมเข็มหลายเล่มที่อมไว้ให้เข้าที่เข้าทาง เล็งเป้าที่ตัวศัตรูให้แม่นยำแล้วบังคับจังหวะลมหายใจกับปลายลิ้นพ่นเข็มเข้าใส่ศัตรู
ฝ่ายคัดค้านยังยืนกรานว่า
หากทำจริง ๆ ก็อาจได้ แต่เข็มเล่มกระจิ๋วหลิวขนาดนี้มีพลังพิฆาตเพียงน้อยนิด พ่นเข้าไปทิ่มแทงตามลำตัวก็แค่ เจ็บ ๆ คัน ๆ หรืออาจไม่รู้สึกเลย อย่างดีก็พ่นใส่ตาที่เป็นจุดอ่อนของศัตรู แต่ก็ต้องมือแน่จริง ๆ ว่าจะตรงเป้าที่ตาดำซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิต ถ้าพลาดไปโดนตาขาวก็ไม่มีประโยชน์ คิดดูให้ดีก็แล้วกันว่าการละเล่นของพวกผู้หญิงเช่นนี้จะกลายมาเป็นวิทยายุทธ์ได้อย่างไร
ฝ่ายสนับสนุนเถียงว่า
ไม่มีใครบอกสักหน่อยว่าเป็นวิทยายุทธ์ที่ใช้ต่อสู้กันโดยทั่วไป แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าวิชาพ่นเข็มเป็นเคล็ดลับในการต่อสู้ที่ยังสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้
มูซาชิได้ยินการถกเถียงทำนองนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง และเป็นคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับว่าการพ่นเข็มใส่ศัตรูเป็นวิทยายุทธ์ในวิถีแห่งนักรบ และไม่คิดด้วยว่าจะมีอยู่จริง
ประสบการณ์ครั้งนี้สอนว่า การสนทนาของผู้คนไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นเรื่องสัพเพเหระ เรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกว่าไร้หรือน่าเบื่อ แต่วันหนึ่งอาจมีประโยชน์ขึ้นมาก็ได้ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะฟังในแง่มุมใด
ตาข้างที่โดนเข็มยังเจ็บจี๊ดขึ้นมาเป็นครั้งคราวแต่รู้สึกว่าไม่น่าโดนตาดำ เพราะปวดแสบปวดร้อนที่หัวตาและน้ำตาซึมตลอด
มูซาชิคลำไปทั่วตัวพยายามหาผ้าตรงที่เหมาะมือมาฉีกทำผ้าซับน้ำตา ผ้าคาดกิโมโนก็ฉีกไม่ออก คอเสื้อก็ไม่สำเร็จ และขณะที่กำลังสาละวนกับการคลำหาผ้านั้นเอง เจ้าหนุ่มก็ได้ยินเสียงผ้าถูกฉีกอยู่ข้างหลังจึงหันขวับไปมอง
สาวน้อยคนหนึ่ง วิ่งถือเศษผ้าสีแดงที่คงใช้ฟันกัดและฉีกออกมาจากคอเสื้อกิโมโนชั้นในเข้ามาใกล้
2
อาเกมินั่นเอง
สาวน้อยยังใส่กิโมโนมอมแมมตัวเดิมไม่ได้เกล้าผมใหม่ ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตาสวมใส่กิโมโนปีใหม่อย่างสาว ๆ ทั่วไป และเดินเท้าเปล่า
“โอ๊ะ”
มูซาชิอุทานเสียงดังพร้อมกับเบิกตาโตด้วยความแปลกใจ จำได้คลับคล้ายคลับคลาแต่นึกไม่ออกว่าแม่สาวน้อยที่ทำท่าว่ารู้จักตนดีคนนี้คือใคร
ตรงข้ามกับอาเกมิ สาวน้อยเชื่อมาตลอดว่ามูซาชิจะต้องคิดถึงนางอยู่บ้างเหมือนกัน แม้จะไม่เท่ากับที่นางคิดถึงก็ตาม
“ฉันยังไงล่ะ ทาเกโซ โอ๊ะ...ไม่ใช่ซิ ท่านมูซาชิ”
อาเกมิถือเศษผ้าสีแดงที่ฉีกจากคอกิโมโนตัวในเดินเข้ามาใกล้เจ้าหนุ่มอย่างขลาด ๆ
“ตาท่านไปโดนอะไรมา อย่าขยี้อย่างนั้นสิ เดี๋ยวจะยิ่งแย่ใหญ่ เอาผ้านี่ซับดีกว่านะ”
มูซาชิตอบรับความหวังดีของสาวน้อยโดยเอาเศษผ้าสีแดงกดตาข้างหนึ่งไว้เงียบ ๆ และเขม้นมองหน้าอาเกมิอีกครั้ง
“ลืมแล้วหรือ”
“... ... ...”
“ลืมฉันแล้วหรือ”
“... ... ...”
