นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
คิ้วหนาของมูซาชิขมวดเข้าหากัน
นี่หรือคือคำที่น้าทักทายหลายสายตรงที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานหลายปี
กลับไป กลับไปเถิด
ซ้ำยังโบกมือไล่ให้ไปเสียพ้น ๆ ด้วยท่าทีเย็นชากว่าคนแปลกหน้าเสียอีก
ตาดำโตของเจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่สลดลง ใจวาบหวิวด้วยความรันทดระคนความเวทนาความอ่อนโลกของตนเองที่หลงคิดว่าจะได้รับความอบอุ่นจากน้าที่น่าจะรักเอ็นดูตนต่อจากแม่ผู้ล่วงลับ
มูซาชิจึงตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
“ไล่ข้าข้าก็จะไป แต่น้าขอรับ พบหน้าผู้เป็นหลานที่จากกันมานานปีโดยบังเอิญที่ข้างทาง แทนที่จะยินดีแต่ทำไมถึงได้ขับไล่ไสส่งอย่างไม่ถนอมน้ำใจกันเลยเยี่ยงนี้ หากข้าเคยทำอะไรให้น้าเจ็บช้ำน้ำใจ จะดุด่าทุบตียังไงข้าก็ยอม”
ถ้อยคำของหลานชายแทงใจดำจนนางผู้เป็นน้าต้องนิ่วหน้า
“เอาละ ไหน ๆ เจ้าก็ดั้นด้นมาถึงที่นี่แล้ว ขึ้นเรือนไปพบท่านน้าเสียหน่อยก็แล้วกัน แต่เจ้าน่าจะรู้ดีว่าพวกซามูไรผู้เฒ่าหัวแข็งกันเพียงใด ข้าจึงไม่อยากให้ต้องมาเจอกับอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีถึงได้ไล่ให้ไปเสีย ถึงยังไงข้าก็เป็นน้า อย่าถือสาเลย”
เจ้าหนุ่มนักดาบใจชื้นขึ้นเมื่อน้าพูดด้วยเสียงอ่อนลงเชิงปลอบโยน และเดินตามหญิงสูงวัยขึ้นไปบนเรือน
มูซาชินั่งกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขอยู่ในห้องด้านหน้าที่เยียบเย็น ระหว่างที่น้าขอตัวเข้าไปแจ้งการมาเยือนของตนแก่สามี ไม่นานก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของมัตสึโอะ คานาเมะ ที่เกรี้ยวกราดพลางไอพลางอย่างคนเป็นโรคหืดอาการหนัก ดังลอดบานประตูเลื่อนกั้นห้องข้าง ๆ เข้ามา
“อะไรนะ มูซาชิลูกชายของมูนิไซมาที่นี่งั้นรึ มาทำไมกัน มาทำไม ว่าไงนะ ขึ้นมาบนเรือนแล้วงั้นรึ เจ้ากล้าดียังไงให้ขึ้นมาโดยไม่บอกข้าก่อน”
เจ้าหนุ่มนักดาบกำหมัดกัดฟันทนฟังต่อไปไม่ไหมแล้วจึงร้องเรียกน้าและขอลา
เท่านั้นเอง ผู้เฒ่าอดีตซามูไรก็ตวาดลั่นเท่าที่ตะเบ็งเสียงแหบแห้งขึ้นไปได้ พร้อมกับเลื่อนประตูแง้มออก
“อ้อ อยู่นี่เอง”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าอมโรคชะโงกเข้ามาขมวดคิ้วเขม้นมองเจ้าหนุ่ม ด้วยสายตาที่เจ้าขุนมูลนายมองเด็กบ้านนอกผู้บังอาจย่ำเข้ามาบนพื้นเสื่อทาทามิเหมือนวัวคลุกขี้โคลนสกปรกมาหมาด ๆ
“เอ็งมาทำอะไรที่นี่”
“พอดีเดินทางผ่านมาทางนี้ นึกขึ้นได้ก็เลยแวะมาเยี่ยมขอรับ”
“โกหก”
“เอ๊ะ”
“ไม่ต้องมาโกหก ข้ารู้ดีว่าเจ้าชั่วช้าสามานป่วนบ้านป่วนเมืองมาแล้วขนาดไหน ชาวบ้านที่มิมาซากะเกลียดขี้หน้าเจ้ากันทั้งบาง ทำลายชื่อเสียงวงตระกูลจนป่นปี้แล้วเตลิดหนีหายหัวไป”
“... ... ...”