“ฉันไงล่ะ ฉันไง”
ทำนบที่กักกั้นความรันทดเอาไว้จนแทบล้นอกใกล้พังทลายเมื่อใบหน้าของมูซาชิยังเรียบเฉยและว่างเปล่า
หัวใจที่บอบช้ำด้วยบาดแผลสาหัสสากรรจ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เร่ร่อนซมซานค้นหาด้วยความหวังที่จะได้พักพิงใจกับชายคนเดียวนี้
อนิจจา...นี่เราพร่ำเพ้อไปเองหรือนี่ หลงฝันหลงใฝ่หา ที่แท้ก็เป็นภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นมาเอง
น่าเวทนานัก
คลื่นวิปโยคทะยานสูงจากห้วงลึกของทะเลใจอันเวิ้งว้าง โถมขึ้นมาล้นประดังกับความรันทดอยูในอก
สาวน้อยอาเกมิ ยกมือทั้งคู่ขึ้นปิดปากปิดจมูก กลั้นสะอื้นจนตัวสั่น
“โอ๊ะ”
นึกออกแล้ว
ความทรงจำของมูซาชิให้กระจ่างชัดขึ้นทันทีเมื่อเห็นภาพยามวิปโยคของสาวน้อย และอาจเป็นเพราะยังมีเงาของความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเมื่อครั้งยังวิ่งชายกิโมโนปลิวเคล้าเสียงลูกกระพรวนอยู่ในทุ่งหญ้าที่อิบูกิ หลงเหลืออยู่ก็เป็นได้
เจ้าหนุ่มนักดาบโอบร่างบางราวคนเพิ่งส่างไข้เข้ามาไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งบึกบึนทันทีที่จำได้
“อาเกมิ อาเกมิจริง ๆ ด้วย เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ ทำไม...ทำไม”
มูซาชิจำนางได้แล้ว แต่ยิ่งระดมถามสาวเจ้าก็ยิ่งสะเทือนใจ
“เจ้าไม่ได้อยู่ที่อิบูกิหรอกรึ แล้วแม่เจ้าล่ะเป็นยังไงบ้าง”
พอเอ่ยถามถึงโอโคแม่เลี้ยงของสาวน้อย มูซาชิก็นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงเจนโลกคนนั้นกับมาตาฮาจิขึ้นมาทันที
“ตอนนี้ยังอยู่กับมาตาฮาจิหรือเปล่า ความจริงข้าคิดว่าจะได้พบกับมาตาฮาจิที่นี่เช้าวันนี้แต่มาพบเจ้าเสียก่อน คิดว่ามาตาฮาจิคงไม่ได้ให้เจ้ามาแทนหรอกนะ”
อาเกมิถอนสะอื้น ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ถ้อยคำที่หวังไว้ว่าจะได้ยินจากชายในดวงใจ
สาวน้อยส่ายหน้าอยู่ในอ้อมแขนกำยำ
“อะไรนะ หรือว่ามาตาฮาจิจะไม่มา เกิดอะไรขึ้นรึ บอกข้าสิว่าเกิดอะไรขึ้น เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนี้ แล้วจะพูดกันรู้เรื่องได้ยังไง”
“ไม่มาหรอก มาตาฮาจิไม่มาที่นี่ เพราะไม่ได้รับคำนัดของท่าน”
อาเกมิพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น ก่อนซบหน้านองน้ำตาลงสะอื้นกับอกกว้างของมูซาชิ
ถ้อยคำมากมายที่เตรียมไว้ในใจหากได้เจอ กลับกลายเป็นเหมือนฟองอากาศซึมหายไปลงไปในเลือดสาวที่กำลังร้อนระอุ อาเกมิไม่อาจเล่าถึงเรื่องที่แม่เลี้ยงผลักดันให้ตนต้องเชิญกับชะตากรรมหฤโหด เหตุการณ์ที่ชายฝั่งซูมิโยชิเรื่องมาจนถึงวันนี้ให้มูซาชิฟังได้
สะพานโกโจเริ่มคึกคักขึ้น เมื่อผู้คนพากันเดินมุ่งหน้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกของปีที่ชิมิซุ ท่ามกลางแสงแดดลำแรกแห่งปีที่แจ่มใสสดชื่น ผู้หญิงใส่กิโมโนปีใหม่สีสันสดใสงดงาม คละกันไปกับพวกผู้ชายในชุดกิโมโนครบเครื่องกะว่าไปวัดเสร็จแล้วจะได้แวะเวียนไปสวัสดีปีใหม่ลูกค้าสำคัญ
หัวยุ่งเป็นกระเซิงของหนุ่มน้อยคนหนึ่งผลุบโผล่อยู่ท่ามกลางฝูงคนมาจนถึงกลางสะพาน
“เอ๊ะ นึกว่าโอซือ แต่ไม่ยักกะใช่”
โจทะโรหยุดชะงักตาค้างเมื่อมองไปเห็นมูซาชิยืนประคองกอดอาเกมิอยู่ที่เชิงสะพาน ทำหน้าเหมือนเห็นภาพชายหญิงที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อไม่เจริญตา
3
หนุ่มน้อยโจทาโรตกตะลึงกับภาพที่เห็น
อะไรกันนั่น ผู้หญิงผู้ชายมายืนกอดกันแน่นอยู่ได้ยังไงกลางวันแสก ๆ ไม่อายสายตาผู้คนที่ผ่านไปมาออกคับคั่งบ้างหรือยังไง เป็นผู้ใหญ่กันแล้วทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจกับเลย
และยิ่งตกใจไปกว่านั้น ที่ผู้ชายผู้ประพฤติมิชอบคือครูดาบที่เคารพของตน
ผู้หญิงก็เหมือนกัน หน้าไม่อาย
ใจเจ้าหนุ่มน้อยเต้นระทึก ไม่แน่ใจว่าเหมือนกันทำไม จะว่าเสียใจก็ใช่หรือว่าอิจฉาใช่อีก แต่ที่ชัด ๆ ก็คือโกรธจนอยากเขวี้ยงก้อนหินเข้าใส่สักก้อนสองก้อนให้หายแค้น
แต่เอ๊ะ นั่นมันอาเกมิไม่ใช่หรือ อาเกมิที่เราฝากคำขอนัดของครูไปให้มาตาฮาจิจริง ๆ ด้วย อย่างนั้นก็ไม่แปลกเพราะผู้หญิงร้านน้ำชาส่วนใหญ่ใจแตกกันอย่างนี้ ว่าแต่นางสนิทสนมกับครูของเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะนี่ ครูนะครู เดี๋ยวเถอะข้าจะฟ้องโอซือให้จัดการอย่างสาสมทีเดียว
คิดแล้วโจทาโรหนุ่มน้อยก็กวาดสายตามองเข้าไปในฝูงคนที่เดินผ่านไปมา และชะโงกราวสะพานลงไปดูข้างล่างด้วย แต่ก็ไม่เห็นโอซือ
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมยังมาไม่ถึงทั้งที่ตอนออกจากเรือนท่านคาราซูมาซึ่งอาศัยเป็นที่พักแรมเมื่อกี้นี้ โอซือเดินนำหน้ามาก่อนแท้ ๆ
โอซือมั่นใจว่าเช้านี้จะต้องได้เจอมูซาชิแน่นอน เมื่อคืนซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีนางจึงเตรียมเนื้อเตรียมตัวเต็มที่ เริ่มตั้งแต่สระผมและเกล้าผมใหม่ เอากิโมโนปีใหม่ที่คุณนายเรือนใหญ่ให้มาลองใส่ถอดเข้าถอดออก ดูตื่นเต้นจนแทบจะนอนไม่หลับละมังเพราะเห็นตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง นั่งกระสับกระส่ายคอยให้สว่างอยู่คนเดียว
สุดท้ายก็ลุกขึ้นบอกว่า
จะไปสักการะศาลเจ้ากิอง และโบสถ์ชิมิซุก่อน แล้วจึงไปที่สะพานโกโจ
ข้าไปด้วย
โจทาโรลุกตาม ตามปกติโอซือไม่เคยว่า แต่ครั้งนี้กลับถูกกีดกัน
อย่าเลย ข้ามีเรื่องอยากคุยกับมูซาชิตามลำพังนิดหนึ่ง โจทาโรไม่ต้องรีบหรอกนะ รอให้สว่างอีกสักหน่อยค่อยตามไปเจอกันที่สะพานโกโจ ไม่ต้องห่วงนะ คิดว่าพอไปถึงเจ้าก็จะได้พบข้ากับมูซาชิคอยอยู่แล้ว
โอซือพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากเรือนคาราซูมารุไปคนเดียว
โจทาโรไม่ได้โกรธหรืออารมณ์เสียแม้จะรู้สึกไม่ดีนักที่ถูกมองว่าเป็นก้างขวางคอ เพราะโตเป็นหนุ่มพอที่จะเข้าใจความรู้สึกของโอซือที่เดินทางด้วยกันมานานเป็นปี ทั้งตนเองก็เคยลิ้มรสความรู้สึกอย่างที่หนุ่มสาวพึงมีต่อกันมาแล้วกับแม่สาวน้อยโคจะ ถึงขั้นถูกเนื้อต้องตัวกันอย่างไม่รู้ประสีประสาในโรงเก็บหญ้าเลี้ยงม้า เมื่อครั้งเดินทางผ่านไปพักที่โรงเตี๊ยมฮานาโกยะในหุบเขายากิว
หนุ่มน้อยไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนักจากประสบการณ์ครั้งนั้น ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่อย่างโอซือถึงเอาแต่ร้องไห้และเศร้าซึมเมื่อยามโพล้เพล้ยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น ไม่เคยเข้าใจหรือเห็นใจบางครั้งยังหัวเราะขบขันด้วย แต่มาวันนี้ความรู้สึกของเจ้าหนุ่มน้อยแปลกไป เมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่ยืนแอบอิงสะอึกสะอื้นซบอกผึ่งผายของมูซาชิอยู่นั้นไม่ใช่โอซือ แต่เป็นอาเกมิแม่สาวน้อยที่ตนไม่คาดคิดว่าจะมาพบในสภาพเช่นนี้
บอกไม่ถูก เหมือนกับโกรธ ใช่...คงโกรธนั่นแหละ โกรธแทนโอซือไง
นางคนนี้ อวดดียังไง ถึงได้มาเสนอหน้า
ครูก็ครูเถอะ ไม่เข้าท่า
โจทาโรยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธราวกับตนเป็นโอซือเสียเอง
แต่เอ โอซือไปทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ เจอตัวละก็จะฟ้องทันทีเลย
ใจเจ้าหนุ่มน้อยกระวนกระวายขึ้นทุกที กวาดสายตาไปทั่วทั้งบนและล่างสะพาน แต่ก็ไม่พบโอซือ
ระหว่างนั้นหญิงชายที่แอบอิงกันอยู่ดูเหมือนจะเพางรู้สึกว่าตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา จึงพากันเลี่ยงหลบไปยืนเคียงกันเกาะราวตรงเชิงสะพานมองลงไปที่ลำน้ำหันหลังให้ฝูงคน ดังนั้นแม้โจทาโรจะเดินบ่นพึมพำผ่านไปในระยะกระชั้นชิดจึงมองไม่เห็น
ไม่รู้จะภาวนาขอพรพระโพธิสัตว์คันนอนอะไรกันนักกันหนา
หนุ่มน้อยเดินพลางหยุดยืนชะโงกมองไปทางโน้นทางนี้พลางจนมาถึงเชิงสะพานตรงที่มีต้นหลิวใหญ่สี่ห้าต้นเรียงรายอยู่ชายน้ำที่มักมีฝูงหงส์มาจิกปลาแม่น้ำกินเป็นอาหาร
วันนี้ไม่มีหงส์สักตัว เห็นแต่ชายหนุ่มคนหนึ่งเกล้าผมเปิดหน้าเรียบร้อยยืนพิงต้นหลิวเก่าแก่ที่รูปทรงคล้ายพญามังกรกำลังหลับไหล ทำท้าเหมือนกำลังจ้องมองอะไรสักอย่างไม่วางตา
4
มูซาชิท้าวข้อศอกบนราวสะพานเงี่ยหูฟังเรื่องราวที่อาเกมิซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งอกตั้งใจ กระซิบเล่าอย่างไม่อายที่จะเปิดเผยความจริงให้รู้กันเพียงสองคน เจ้าหนุ่มนักดาบพยักหน้าน้อย ๆ รับฟังเป็นจังหวะก็จริง แต่ไม่รู้ว่าต่ำลึกและหนักแน่นนั้นจะผ่านเข้าหูหรือไม่เพียงใด
เพราะแม้จะทำท่าว่าฟังอยู่แต่ตากลมโตทั้งคู่เพ่งมองไปที่จุดหนึ่งและจับจ้องอยู่แทบไม่กระพริบตา
นั่นไม่ใช่ภาพของหนุ่มสาวที่กำลังเจรจาภาษารักกันแน่นอน เพราะดวงตาของชายไร้แววเสน่หาเร่าร้อนอย่างสิ้นเชิง