“แล้วยังกล้ามาเสนอหน้าว่าเป็นญาติคนนั้นคนนี้ เจ้ามันคนไม่มียางอาย”
“ขออภัยท่านน้า ข้าเองก็สำนึกถึงความผิดชอบชั่วดีและตั้งใจที่จะไปขอขมาบรรพบุรุษและผู้คนที่บ้านเกิดให้ได้สักวัน”
“จนป่านนี้แล้วถึงจะกลับบ้านเกิดไปกราบไหว้วิงวอนก็ไม่มีใครเขาให้อภัยเจ้าหรอก ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วอย่างที่โบราณว่าไว้ไม่มีผิด สงสารแต่มูนิไวพ่อเจ้าที่ต้องร้องไห้ไม่หยุดอยู่ในหลุมศพ”
“น้าขอรับ ข้าต้องขอลาเสียที รบกวนมานานแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน”
คานาเมะตวาดสียงแหบ
“ข้าขอเตือนเจ้าอย่างหนึ่งว่าเจ้าขืนเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้นานไปเป็นได้โดนดีแน่ เพราะนายแม่บ้านใหญ่ของตระกูล ฮนอิเด็น ดูเหมือนว่าจะชื่อแม่เฒ่าโอซูงิออกเที่ยวตามหาตัวเจ้าให้ควั่ก เมื่อราวครึ่งปีก่อนเห็นจะได้นางมาถามหาเจ้าที่นี่ครั้งหนึ่ง ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือทีเดียว และจากนั้นก็มาอีกหลายครั้ง คาดคั้นเอากับเราสองคนแทบจะเอาชีวิตกันเลยทีเดียวว่าเจ้าอยู่ที่ไหน ท่าทางนางน่ากลัวเป็นที่สุดคงสงสัยว่าเจ้าแอบติดต่อกับเรา”
“อะไรนะ แม่เฒ่ามาที่นี่หรือขอรับ”
“แม่เฒ่าเล่าความเลวของเจ้าให้ฆ่าฟังหมดแล้ว ถ้าไม่คิดว่าเป็นญาติข้าจะจับตัวเจ้าส่งให้ถึงมือแม่เฒ่าเสียเดี๋ยวนี้ แต่ข้าทำไม่ลงหรอก นั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วก็ไปเสียภายในคืนนี้ อย่าให้เราสองคนต้องเดือดร้อนเพราะเจ้าเลย”
และแล้วมูซาชิก็เข้าใจในที่สุดว่าที่น้ากับสามีของนางเย็นชากับตนของเพราะฤทธิ์ของแม่เฒ่าโอซูงิคนนี้นี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าญาติสนิทจะคล้อยตามคำว่าร้ายของคนอื่นได้ถึงเพียงนี้ ความน้อยใจพลุ่งขึ้นมาอัดอั้นอยู่ในอกจนเจ้าหนุ่มนักดาบพูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้านิ่งด้วยความรันทด
น้าคงจะนึกสงสารจึงเข้ามาชวนไปไปพักในห้องด้านในซึ่งนับเป็นความปรานีที่สุดเท่าที่จะให้แก่หลานชายนอกคอกคนนี้ได้ มูซาชิเดินตามเข้าไปเงียบ ๆ และพอลับร่างน้า เจ้าหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนเหยียดแข้งเหยียดขาพักเหนื่อยจากการเดินทางมาหลายวัน ทั้งหวังพักเอาแรงเพราะวันรุ่งพรุ่งนี้คือวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตนมีสัญญานัดพบที่สะพานโกโจ
มูซาชิกอดดาบแน่นหวังยึดเป็นที่พึ่งในยามที่หัวใจอ้างว้างว้าเหว่ไร้ญาติขาดมิตร
2
เมื่อครู่ก่อน มูซาชิเดือดดาลขึ้นมาวูบหนึ่งเกือบจะถ่มน้ำลายใส่ชานเรือนแล้วสะบัดหน้าหนีไปเสียให้พ้น แต่ก็ระงับอารมณ์เอาไว้ได้เมื่อฉุกคิดขึ้นมาว่า น้ากับสามีของนางอาจแสดงท่าทีเช่นนั้นในฐานะที่ญาติสนิทพึงทำแก่หลานชายเกเรไม่เอาถ่านคนหนึ่งก็ได้ และเมื่อคิดได้ดังนั้นจิตใจที่ขุ่นมัวก็ค่อยแจ่มใสขึ้น
มูซาชิคิดอยู่เสมอว่าตนมีญาติสนิทที่สืบสายเลือดเดียวกันอยู่ไม่กี่คนจึงควรรักใคร่ใยดี และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือหากรู้ว่าใครตกระกำลำบาก การได้พบกับน้าครั้งนี้ทำให้เจ้าหนุ่มแคลงใจว่านั่นอาจเป็นความคิดของตนฝ่ายเดียว โดยที่คนอื่นไม่ได้คิดเช่นนั้นกับตน