อาเกมิตกจมอยู่กับอารมณ์ของตัวเองถามเองตอบเองไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้พะวงที่จะเฝ้าสังเกตความรู้สึกในดวงตาของเจ้าหนุ่ม สุดท้ายก็ถอนใจบอกว่า
“ข้าเล่าให้ท่านฟังจนหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเป็นความลับเลยสักเรื่องเดียว”
ว่าพลางเลื่อนตัวเข้ามาแอบอิง
“ปีนี้เป็นปีที่ห้าหลังสงครามที่เซกิงาฮาระ และข้าก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดกับตัวเองในช่วงห้าปีที่ผ่านมาจนหมดสิ้นแล้ว และอยากบอกท่านว่าอาเกมิคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งร่างกายและความคิด”
นางทอดเสียงเครือและเริ่มร้องไห้กระซิก
“แต่ ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือความรู้สึก ข้าพูดได้เต็มปากเลยว่าความรู้สึกของข้าที่มีต่อท่านไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว เข้าใจใช่ไหมท่านมูซาชิ ท่านเข้าใจความรู้สึกของข้าใช่ไหม”
“อืม”
“เข้าใจเถิดนะ ข้าขอร้อง ข้าขอบอกอย่างไม่อายเลยว่า อาเกมิคนนี้ไม่ใช่สาวซื่อบริสุทธิ์ดั่งดอกไม้ในท้องทุ่งที่ท่านพบเป็นครั้งแรกที่เชิงเขาอิบูกิคนเดิม แต่เป็นผู้หญิงที่ถูกย่ำยีให้แปดเปื้อนมลทินจนไร้ค่า แต่อยากรู้นักว่าพรหมจรรย์นั้นอยู่ที่กายหรือใจกันแน่ หญิงที่กายบริสุทธิ์สะอาดแต่ใจใฝ่หากามารมณ์นั้นจะเรียกว่าสาวพรหมจรรย์ได้ไหม ข้าสูญเสียพรหมจรรย์ทางกายเพราะถูกชายคนหนึ่งที่ไม่อยากเอ่ยชื่อย่ำยี แต่ไม่มีใครคร่าพรหมจรรย์ทางใจของข้าได้ ใจของข้าบริสุทธิ์มาจนทุกวันนี้”
“อือม์”
“ท่านสงสารข้าหน่อยได้ไหม ท่านคือคนเดียวที่ข้าคิดที่จะเปิดใจเล่าความจริงทั้งหมด ไม่มีอะไรจะทรมานใจมากไปกว่ามีความลับกับคนที่ตนรัก ข้าคิดวกวนอยู่ทุกวันทุกคืนว่าเมื่อได้พบท่านแล้วจะเล่าให้ฟังดีหรือไม่เล่าดี จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะไม่ปกปิดอะไรเป็นความลับและไม่พูดเท็จกับท่าน...เข้าใจข้าไหม เห็นใจข่าไหมว่าข้าไม่มีทางเลือก ช่วยตอบหน่อยสิ หรือว่าท่านเห็นว่าข้าเป็นผู้หญิงต่ำช้าน่ารังเกียจ”
“เอ่อ”
“ช่วยตอบข้าที คิดขึ้นมาที่ไร ข้าเจ็บใจเหลือเกิน”
อาเกมิซบหน้าลงสะอื้นกับราวสะพาน
“เจ็บใจนักที่ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาขอให้ท่านรักข้า ในเมื่อกายของข้าเป็นเช่นนี้ไปแล้วจะด้านหน้ามาขอความรักจากท่านได้อย่างไร แต่ท่านมูซาชิ ใจของข้ายังครองพรหมจรรย์อยู่ดังเดิม ใจรักครั้งแรกที่ใสสะอาดดั่งไข่มุก ยังอยู่ในอกของอาเกมิคนนี้ดังเดิมเหมือน ไม่ได้สูญหายไปไหนเลยตั้งแต่แรกพบกับท่าน และจะคงอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร หรืออยู่กับชายคนไหน หัวใจของอาเกมิอยู่กับท่านตลอดกาล”
อาเกมิสะอึกสะอื้นจนเส้นผมแทบจะสั่นไหวด้วยทุกเส้น
ล่างลงไปจากราวสะพานที่นองน้ำตา สายน้ำไหลเอื่อยสะท้อนแสงแดดอ่อนยามปีใหม่เป็นประกายผ่านไปเหมือนความหวังและความฝันของมนุษย์อันไม่มีที่สิ้นสุด
“อืม”
คำออดอ้อนคร่ำครวญทำให้มูซาชิต้องพยักหน้ารับฟัง แต่ดวงตาที่มีประกายประหลาดยังจับจ้องตรงที่ไปจุดเติม
ถ้ามีใครสักคนมองตามไปก็จะพบว่าผู้ที่ตกเป็นเป้าสายตาของมูซาชิก็คือ
ซาซากิ โคจิโร
เจ้าหนุ่มผู้ยืนพิงต้นหลิวเก่าแก่อยู่ที่ชายน้ำคนนั้นเอง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“โอ๊ะ ไอ้นี่เอง”
มูซาชิอุทานพลางดึงเข็มเล่มหนึ่งที่ปักอยู่ตรงคอเสื้อมาดูใกล้ ๆ แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเข่นเขี้ยวคำรามออกมาว่า
“นางเฒ่าสารพัดพิษ”
เข็มในมือเจ้าหนุ่มนักดาบเป็นเข็มเล่มเล็กบางประมาณเข็มเย็บผ้า ต่างกันแต่ว่าไม่มีรูสำหรับสนด้าย ตัวเข็มไม่กลมแต่เป็นสามเหลี่ยม
เข็มพิฆาตชัด ๆ
มูซาชิครามในลำคอพร้อมกับหันขวับไปทำตาถมึงทึงกับเรือลำน้อยที่ผูกอยู่กับท่าเทียบเรือ
เจ้าหนุ่มเคยได้ยินเรื่องราวของเข็มพิฆาตที่เป็นอาวุธลับซ่อนไว้ในปากเพื่อพ่นใส่ศัตรูยามคับขัน แต่ไม่คิดฝันว่าแม่เฒ่าร่างผอมเกร็งจนเดินแทบไม่ไหวคนนี้จะมีวิชาพ่นเข็มพิฆาตเป็นเขี้ยวเล็บแฝงอยู่
“เกือบตายแล้วไหมล่ะ”
เจ้าหนุ่มนักดาบตัวร้อนจัดด้วยความสนใจใคร่รู้และร้อนวิชา รีบดึงเข็มที่ปักอยู่ตามตัวรวมได้เป็นกำ เอามากลัดเรียงกันไว้ด้านหลังอกเสื้อเพื่อไม่ให้หลุดหาย ด้วยความตั้งใจที่ศึกษาให้ละเอียดในวันหลัง เพราะเท่าที่รู้มาจากประสบการณ์ในแวดวงนักดาบซึ่งยังแคบอยู่มากนั้น ยังไม่มีใครบอกได้เต็มปากสักคนว่ามีอยู่จริง หรือเป็นแค่เรื่องเล่าลือในตำนาน
ฝ่ายที่ยืนกรานว่ามีอยู่จริงอ้างว่าวิชาเป่าเข็มพิฆาตเป็นวิชาป้องกันตัวรูปแบบหนึ่งที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยโบราณนานมาก มีต้นกำเนิดจากการละเล่นของพวกหญิงช่างเย็บและช่างทอที่อพยพจากจีนมาอยู่ที่ดินแดนหมู่เกาะแห่งนี้ จากนั้นก็ได้ฝึกปรือลับฝีมือการพ่นเข็มกันเรื่อยมาจนกลายเป็นกลยุทธ์การต่อสู้ แม้เข็มจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธแต่ก็ใช้ในการโจมตีศัตรูและป้องกันตัวมาจนถึงสมัยที่โชกุนตระกูลอาชิคาวงะเรืองอำนาจ
ส่วนฝ่ายที่ยึดมั่นในตำราวิชัยสังครามค้านเสียงแข็งว่าวิชาพ่นเข็มไม่มีอยู่จริงซ้ำยังหยามเหยียดด้วยว่า
ไร้สาระ ควรหรือที่นักรบจะมาเถียงกันด้วยเรื่องการละเล่นว่ามีหรือไม่มี ได้ยินไปถึงไหนก็อายถึงที่นั่น
หญิงช่างเย็บและช่างทอที่อพยพจากจีนจะเล่นพ่นเข็มกันหรืออย่างไรไม่อาจรู้ แต่เล่นก็คือเล่นไม่ใช่วิทยายุทธ์ ปากของมนุษย์ทำหน้าที่รับความรู้สึกที่มีต่อสิ่งที่กำลังจะผ่านเข้าไปในร่างกายเป็นด่านแรกว่า ร้อน เย็น เปรี้ยว เผ็ด หรืออย่างไร แต่ไม่สามารถอมเข็มโดยไม่ให้รู้สึกเจ็บเมื่อถูกปลายแหลมทิ่มแทง
อีกฝ่ายแก้ว่า
ทำได้ แต่แน่นอนว่าจะต้องฝึกจนชำนาญ คือใช้น้ำลายตะล่อมเข็มหลายเล่มที่อมไว้ให้เข้าที่เข้าทาง เล็งเป้าที่ตัวศัตรูให้แม่นยำแล้วบังคับจังหวะลมหายใจกับปลายลิ้นพ่นเข็มเข้าใส่ศัตรู
ฝ่ายคัดค้านยังยืนกรานว่า
หากทำจริง ๆ ก็อาจได้ แต่เข็มเล่มกระจิ๋วหลิวขนาดนี้มีพลังพิฆาตเพียงน้อยนิด พ่นเข้าไปทิ่มแทงตามลำตัวก็แค่ เจ็บ ๆ คัน ๆ หรืออาจไม่รู้สึกเลย อย่างดีก็พ่นใส่ตาที่เป็นจุดอ่อนของศัตรู แต่ก็ต้องมือแน่จริง ๆ ว่าจะตรงเป้าที่ตาดำซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิต ถ้าพลาดไปโดนตาขาวก็ไม่มีประโยชน์ คิดดูให้ดีก็แล้วกันว่าการละเล่นของพวกผู้หญิงเช่นนี้จะกลายมาเป็นวิทยายุทธ์ได้อย่างไร
ฝ่ายสนับสนุนเถียงว่า
ไม่มีใครบอกสักหน่อยว่าเป็นวิทยายุทธ์ที่ใช้ต่อสู้กันโดยทั่วไป แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าวิชาพ่นเข็มเป็นเคล็ดลับในการต่อสู้ที่ยังสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้
มูซาชิได้ยินการถกเถียงทำนองนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง และเป็นคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับว่าการพ่นเข็มใส่ศัตรูเป็นวิทยายุทธ์ในวิถีแห่งนักรบ และไม่คิดด้วยว่าจะมีอยู่จริง
ประสบการณ์ครั้งนี้สอนว่า การสนทนาของผู้คนไม่ว่าเนื้อหาจะเป็นเรื่องสัพเพเหระ เรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกว่าไร้หรือน่าเบื่อ แต่วันหนึ่งอาจมีประโยชน์ขึ้นมาก็ได้ ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะฟังในแง่มุมใด
ตาข้างที่โดนเข็มยังเจ็บจี๊ดขึ้นมาเป็นครั้งคราวแต่รู้สึกว่าไม่น่าโดนตาดำ เพราะปวดแสบปวดร้อนที่หัวตาและน้ำตาซึมตลอด
มูซาชิคลำไปทั่วตัวพยายามหาผ้าตรงที่เหมาะมือมาฉีกทำผ้าซับน้ำตา ผ้าคาดกิโมโนก็ฉีกไม่ออก คอเสื้อก็ไม่สำเร็จ และขณะที่กำลังสาละวนกับการคลำหาผ้านั้นเอง เจ้าหนุ่มก็ได้ยินเสียงผ้าถูกฉีกอยู่ข้างหลังจึงหันขวับไปมอง
สาวน้อยคนหนึ่ง วิ่งถือเศษผ้าสีแดงที่คงใช้ฟันกัดและฉีกออกมาจากคอเสื้อกิโมโนชั้นในเข้ามาใกล้
2
อาเกมินั่นเอง
สาวน้อยยังใส่กิโมโนมอมแมมตัวเดิมไม่ได้เกล้าผมใหม่ ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตาสวมใส่กิโมโนปีใหม่อย่างสาว ๆ ทั่วไป และเดินเท้าเปล่า
“โอ๊ะ”
มูซาชิอุทานเสียงดังพร้อมกับเบิกตาโตด้วยความแปลกใจ จำได้คลับคล้ายคลับคลาแต่นึกไม่ออกว่าแม่สาวน้อยที่ทำท่าว่ารู้จักตนดีคนนี้คือใคร
ตรงข้ามกับอาเกมิ สาวน้อยเชื่อมาตลอดว่ามูซาชิจะต้องคิดถึงนางอยู่บ้างเหมือนกัน แม้จะไม่เท่ากับที่นางคิดถึงก็ตาม
“ฉันยังไงล่ะ ทาเกโซ โอ๊ะ...ไม่ใช่ซิ ท่านมูซาชิ”
อาเกมิถือเศษผ้าสีแดงที่ฉีกจากคอกิโมโนตัวในเดินเข้ามาใกล้เจ้าหนุ่มอย่างขลาด ๆ
“ตาท่านไปโดนอะไรมา อย่าขยี้อย่างนั้นสิ เดี๋ยวจะยิ่งแย่ใหญ่ เอาผ้านี่ซับดีกว่านะ”
มูซาชิตอบรับความหวังดีของสาวน้อยโดยเอาเศษผ้าสีแดงกดตาข้างหนึ่งไว้เงียบ ๆ และเขม้นมองหน้าอาเกมิอีกครั้ง
“ลืมแล้วหรือ”
“... ... ...”