ความอ่อนโลกทำให้รู้สึกเจ็บแต่ก็ได้บทเรียนอันมีค่า กระตุ้นเตือนให้เจ้าหนุ่มนักดาบสำนึกได้ว่าตนมองคนและมองโลกด้วยสายตาของคนมีประสบการณ์ชีวิตที่ตื้นเขินไม่ผิดอะไรกับเด็กน้อยไร้เดียงสาตลอดมา
ครั้งนี้ ถ้าตนมาหาน้าด้วยมาดของหนุ่มใหญ่ที่โอ่อ่ามั่งคั่ง แน่นอนว่าการต้อนรับจะต้องต่างออกไปเป็นหน้ามือกับหลังมือ แล้วอย่างนี้จะไปว่าอะไรน้าได้ในเมื่อตนโผล่ออกมาจากป่าในสภาพที่แสนจะทุเรศทุรังท่ามกลางความหนาวเหน็บ ในวันสุดท้ายของปี แค่ให้ขึ้นมานอนพักบนเรือนก็มากเกินพอแล้ว
นอนพักที่นี่แหละ
มูซาชิคิดผิดอีกและกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาคอยด้วยความหิว เมื่อได้กลิ่นอาหารโชยออกมาจากครัวและเสียงถ้วยชามกระทบกัน แต่แล้วก็ฝันสลายเพราะไม่มีใครเฉียดเข้ามาใกล้ห้องที่ตนนอนอยู่เลย ไฟในกระถางให้ความอบอุ่นมอดจนเหลือแสงริบหรี่เท่าหิ่งห้อย เจ้าหนุ่มไม่มีทางอื่นที่จะหนีให้พ้นจากความหนาวและความหิวโหยนอกจาก พลิกตัวหนุนท่อนแขนข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งกอดดาบไว้แน่นและข่มตาให้หลับ
เสียงระฆังไล่กิเลสร้อยแปดครั้งที่วัดทั้งในและนอกนครหลวงย่ำเป็นจังหวะพร้อมกันในช่วงสิ้นปี ปลุกมูซาชิให้ลืมตาตื่นขึ้นมาเงี่ยหูฟัง
การได้หลับเต็มตาราวสี่ชั่วโมงช่วยให้ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางหลายวันมลายหายไปราวกับปลิดทิ้ง สมองปลอดโปร่งแจ่มใสจนต้องยิ้มออกมาด้วยความสดชื่น
เสียงระฆังร้อยแปดครั้งไล่กิเลสร้อยแปดที่บดบังให้ใจที่มืดมนมาตลอดปีเปิดรับแสงสว่างในปีใหม่ เตือนใจให้ผู้คนทบทวนชีวิตในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และหลายคนคงคิดว่า
-ข้าทำถูกมาตลอด
-ข้าทำสิ่งที่ควรทำเสร็จสิ้น
-ข้าไม่มีอะไรให้เสียดาย
แต่สำหรับมูซาชิ เสียงระฆังแต่ละครั้งรื้อฟื้นเหตุการณ์ต่างขึ้นมาให้คิดเสียดาย เสียดายที่น่าจะทำอย่างนั้นน่าจะทำอย่างนี้ เรื่อยไปในทุกเสียงระฆัง
ไม่ใช่เฉพาะปีนี้ แต่ทุกปีก่อนหน้านี้ เสียงระฆังสิ้นปีเตือนใจให้เจ้าหนุ่มนึกถึงความผิดพลาด จนรู้สึกว่าแทบไม่มีวันไหนที่ไม่ได้ทำอะไรพลาด อันที่จริงมนุษย์เราก็มีเรื่องที่คิดแล้วน่าเสียดายกันทั้งนั้น ชายบางคนมีเมียแล้วนึกเสียดายว่ารู้อย่างนี้ไม่มีเสียดีกว่าแล้วก็อดทนกันไปจนบางครั้งก็ลืมไปว่าคิดผิด แต่ต้องไม่ลืมว่าผู้หญิงบางคนก็เสียใจเหมือนกันที่มีผัวเพียงแต่ไม่เคยคุยด้วยก็เลยไม่ได้ยินพวกหล่อนบ่น ไม่เหมือนพวกผู้ชายที่พอเหล้าเข้าปากบางคนก็นินทาเมียเสีย ๆ หาย ๆ ว่าเหมือนกับเกี๊ยะเก่า ๆ ที่อยากสะบัดทิ้งบ้างอะไรบ้าง มูซาชิยังไม่มีเมียแต่บางครั้งฟังปัญหาของพวกผู้ชายในวงสนทนาแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้เหมือนกัน
ความผิดพลาดสุดท้ายของปีคือการมาเยือนบ้านน้าในวันนี้...ไม่น่าคิดผิดเลย
เพราะความอ่อนโลกอีกนั่นแหละที่ยังหวังพึ่งญาติโกโหติกา ทั้งที่ตั้งใจอยู่ตลอดว่าจะต้องอยู่ให้ได้ด้วยพลังของตัวเอง อยู่ด้วยตัวคนเดียว คิดอะไรตื้น ๆ แบบนี้ถึงได้ไม่โตสักที บ้าจริง ๆ
ยิ่งนึกก็ยิ่งละอายใจ
“รู้แล้ว เขียนเอาไว้ดีกว่า”
มูซาชิคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเอื้อมมือไปหยิบห่อผ้าสัมภาระที่พกติดตัวทั้งยามหลับยามตื่นออกมาแก้ปมคลี่ออกหยิบของที่ต้องการ