“ลืมฉันแล้วหรือ”
“... ... ...”
“ฉันไงล่ะ ฉันไง”
ทำนบที่กักกั้นความรันทดเอาไว้จนแทบล้นอกใกล้พังทลายเมื่อใบหน้าของมูซาชิยังเรียบเฉยและว่างเปล่า
หัวใจที่บอบช้ำด้วยบาดแผลสาหัสสากรรจ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เร่ร่อนซมซานค้นหาด้วยความหวังที่จะได้พักพิงใจกับชายคนเดียวนี้
อนิจจา...นี่เราพร่ำเพ้อไปเองหรือนี่ หลงฝันหลงใฝ่หา ที่แท้ก็เป็นภาพลวงตาที่เราสร้างขึ้นมาเอง
น่าเวทนานัก
คลื่นวิปโยคทะยานสูงจากห้วงลึกของทะเลใจอันเวิ้งว้าง โถมขึ้นมาล้นประดังกับความรันทดอยูในอก
สาวน้อยอาเกมิ ยกมือทั้งคู่ขึ้นปิดปากปิดจมูก กลั้นสะอื้นจนตัวสั่น
“โอ๊ะ”
นึกออกแล้ว
ความทรงจำของมูซาชิให้กระจ่างชัดขึ้นทันทีเมื่อเห็นภาพยามวิปโยคของสาวน้อย และอาจเป็นเพราะยังมีเงาของความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเมื่อครั้งยังวิ่งชายกิโมโนปลิวเคล้าเสียงลูกกระพรวนอยู่ในทุ่งหญ้าที่อิบูกิ หลงเหลืออยู่ก็เป็นได้
เจ้าหนุ่มนักดาบโอบร่างบางราวคนเพิ่งส่างไข้เข้ามาไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งบึกบึนทันทีที่จำได้
“อาเกมิ อาเกมิจริง ๆ ด้วย เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่ ทำไม...ทำไม”
มูซาชิจำนางได้แล้ว แต่ยิ่งระดมถามสาวเจ้าก็ยิ่งสะเทือนใจ
“เจ้าไม่ได้อยู่ที่อิบูกิหรอกรึ แล้วแม่เจ้าล่ะเป็นยังไงบ้าง”
พอเอ่ยถามถึงโอโคแม่เลี้ยงของสาวน้อย มูซาชิก็นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงเจนโลกคนนั้นกับมาตาฮาจิขึ้นมาทันที
“ตอนนี้ยังอยู่กับมาตาฮาจิหรือเปล่า ความจริงข้าคิดว่าจะได้พบกับมาตาฮาจิที่นี่เช้าวันนี้แต่มาพบเจ้าเสียก่อน คิดว่ามาตาฮาจิคงไม่ได้ให้เจ้ามาแทนหรอกนะ”
อาเกมิถอนสะอื้น ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ถ้อยคำที่หวังไว้ว่าจะได้ยินจากชายในดวงใจ
สาวน้อยส่ายหน้าอยู่ในอ้อมแขนกำยำ
“อะไรนะ หรือว่ามาตาฮาจิจะไม่มา เกิดอะไรขึ้นรึ บอกข้าสิว่าเกิดอะไรขึ้น เอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนี้ แล้วจะพูดกันรู้เรื่องได้ยังไง”
“ไม่มาหรอก มาตาฮาจิไม่มาที่นี่ เพราะไม่ได้รับคำนัดของท่าน”
อาเกมิพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น ก่อนซบหน้านองน้ำตาลงสะอื้นกับอกกว้างของมูซาชิ
ถ้อยคำมากมายที่เตรียมไว้ในใจหากได้เจอ กลับกลายเป็นเหมือนฟองอากาศซึมหายไปลงไปในเลือดสาวที่กำลังร้อนระอุ อาเกมิไม่อาจเล่าถึงเรื่องที่แม่เลี้ยงผลักดันให้ตนต้องเชิญกับชะตากรรมหฤโหด เหตุการณ์ที่ชายฝั่งซูมิโยชิเรื่องมาจนถึงวันนี้ให้มูซาชิฟังได้
สะพานโกโจเริ่มคึกคักขึ้น เมื่อผู้คนพากันเดินมุ่งหน้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกของปีที่ชิมิซุ ท่ามกลางแสงแดดลำแรกแห่งปีที่แจ่มใสสดชื่น ผู้หญิงใส่กิโมโนปีใหม่สีสันสดใสงดงาม คละกันไปกับพวกผู้ชายในชุดกิโมโนครบเครื่องกะว่าไปวัดเสร็จแล้วจะได้แวะเวียนไปสวัสดีปีใหม่ลูกค้าสำคัญ
หัวยุ่งเป็นกระเซิงของหนุ่มน้อยคนหนึ่งผลุบโผล่อยู่ท่ามกลางฝูงคนมาจนถึงกลางสะพาน
“เอ๊ะ นึกว่าโอซือ แต่ไม่ยักกะใช่”
โจทะโรหยุดชะงักตาค้างเมื่อมองไปเห็นมูซาชิยืนประคองกอดอาเกมิอยู่ที่เชิงสะพาน ทำหน้าเหมือนเห็นภาพชายหญิงที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อไม่เจริญตา
3
หนุ่มน้อยโจทาโรตกตะลึงกับภาพที่เห็น
อะไรกันนั่น ผู้หญิงผู้ชายมายืนกอดกันแน่นอยู่ได้ยังไงกลางวันแสก ๆ ไม่อายสายตาผู้คนที่ผ่านไปมาออกคับคั่งบ้างหรือยังไง เป็นผู้ใหญ่กันแล้วทำไมไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจกับเลย
และยิ่งตกใจไปกว่านั้น ที่ผู้ชายผู้ประพฤติมิชอบคือครูดาบที่เคารพของตน
ผู้หญิงก็เหมือนกัน หน้าไม่อาย
ใจเจ้าหนุ่มน้อยเต้นระทึก ไม่แน่ใจว่าเหมือนกันทำไม จะว่าเสียใจก็ใช่หรือว่าอิจฉาใช่อีก แต่ที่ชัด ๆ ก็คือโกรธจนอยากเขวี้ยงก้อนหินเข้าใส่สักก้อนสองก้อนให้หายแค้น
แต่เอ๊ะ นั่นมันอาเกมิไม่ใช่หรือ อาเกมิที่เราฝากคำขอนัดของครูไปให้มาตาฮาจิจริง ๆ ด้วย อย่างนั้นก็ไม่แปลกเพราะผู้หญิงร้านน้ำชาส่วนใหญ่ใจแตกกันอย่างนี้ ว่าแต่นางสนิทสนมกับครูของเรามาตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะนี่ ครูนะครู เดี๋ยวเถอะข้าจะฟ้องโอซือให้จัดการอย่างสาสมทีเดียว
คิดแล้วโจทาโรหนุ่มน้อยก็กวาดสายตามองเข้าไปในฝูงคนที่เดินผ่านไปมา และชะโงกราวสะพานลงไปดูข้างล่างด้วย แต่ก็ไม่เห็นโอซือ
เกิดอะไรขึ้น
ทำไมยังมาไม่ถึงทั้งที่ตอนออกจากเรือนท่านคาราซูมาซึ่งอาศัยเป็นที่พักแรมเมื่อกี้นี้ โอซือเดินนำหน้ามาก่อนแท้ ๆ
โอซือมั่นใจว่าเช้านี้จะต้องได้เจอมูซาชิแน่นอน เมื่อคืนซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีนางจึงเตรียมเนื้อเตรียมตัวเต็มที่ เริ่มตั้งแต่สระผมและเกล้าผมใหม่ เอากิโมโนปีใหม่ที่คุณนายเรือนใหญ่ให้มาลองใส่ถอดเข้าถอดออก ดูตื่นเต้นจนแทบจะนอนไม่หลับละมังเพราะเห็นตื่นขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง นั่งกระสับกระส่ายคอยให้สว่างอยู่คนเดียว
สุดท้ายก็ลุกขึ้นบอกว่า
จะไปสักการะศาลเจ้ากิอง และโบสถ์ชิมิซุก่อน แล้วจึงไปที่สะพานโกโจ
ข้าไปด้วย
โจทาโรลุกตาม ตามปกติโอซือไม่เคยว่า แต่ครั้งนี้กลับถูกกีดกัน
อย่าเลย ข้ามีเรื่องอยากคุยกับมูซาชิตามลำพังนิดหนึ่ง โจทาโรไม่ต้องรีบหรอกนะ รอให้สว่างอีกสักหน่อยค่อยตามไปเจอกันที่สะพานโกโจ ไม่ต้องห่วงนะ คิดว่าพอไปถึงเจ้าก็จะได้พบข้ากับมูซาชิคอยอยู่แล้ว
โอซือพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากเรือนคาราซูมารุไปคนเดียว
โจทาโรไม่ได้โกรธหรืออารมณ์เสียแม้จะรู้สึกไม่ดีนักที่ถูกมองว่าเป็นก้างขวางคอ เพราะโตเป็นหนุ่มพอที่จะเข้าใจความรู้สึกของโอซือที่เดินทางด้วยกันมานานเป็นปี ทั้งตนเองก็เคยลิ้มรสความรู้สึกอย่างที่หนุ่มสาวพึงมีต่อกันมาแล้วกับแม่สาวน้อยโคจะ ถึงขั้นถูกเนื้อต้องตัวกันอย่างไม่รู้ประสีประสาในโรงเก็บหญ้าเลี้ยงม้า เมื่อครั้งเดินทางผ่านไปพักที่โรงเตี๊ยมฮานาโกยะในหุบเขายากิว
หนุ่มน้อยไม่ได้เรียนรู้อะไรมากนักจากประสบการณ์ครั้งนั้น ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่อย่างโอซือถึงเอาแต่ร้องไห้และเศร้าซึมเมื่อยามโพล้เพล้ยังไงก็ยังไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น ไม่เคยเข้าใจหรือเห็นใจบางครั้งยังหัวเราะขบขันด้วย แต่มาวันนี้ความรู้สึกของเจ้าหนุ่มน้อยแปลกไป เมื่อเห็นว่าผู้หญิงที่ยืนแอบอิงสะอึกสะอื้นซบอกผึ่งผายของมูซาชิอยู่นั้นไม่ใช่โอซือ แต่เป็นอาเกมิแม่สาวน้อยที่ตนไม่คาดคิดว่าจะมาพบในสภาพเช่นนี้
บอกไม่ถูก เหมือนกับโกรธ ใช่...คงโกรธนั่นแหละ โกรธแทนโอซือไง
นางคนนี้ อวดดียังไง ถึงได้มาเสนอหน้า
ครูก็ครูเถอะ ไม่เข้าท่า
โจทาโรยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธราวกับตนเป็นโอซือเสียเอง
แต่เอ โอซือไปทำอะไรอยู่ที่ไหนนะ เจอตัวละก็จะฟ้องทันทีเลย
ใจเจ้าหนุ่มน้อยกระวนกระวายขึ้นทุกที กวาดสายตาไปทั่วทั้งบนและล่างสะพาน แต่ก็ไม่พบโอซือ
ระหว่างนั้นหญิงชายที่แอบอิงกันอยู่ดูเหมือนจะเพางรู้สึกว่าตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา จึงพากันเลี่ยงหลบไปยืนเคียงกันเกาะราวตรงเชิงสะพานมองลงไปที่ลำน้ำหันหลังให้ฝูงคน ดังนั้นแม้โจทาโรจะเดินบ่นพึมพำผ่านไปในระยะกระชั้นชิดจึงมองไม่เห็น
ไม่รู้จะภาวนาขอพรพระโพธิสัตว์คันนอนอะไรกันนักกันหนา
หนุ่มน้อยเดินพลางหยุดยืนชะโงกมองไปทางโน้นทางนี้พลางจนมาถึงเชิงสะพานตรงที่มีต้นหลิวใหญ่สี่ห้าต้นเรียงรายอยู่ชายน้ำที่มักมีฝูงหงส์มาจิกปลาแม่น้ำกินเป็นอาหาร
วันนี้ไม่มีหงส์สักตัว เห็นแต่ชายหนุ่มคนหนึ่งเกล้าผมเปิดหน้าเรียบร้อยยืนพิงต้นหลิวเก่าแก่ที่รูปทรงคล้ายพญามังกรกำลังหลับไหล ทำท้าเหมือนกำลังจ้องมองอะไรสักอย่างไม่วางตา