ขณะเดียวกันนั้นเอง แม่เฒ่าในชุดเดินทางขะมุกขะมอมคนหนึ่งกำลังเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาเคาะประตูรั้วบ้าน
3
มูซาชิหยิบสมุดส่วนตัวที่ทำจากกระดาษสาพับสี่ทบใช้สำหรับบันทึกความรู้สึกที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ระหว่างเดินทางพเนจร รวมทั้งคำต่าง ๆ ที่เป็นปรัชญาเซ็น คำเตือนใจตน จดที่อยู่และภูมิประเทศไว้เตือนความจำ ทั้งยังมีภาพวาดฝีมือเหมือน เด็ก ๆ ประกอบไว้ในบางช่วงตอน
เจ้าหนุ่มฝนหมึกดำจนได้ที่แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาถือไว้ในมือและมองไปที่กระดาษสีขาวตรงหน้า
เสียงระฆังยังดังแว่วมาเป็นจังหวะ
ข้าจะไม่เสียใจกับอะไรทั้งนั้น
ทุกครั้งที่ค้นพบจุดอ่อนของตน มูซาชิจะเขียนเตือนใจตนเองเอาไว้ และเมื่อคิดว่าเขียนอย่างเดียวจะมีความหมายอะไร
เจ้าหนุ่มจึงท่องจำคำเตือนใจนั้นทุกเช้าค่ำราวกับสวดมนต์จนจำได้ขึ้นใจ
ทุกครั้งที่เขียนมูซาชิจะเลือกใช้คำที่คลองจองกันเหมือนบทกวีเพื่อให้จำได้ง่าย ครั้งนี้จึงแก้เป็น
ช้าจะไม่เสียใจ กับอะไรที่ข้าทำ
มูซาชิเขียนเสร็จและลองอ่านออกเสียงเบา แต่ก็ยังไม่ถูกใจจึงแก้อีกเป็น
ข้าจะไม่ทำอะไร ที่ทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง
เจ้าหนุ่มวางพูกันและมองข้อความในสมุดด้วยความพอใจและสัญญากับตนเองว่าจะยึดมั่นตามนั้น แต่ก็รู้ดีอยู่ว่าการที่จะบรรลุถึงจุดที่จะไม่ทำอะไรให้ตนต้องเสียใจในภายหลังอันเป็นความปรารถนาสูงสุดได้นั้น ตนยังต้องฝึกฝนทั้งกายและใจอีกมากนัก
ข้าจะต้องไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้
มูซาชิเน้นย้ำคำสัญญานั้นลึกลงไปในส่วนลึกของหัวใจ
ทันใดนั้นเอง น้าก็เลื่อนประตูเยี่ยมหน้าเข้ามากระซิบเรียกเสียงสั่นฟันกระทบกันเหมือนหนาวจนทนไม่ไหว
“มูซาชิ ข้านึกแล้วไม่มีผิด เหมือนผีพรายมากระซิบบอกว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ ข้าไม่น่าให้เจ้าพักอยู่เลย”
น้ากระหืดกระหอบแทบจะไม่มีแรงพูดต่อ
“แม่เฒ่าโอซูงิ มาเคาะประตูรั้วและพอเข้ามาเห็นรองเท้าฟางที่เจ้าถอดไว้หน้าเรือน ก็เอะอะเอ็ดตะโรแทบจะเค้นคอข้าหาว่าซ่อนตัวเจ้าไว้ที่นี่ และบังคับให้ข้าลากตัวเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ นั่นยังไงได้ยินไหม กำลังอาละวาดใหญ่ เจ้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะ มูซาชิ”
“แม่เฒ่าโอซูงิ จริง ๆ ด้วย”
เจ้าหนุ่มเงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินเสียงแหบห้าวคุ้นหูของแม่เฒ่าหัวดื้อที่กำลังด่าทอหยาบคายถี่ยิบจนฟังไม่ทัน ก้องขึ้นมาตามระเบียงทางเดิน
พระหยุดตีระฆังเป็นสัญญาณว่าวันใหม่ของปีใหม่เริ่มขึ้นแล้ว และน้ากำลังจะออกไปตักน้ำแรกแห่งปีเมื่อเป็นมงคลแก่ครัวเรือน แต่กลับต้องเผชิญกับความร้ายกาจของแม่เฒ่าเป็นสิ่งแรกของปี คิดแล้วก็น่าเห็นใจยิ่งนักและไม่แปลกอะไรที่นางจะต้องโกรธหลานชายที่เป็นเหตุให้เกิดเรื่องทั้งหมด แต่ก็จำใจต้องช่วย
“หนีไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลยเป็นดีที่สุด ตอนนี้น้าผู้ชายเขารับหน้าอยู่ ยืนกรานว่าไม่มีใครผ่านมาและคนที่นางตามหาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าหนีออกไปทางประตูหลังเถิด”
นางไล่พร้อมทั้งส่งหมวกฟางและหยิบรองเท้าแตะหนังของสามีวางให้ที่ประตูหลังเรือน