4
มูซาชิท้าวข้อศอกบนราวสะพานเงี่ยหูฟังเรื่องราวที่อาเกมิซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ตั้งอกตั้งใจ กระซิบเล่าอย่างไม่อายที่จะเปิดเผยความจริงให้รู้กันเพียงสองคน เจ้าหนุ่มนักดาบพยักหน้าน้อย ๆ รับฟังเป็นจังหวะก็จริง แต่ไม่รู้ว่าต่ำลึกและหนักแน่นนั้นจะผ่านเข้าหูหรือไม่เพียงใด
เพราะแม้จะทำท่าว่าฟังอยู่แต่ตากลมโตทั้งคู่เพ่งมองไปที่จุดหนึ่งและจับจ้องอยู่แทบไม่กระพริบตา
นั่นไม่ใช่ภาพของหนุ่มสาวที่กำลังเจรจาภาษารักกันแน่นอน เพราะดวงตาของชายไร้แววเสน่หาเร่าร้อนอย่างสิ้นเชิง
อาเกมิตกจมอยู่กับอารมณ์ของตัวเองถามเองตอบเองไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้พะวงที่จะเฝ้าสังเกตความรู้สึกในดวงตาของเจ้าหนุ่ม สุดท้ายก็ถอนใจบอกว่า
“ข้าเล่าให้ท่านฟังจนหมดแล้ว ไม่เหลืออะไรเป็นความลับเลยสักเรื่องเดียว”
ว่าพลางเลื่อนตัวเข้ามาแอบอิง
“ปีนี้เป็นปีที่ห้าหลังสงครามที่เซกิงาฮาระ และข้าก็ได้เล่าเรื่องราวที่เกิดกับตัวเองในช่วงห้าปีที่ผ่านมาจนหมดสิ้นแล้ว และอยากบอกท่านว่าอาเกมิคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งร่างกายและความคิด”
นางทอดเสียงเครือและเริ่มร้องไห้กระซิก
“แต่ ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือความรู้สึก ข้าพูดได้เต็มปากเลยว่าความรู้สึกของข้าที่มีต่อท่านไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว เข้าใจใช่ไหมท่านมูซาชิ ท่านเข้าใจความรู้สึกของข้าใช่ไหม”
“อืม”
“เข้าใจเถิดนะ ข้าขอร้อง ข้าขอบอกอย่างไม่อายเลยว่า อาเกมิคนนี้ไม่ใช่สาวซื่อบริสุทธิ์ดั่งดอกไม้ในท้องทุ่งที่ท่านพบเป็นครั้งแรกที่เชิงเขาอิบูกิคนเดิม แต่เป็นผู้หญิงที่ถูกย่ำยีให้แปดเปื้อนมลทินจนไร้ค่า แต่อยากรู้นักว่าพรหมจรรย์นั้นอยู่ที่กายหรือใจกันแน่ หญิงที่กายบริสุทธิ์สะอาดแต่ใจใฝ่หากามารมณ์นั้นจะเรียกว่าสาวพรหมจรรย์ได้ไหม ข้าสูญเสียพรหมจรรย์ทางกายเพราะถูกชายคนหนึ่งที่ไม่อยากเอ่ยชื่อย่ำยี แต่ไม่มีใครคร่าพรหมจรรย์ทางใจของข้าได้ ใจของข้าบริสุทธิ์มาจนทุกวันนี้”
“อือม์”
“ท่านสงสารข้าหน่อยได้ไหม ท่านคือคนเดียวที่ข้าคิดที่จะเปิดใจเล่าความจริงทั้งหมด ไม่มีอะไรจะทรมานใจมากไปกว่ามีความลับกับคนที่ตนรัก ข้าคิดวกวนอยู่ทุกวันทุกคืนว่าเมื่อได้พบท่านแล้วจะเล่าให้ฟังดีหรือไม่เล่าดี จนในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะไม่ปกปิดอะไรเป็นความลับและไม่พูดเท็จกับท่าน...เข้าใจข้าไหม เห็นใจข่าไหมว่าข้าไม่มีทางเลือก ช่วยตอบหน่อยสิ หรือว่าท่านเห็นว่าข้าเป็นผู้หญิงต่ำช้าน่ารังเกียจ”
“เอ่อ”
“ช่วยตอบข้าที คิดขึ้นมาที่ไร ข้าเจ็บใจเหลือเกิน”
อาเกมิซบหน้าลงสะอื้นกับราวสะพาน
“เจ็บใจนักที่ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาขอให้ท่านรักข้า ในเมื่อกายของข้าเป็นเช่นนี้ไปแล้วจะด้านหน้ามาขอความรักจากท่านได้อย่างไร แต่ท่านมูซาชิ ใจของข้ายังครองพรหมจรรย์อยู่ดังเดิม ใจรักครั้งแรกที่ใสสะอาดดั่งไข่มุก ยังอยู่ในอกของอาเกมิคนนี้ดังเดิมเหมือน ไม่ได้สูญหายไปไหนเลยตั้งแต่แรกพบกับท่าน และจะคงอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร หรืออยู่กับชายคนไหน หัวใจของอาเกมิอยู่กับท่านตลอดกาล”
อาเกมิสะอึกสะอื้นจนเส้นผมแทบจะสั่นไหวด้วยทุกเส้น
ล่างลงไปจากราวสะพานที่นองน้ำตา สายน้ำไหลเอื่อยสะท้อนแสงแดดอ่อนยามปีใหม่เป็นประกายผ่านไปเหมือนความหวังและความฝันของมนุษย์อันไม่มีที่สิ้นสุด
“อืม”
คำออดอ้อนคร่ำครวญทำให้มูซาชิต้องพยักหน้ารับฟัง แต่ดวงตาที่มีประกายประหลาดยังจับจ้องตรงที่ไปจุดเติม
ถ้ามีใครสักคนมองตามไปก็จะพบว่าผู้ที่ตกเป็นเป้าสายตาของมูซาชิก็คือ
ซาซากิ โคจิโร
เจ้าหนุ่มผู้ยืนพิงต้นหลิวเก่าแก่อยู่ที่ชายน้ำคนนั้นเอง