มูซาชิรีบใส่รองเท้าแตะตามที่นางเร่ง เสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าน้าก่อนพูดอย่างไม่เต็มปากว่า
“น้าขอรับ คือข้าไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ขอข้าวซาวน้ำชาสักถ้วยจะได้ไหม”
“อะไรกันอีกล่ะ ไม่มีเวลาแล้ว เอ้า เอานี่ไป แล้วก็หนีไปเสียให้พ้น”
ว่าแล้วนางก็ส่งกระดาษห่อโมจิสี่ห้าก้อนให้พร้อมกับดุนหลังหลานชายออกประตูไป
ย่างเข้าวันปีใหม่แล้วแต่ฟ้ายังมืดมิด มูซาชิเดินย่ำไปบนทางเคลือบน้ำแข็งราวกับนกอพยพปีกหัก
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
คิ้วหนาของมูซาชิขมวดเข้าหากัน
นี่หรือคือคำที่น้าทักทายหลายสายตรงที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานหลายปี
กลับไป กลับไปเถิด
ซ้ำยังโบกมือไล่ให้ไปเสียพ้น ๆ ด้วยท่าทีเย็นชากว่าคนแปลกหน้าเสียอีก
ตาดำโตของเจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่สลดลง ใจวาบหวิวด้วยความรันทดระคนความเวทนาความอ่อนโลกของตนเองที่หลงคิดว่าจะได้รับความอบอุ่นจากน้าที่น่าจะรักเอ็นดูตนต่อจากแม่ผู้ล่วงลับ
มูซาชิจึงตัดพ้อด้วยความน้อยใจ
“ไล่ข้าข้าก็จะไป แต่น้าขอรับ พบหน้าผู้เป็นหลานที่จากกันมานานปีโดยบังเอิญที่ข้างทาง แทนที่จะยินดีแต่ทำไมถึงได้ขับไล่ไสส่งอย่างไม่ถนอมน้ำใจกันเลยเยี่ยงนี้ หากข้าเคยทำอะไรให้น้าเจ็บช้ำน้ำใจ จะดุด่าทุบตียังไงข้าก็ยอม”
ถ้อยคำของหลานชายแทงใจดำจนนางผู้เป็นน้าต้องนิ่วหน้า
“เอาละ ไหน ๆ เจ้าก็ดั้นด้นมาถึงที่นี่แล้ว ขึ้นเรือนไปพบท่านน้าเสียหน่อยก็แล้วกัน แต่เจ้าน่าจะรู้ดีว่าพวกซามูไรผู้เฒ่าหัวแข็งกันเพียงใด ข้าจึงไม่อยากให้ต้องมาเจอกับอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีถึงได้ไล่ให้ไปเสีย ถึงยังไงข้าก็เป็นน้า อย่าถือสาเลย”
เจ้าหนุ่มนักดาบใจชื้นขึ้นเมื่อน้าพูดด้วยเสียงอ่อนลงเชิงปลอบโยน และเดินตามหญิงสูงวัยขึ้นไปบนเรือน
มูซาชินั่งกระสับกระส่ายไม่เป็นสุขอยู่ในห้องด้านหน้าที่เยียบเย็น ระหว่างที่น้าขอตัวเข้าไปแจ้งการมาเยือนของตนแก่สามี ไม่นานก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของมัตสึโอะ คานาเมะ ที่เกรี้ยวกราดพลางไอพลางอย่างคนเป็นโรคหืดอาการหนัก ดังลอดบานประตูเลื่อนกั้นห้องข้าง ๆ เข้ามา
“อะไรนะ มูซาชิลูกชายของมูนิไซมาที่นี่งั้นรึ มาทำไมกัน มาทำไม ว่าไงนะ ขึ้นมาบนเรือนแล้วงั้นรึ เจ้ากล้าดียังไงให้ขึ้นมาโดยไม่บอกข้าก่อน”
เจ้าหนุ่มนักดาบกำหมัดกัดฟันทนฟังต่อไปไม่ไหมแล้วจึงร้องเรียกน้าและขอลา
เท่านั้นเอง ผู้เฒ่าอดีตซามูไรก็ตวาดลั่นเท่าที่ตะเบ็งเสียงแหบแห้งขึ้นไปได้ พร้อมกับเลื่อนประตูแง้มออก
“อ้อ อยู่นี่เอง”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของผู้เฒ่าอมโรคชะโงกเข้ามาขมวดคิ้วเขม้นมองเจ้าหนุ่ม ด้วยสายตาที่เจ้าขุนมูลนายมองเด็กบ้านนอกผู้บังอาจย่ำเข้ามาบนพื้นเสื่อทาทามิเหมือนวัวคลุกขี้โคลนสกปรกมาหมาด ๆ
“เอ็งมาทำอะไรที่นี่”
“พอดีเดินทางผ่านมาทางนี้ นึกขึ้นได้ก็เลยแวะมาเยี่ยมขอรับ”
“โกหก”
“เอ๊ะ”
“ไม่ต้องมาโกหก ข้ารู้ดีว่าเจ้าชั่วช้าสามานป่วนบ้านป่วนเมืองมาแล้วขนาดไหน ชาวบ้านที่มิมาซากะเกลียดขี้หน้าเจ้ากันทั้งบาง ทำลายชื่อเสียงวงตระกูลจนป่นปี้แล้วเตลิดหนีหายหัวไป”
“... ... ...”
“แล้วยังกล้ามาเสนอหน้าว่าเป็นญาติคนนั้นคนนี้ เจ้ามันคนไม่มียางอาย”
“ขออภัยท่านน้า ข้าเองก็สำนึกถึงความผิดชอบชั่วดีและตั้งใจที่จะไปขอขมาบรรพบุรุษและผู้คนที่บ้านเกิดให้ได้สักวัน”
“จนป่านนี้แล้วถึงจะกลับบ้านเกิดไปกราบไหว้วิงวอนก็ไม่มีใครเขาให้อภัยเจ้าหรอก ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วอย่างที่โบราณว่าไว้ไม่มีผิด สงสารแต่มูนิไวพ่อเจ้าที่ต้องร้องไห้ไม่หยุดอยู่ในหลุมศพ”
“น้าขอรับ ข้าต้องขอลาเสียที รบกวนมานานแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน”
คานาเมะตวาดสียงแหบ
“ข้าขอเตือนเจ้าอย่างหนึ่งว่าเจ้าขืนเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้นานไปเป็นได้โดนดีแน่ เพราะนายแม่บ้านใหญ่ของตระกูล ฮนอิเด็น ดูเหมือนว่าจะชื่อแม่เฒ่าโอซูงิออกเที่ยวตามหาตัวเจ้าให้ควั่ก เมื่อราวครึ่งปีก่อนเห็นจะได้นางมาถามหาเจ้าที่นี่ครั้งหนึ่ง ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือทีเดียว และจากนั้นก็มาอีกหลายครั้ง คาดคั้นเอากับเราสองคนแทบจะเอาชีวิตกันเลยทีเดียวว่าเจ้าอยู่ที่ไหน ท่าทางนางน่ากลัวเป็นที่สุดคงสงสัยว่าเจ้าแอบติดต่อกับเรา”
“อะไรนะ แม่เฒ่ามาที่นี่หรือขอรับ”
“แม่เฒ่าเล่าความเลวของเจ้าให้ฆ่าฟังหมดแล้ว ถ้าไม่คิดว่าเป็นญาติข้าจะจับตัวเจ้าส่งให้ถึงมือแม่เฒ่าเสียเดี๋ยวนี้ แต่ข้าทำไม่ลงหรอก นั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วก็ไปเสียภายในคืนนี้ อย่าให้เราสองคนต้องเดือดร้อนเพราะเจ้าเลย”
และแล้วมูซาชิก็เข้าใจในที่สุดว่าที่น้ากับสามีของนางเย็นชากับตนของเพราะฤทธิ์ของแม่เฒ่าโอซูงิคนนี้นี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าญาติสนิทจะคล้อยตามคำว่าร้ายของคนอื่นได้ถึงเพียงนี้ ความน้อยใจพลุ่งขึ้นมาอัดอั้นอยู่ในอกจนเจ้าหนุ่มนักดาบพูดอะไรไม่ออกได้แต่ก้มหน้านิ่งด้วยความรันทด
น้าคงจะนึกสงสารจึงเข้ามาชวนไปไปพักในห้องด้านในซึ่งนับเป็นความปรานีที่สุดเท่าที่จะให้แก่หลานชายนอกคอกคนนี้ได้ มูซาชิเดินตามเข้าไปเงียบ ๆ และพอลับร่างน้า เจ้าหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนเหยียดแข้งเหยียดขาพักเหนื่อยจากการเดินทางมาหลายวัน ทั้งหวังพักเอาแรงเพราะวันรุ่งพรุ่งนี้คือวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตนมีสัญญานัดพบที่สะพานโกโจ
มูซาชิกอดดาบแน่นหวังยึดเป็นที่พึ่งในยามที่หัวใจอ้างว้างว้าเหว่ไร้ญาติขาดมิตร
2
เมื่อครู่ก่อน มูซาชิเดือดดาลขึ้นมาวูบหนึ่งเกือบจะถ่มน้ำลายใส่ชานเรือนแล้วสะบัดหน้าหนีไปเสียให้พ้น แต่ก็ระงับอารมณ์เอาไว้ได้เมื่อฉุกคิดขึ้นมาว่า น้ากับสามีของนางอาจแสดงท่าทีเช่นนั้นในฐานะที่ญาติสนิทพึงทำแก่หลานชายเกเรไม่เอาถ่านคนหนึ่งก็ได้ และเมื่อคิดได้ดังนั้นจิตใจที่ขุ่นมัวก็ค่อยแจ่มใสขึ้น
มูซาชิคิดอยู่เสมอว่าตนมีญาติสนิทที่สืบสายเลือดเดียวกันอยู่ไม่กี่คนจึงควรรักใคร่ใยดี และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือหากรู้ว่าใครตกระกำลำบาก การได้พบกับน้าครั้งนี้ทำให้เจ้าหนุ่มแคลงใจว่านั่นอาจเป็นความคิดของตนฝ่ายเดียว โดยที่คนอื่นไม่ได้คิดเช่นนั้นกับตน
ความอ่อนโลกทำให้รู้สึกเจ็บแต่ก็ได้บทเรียนอันมีค่า กระตุ้นเตือนให้เจ้าหนุ่มนักดาบสำนึกได้ว่าตนมองคนและมองโลกด้วยสายตาของคนมีประสบการณ์ชีวิตที่ตื้นเขินไม่ผิดอะไรกับเด็กน้อยไร้เดียงสาตลอดมา
ครั้งนี้ ถ้าตนมาหาน้าด้วยมาดของหนุ่มใหญ่ที่โอ่อ่ามั่งคั่ง แน่นอนว่าการต้อนรับจะต้องต่างออกไปเป็นหน้ามือกับหลังมือ แล้วอย่างนี้จะไปว่าอะไรน้าได้ในเมื่อตนโผล่ออกมาจากป่าในสภาพที่แสนจะทุเรศทุรังท่ามกลางความหนาวเหน็บ ในวันสุดท้ายของปี แค่ให้ขึ้นมานอนพักบนเรือนก็มากเกินพอแล้ว
นอนพักที่นี่แหละ
มูซาชิคิดผิดอีกและกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาคอยด้วยความหิว เมื่อได้กลิ่นอาหารโชยออกมาจากครัวและเสียงถ้วยชามกระทบกัน แต่แล้วก็ฝันสลายเพราะไม่มีใครเฉียดเข้ามาใกล้ห้องที่ตนนอนอยู่เลย ไฟในกระถางให้ความอบอุ่นมอดจนเหลือแสงริบหรี่เท่าหิ่งห้อย เจ้าหนุ่มไม่มีทางอื่นที่จะหนีให้พ้นจากความหนาวและความหิวโหยนอกจาก พลิกตัวหนุนท่อนแขนข้างหนึ่งอีกข้างหนึ่งกอดดาบไว้แน่นและข่มตาให้หลับ
เสียงระฆังไล่กิเลสร้อยแปดครั้งที่วัดทั้งในและนอกนครหลวงย่ำเป็นจังหวะพร้อมกันในช่วงสิ้นปี ปลุกมูซาชิให้ลืมตาตื่นขึ้นมาเงี่ยหูฟัง
การได้หลับเต็มตาราวสี่ชั่วโมงช่วยให้ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางหลายวันมลายหายไปราวกับปลิดทิ้ง สมองปลอดโปร่งแจ่มใสจนต้องยิ้มออกมาด้วยความสดชื่น
เสียงระฆังร้อยแปดครั้งไล่กิเลสร้อยแปดที่บดบังให้ใจที่มืดมนมาตลอดปีเปิดรับแสงสว่างในปีใหม่ เตือนใจให้ผู้คนทบทวนชีวิตในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และหลายคนคงคิดว่า
-ข้าทำถูกมาตลอด
-ข้าทำสิ่งที่ควรทำเสร็จสิ้น
-ข้าไม่มีอะไรให้เสียดาย
แต่สำหรับมูซาชิ เสียงระฆังแต่ละครั้งรื้อฟื้นเหตุการณ์ต่างขึ้นมาให้คิดเสียดาย เสียดายที่น่าจะทำอย่างนั้นน่าจะทำอย่างนี้ เรื่อยไปในทุกเสียงระฆัง
ไม่ใช่เฉพาะปีนี้ แต่ทุกปีก่อนหน้านี้ เสียงระฆังสิ้นปีเตือนใจให้เจ้าหนุ่มนึกถึงความผิดพลาด จนรู้สึกว่าแทบไม่มีวันไหนที่ไม่ได้ทำอะไรพลาด อันที่จริงมนุษย์เราก็มีเรื่องที่คิดแล้วน่าเสียดายกันทั้งนั้น ชายบางคนมีเมียแล้วนึกเสียดายว่ารู้อย่างนี้ไม่มีเสียดีกว่าแล้วก็อดทนกันไปจนบางครั้งก็ลืมไปว่าคิดผิด แต่ต้องไม่ลืมว่าผู้หญิงบางคนก็เสียใจเหมือนกันที่มีผัวเพียงแต่ไม่เคยคุยด้วยก็เลยไม่ได้ยินพวกหล่อนบ่น ไม่เหมือนพวกผู้ชายที่พอเหล้าเข้าปากบางคนก็นินทาเมียเสีย ๆ หาย ๆ ว่าเหมือนกับเกี๊ยะเก่า ๆ ที่อยากสะบัดทิ้งบ้างอะไรบ้าง มูซาชิยังไม่มีเมียแต่บางครั้งฟังปัญหาของพวกผู้ชายในวงสนทนาแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้เหมือนกัน
ความผิดพลาดสุดท้ายของปีคือการมาเยือนบ้านน้าในวันนี้...ไม่น่าคิดผิดเลย
เพราะความอ่อนโลกอีกนั่นแหละที่ยังหวังพึ่งญาติโกโหติกา ทั้งที่ตั้งใจอยู่ตลอดว่าจะต้องอยู่ให้ได้ด้วยพลังของตัวเอง อยู่ด้วยตัวคนเดียว คิดอะไรตื้น ๆ แบบนี้ถึงได้ไม่โตสักที บ้าจริง ๆ
ยิ่งนึกก็ยิ่งละอายใจ
“รู้แล้ว เขียนเอาไว้ดีกว่า”
มูซาชิคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเอื้อมมือไปหยิบห่อผ้าสัมภาระที่พกติดตัวทั้งยามหลับยามตื่นออกมาแก้ปมคลี่ออกหยิบของที่ต้องการ
ขณะเดียวกันนั้นเอง แม่เฒ่าในชุดเดินทางขะมุกขะมอมคนหนึ่งกำลังเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาเคาะประตูรั้วบ้าน
3
มูซาชิหยิบสมุดส่วนตัวที่ทำจากกระดาษสาพับสี่ทบใช้สำหรับบันทึกความรู้สึกที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ระหว่างเดินทางพเนจร รวมทั้งคำต่าง ๆ ที่เป็นปรัชญาเซ็น คำเตือนใจตน จดที่อยู่และภูมิประเทศไว้เตือนความจำ ทั้งยังมีภาพวาดฝีมือเหมือน เด็ก ๆ ประกอบไว้ในบางช่วงตอน
เจ้าหนุ่มฝนหมึกดำจนได้ที่แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาถือไว้ในมือและมองไปที่กระดาษสีขาวตรงหน้า
เสียงระฆังยังดังแว่วมาเป็นจังหวะ
ข้าจะไม่เสียใจกับอะไรทั้งนั้น
ทุกครั้งที่ค้นพบจุดอ่อนของตน มูซาชิจะเขียนเตือนใจตนเองเอาไว้ และเมื่อคิดว่าเขียนอย่างเดียวจะมีความหมายอะไร
เจ้าหนุ่มจึงท่องจำคำเตือนใจนั้นทุกเช้าค่ำราวกับสวดมนต์จนจำได้ขึ้นใจ
ทุกครั้งที่เขียนมูซาชิจะเลือกใช้คำที่คลองจองกันเหมือนบทกวีเพื่อให้จำได้ง่าย ครั้งนี้จึงแก้เป็น
ช้าจะไม่เสียใจ กับอะไรที่ข้าทำ
มูซาชิเขียนเสร็จและลองอ่านออกเสียงเบา แต่ก็ยังไม่ถูกใจจึงแก้อีกเป็น
ข้าจะไม่ทำอะไร ที่ทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง
เจ้าหนุ่มวางพูกันและมองข้อความในสมุดด้วยความพอใจและสัญญากับตนเองว่าจะยึดมั่นตามนั้น แต่ก็รู้ดีอยู่ว่าการที่จะบรรลุถึงจุดที่จะไม่ทำอะไรให้ตนต้องเสียใจในภายหลังอันเป็นความปรารถนาสูงสุดได้นั้น ตนยังต้องฝึกฝนทั้งกายและใจอีกมากนัก
ข้าจะต้องไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้
มูซาชิเน้นย้ำคำสัญญานั้นลึกลงไปในส่วนลึกของหัวใจ
ทันใดนั้นเอง น้าก็เลื่อนประตูเยี่ยมหน้าเข้ามากระซิบเรียกเสียงสั่นฟันกระทบกันเหมือนหนาวจนทนไม่ไหว
“มูซาชิ ข้านึกแล้วไม่มีผิด เหมือนผีพรายมากระซิบบอกว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ ข้าไม่น่าให้เจ้าพักอยู่เลย”
น้ากระหืดกระหอบแทบจะไม่มีแรงพูดต่อ
“แม่เฒ่าโอซูงิ มาเคาะประตูรั้วและพอเข้ามาเห็นรองเท้าฟางที่เจ้าถอดไว้หน้าเรือน ก็เอะอะเอ็ดตะโรแทบจะเค้นคอข้าหาว่าซ่อนตัวเจ้าไว้ที่นี่ และบังคับให้ข้าลากตัวเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ นั่นยังไงได้ยินไหม กำลังอาละวาดใหญ่ เจ้าต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะ มูซาชิ”
“แม่เฒ่าโอซูงิ จริง ๆ ด้วย”
เจ้าหนุ่มเงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินเสียงแหบห้าวคุ้นหูของแม่เฒ่าหัวดื้อที่กำลังด่าทอหยาบคายถี่ยิบจนฟังไม่ทัน ก้องขึ้นมาตามระเบียงทางเดิน
พระหยุดตีระฆังเป็นสัญญาณว่าวันใหม่ของปีใหม่เริ่มขึ้นแล้ว และน้ากำลังจะออกไปตักน้ำแรกแห่งปีเมื่อเป็นมงคลแก่ครัวเรือน แต่กลับต้องเผชิญกับความร้ายกาจของแม่เฒ่าเป็นสิ่งแรกของปี คิดแล้วก็น่าเห็นใจยิ่งนักและไม่แปลกอะไรที่นางจะต้องโกรธหลานชายที่เป็นเหตุให้เกิดเรื่องทั้งหมด แต่ก็จำใจต้องช่วย
“หนีไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลยเป็นดีที่สุด ตอนนี้น้าผู้ชายเขารับหน้าอยู่ ยืนกรานว่าไม่มีใครผ่านมาและคนที่นางตามหาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าหนีออกไปทางประตูหลังเถิด”
นางไล่พร้อมทั้งส่งหมวกฟางและหยิบรองเท้าแตะหนังของสามีวางให้ที่ประตูหลังเรือน
มูซาชิรีบใส่รองเท้าแตะตามที่นางเร่ง เสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าน้าก่อนพูดอย่างไม่เต็มปากว่า
“น้าขอรับ คือข้าไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน ขอข้าวซาวน้ำชาสักถ้วยจะได้ไหม”
“อะไรกันอีกล่ะ ไม่มีเวลาแล้ว เอ้า เอานี่ไป แล้วก็หนีไปเสียให้พ้น”
ว่าแล้วนางก็ส่งกระดาษห่อโมจิสี่ห้าก้อนให้พร้อมกับดุนหลังหลานชายออกประตูไป
ย่างเข้าวันปีใหม่แล้วแต่ฟ้ายังมืดมิด มูซาชิเดินย่ำไปบนทางเคลือบน้ำแข็งราวกับนกอพยพปีกหัก