นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
อูเอดะ เรียวเฮหนึ่งในสิบศิษย์เอกสำนักโยชิโอกะท้าทายเกรี้ยวกราดวางอำนาจบาตรใหญ่ ชายหางตาไปที่กลุ่มเจ้าหนี้ราวกับเป็นมูลฝอยโสโครก ไม่สำนึกถึงความรับผิดชอบเลยสักนิดว่าพวกตนอยู่ในฐานะลูกหนี้ที่ต้องชำระเงินคืน ฝ่ายพ่อค้าและนายเงินต่างมองหน้ากันทำหน้าบึ้งตึงตาขวางด้วยความขัดเคืองใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมารับคำท้า
นายเงินรายใหญ่กัดฟันกรอด อาฆาตแค้นแทนสมัครพรรคพวกอยู่ในใจ
หนอยแน่...ตอนจะกู้ยืมเงินละก็พูดดีทำพินอบพิเทา แต่พอเขาจะเรียกเงินคืนละก็บ่ายเบี่ยง ให้รอจนกว่าทางสำนักจะสะดวก ใครรอไม่ได้ก็มาเจรจากันในโรงฝึกอย่างนั้นรึ...นี่มันเท่ากับมัดมือชกกันชัด ๆ
การที่พวกเราเหล่าพ่อค้าและนายเงินยอมให้สำนักโยชิโอกะติดหนี้ยืมสินมาเป็นปี ๆ ก็เพราะความเชื่อถือที่มีต่อท่าน โยชิโอกะ เค็มโปเจ้าสำนักคนก่อน ที่ได้รับความไว้วางใจจากตระกูลโชกุนมูโรมาจิผู้ยิ่งใหญ่ทั่วแว่นแคว้นให้เป็นสำนักดาบฝึกวิทยายุทธ์ให้แก่นักรบในกองทัพ ด้วยบารมีของท่านเค็มโปที่คุ้มหัวอยู่คนที่นี่อยู่ พวกเราจึงไม่เคยขัดข้องไม่ว่าจะมายืมเงินหรือสินค้า มาดื่มกินและขอติดไว้ พอทวงถามเมื่อถึงกำหนดต้องใช้คืนก็ผัดผ่อนให้มาพรุ่งนี้บ้าง มะรืนนี้บ้างเราก็จำต้องก้มหัวผงก ๆ ยอมถอยกลับไป แต่ความอดทนของคนเราย่อมมีขีดจำกัด
ถึงจะเอาคมดาบมาขู่แต่ลูกหนี้ก็คือลูกหนี้ หากพวกเราถอยหนีกลับไปเมืองทั้งเมืองก็จะอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าพวกซามูไรจะยังหยิ่งผยองคิดว่าอยู่ได้โดยไม่มีชาวเมืองก็ลองดูแล้วกัน
ยิ่งคิดลึกลงไปเหล่าเจ้าหนี้ก็ยิ่งหัวร้อน เสียงบ่นที่แต่แรกแค่พึมพำนั้นเริ่มเอะอะขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเสียงก่นด่าและชูกำปั้น
อูเอดะ เรียวเฮปรายตามองไปที่กลุ่มชาวเมืองที่เป็นเจ้าหนี้และนายเงินอย่างหยามเหยียดราวกับพวกนั้นเป็นธุลีดิน และตวาดเสียงก้อง
“ไป ไป กลับไปได้แล้ว ถึงจะเอะอะเอ็ดตะโรเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ ไปให้พ้น”
เจ้าหนี้และนายเงินหยุดส่งเสียงเอะอะแต่ทุกคนยืนหยัดตั้งหลักมั่นไม่มีใครขยับ
“เฮ้ย จับพวกมันโยนออกไปเดี๋ยวนี้”
เรียวเฮหันไปสั่งศิษย์คู่ใจ พอได้ยินดังนั้นนายเงินหนุ่มคนหนึ่งก็สิ้นความอดทน
“โหดเกินไปแล้วนะท่าน”
“โหดยังไง”
“ยังจะมาถาม ก็ที่สำรากออกไปนั่น”
“ใคร สำรากอะไร”
“ก็ที่สั่งสมุนให้จับพวกเราโยนออกไปไงล่ะ บัดซบที่สุด”
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ไปดี ๆ ก็ต้องใช้กำลังกันบ้าง เรากำลังยุ่งหัวปั่นเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี จะมาเอะอะหาอะไร”
“ก็เพราะเป็นวันสุดท้ายของปีน่ะซี พวกเราถึงได้พากันมาทวงเงินคืนจะได้ปิดบัญชีให้ทันสิ้นปี”
“คนที่สำนักกำลังยุ่งไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้า กลับไปเสีย”
“คำแก้ตัวอย่างนี้ก็มีด้วยรึ”
“เอ๊ะ ไอ้นี่ชักจะกำเริบ”
“ท่านก็แค่ชำระหนี้ให้พวกเราเท่านั้น ไม่มีใครคิดกำเริบเสิบสานกับท่านหรอก”
“พูดดีนัก มานี่สิ”
“จะให้ข้าไปไหน”
“อยากลองดีนักไม่ใช่รึ”
“บ้ารึเปล่า”
“เจ้ากล้าดียังไงมาว่าข้าบ้า”
“ข้าไม่ได้ว่าท่าน แต่พูดถึงการที่ท่านขู่จะใช้กำลังกับเราต่างหาก”
“หยุด”
เรียวเฮตวาดลั่น ขยุ้มคอเสื้อกิโมโนของเจ้าหนี้หนุ่มที่ยังไม่ทันระวังตัว เหวี่ยงออกไปนอกประตูด้วยกำลังแรง ทำเอากลุ่มเจ้าหนี้แตกฮือ สองสามคนหลบไม่ทันจึงถูกเจ้าคนที่ถูกเหวี่ยงออกไปล้มทับกันระนาว
“ใครมีปัญหาอะไรอีกไหม ถ้ามีก็ก้าวออกมาเลย แต่ขอให้รู้เอาไว้ว่าข้าไม่ยอมให้พ่อค้าหน้าเลือดคนไหนเอาบัญชี
มาร่อนใส่หน้ากันอย่างไม่เกรงใจอย่างนี้ แล้วก็อย่าคิดมานั่งชุมนุมต่อต้านกันที่หน้าประตูสำนักด้วย เรื่องนี้ถึงนายน้อย
จะบอกให้จ่าย แต่ข้าเรียวเฮคนนี้ก็ไม่จ่าย ถ้าใครข้องใจก็เรียงหน้ากันออกมาเลย”
สุดท้ายเจ้าหนี้และนายเงินผู้มีแต่พลังทรัพย์ก็ต้องพ่ายแพ้พลังอาวุธพากันถอยร่นออกมาจากประตูโรงฝึกวิชาดาบ แต่แม้จะไม่มีฝีมือฝีเท้าด้านการสู้รบแต่ฝีปากนั้นเฉียบขาดนัก โดยเฉพาะคำสาปแช่งที่มักจะเป็นจริงเสียด้วย
“คอยดูเถิด อีกไม่นานก็จะต้องเอากระดาษมาแปะที่ประตูว่าเรือนหลังนี้ขาย ข้าจะตบมือหัวเราะให้ฟันคลอนเลย ทีเดียว”
“ข้าก็ว่าอีกไม่นานเกินรอ”
“พวกเราก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
คิดได้ไง ไอ้พวกมดปลวก
เรียวเฮแว่วเสียงสาปแช่งให้หลังของเจ้าหนี้และนายเงินแล้วหัวเราะงอหายด้วยความขบขัน หน้าตาจึงแจ่มใสเมื่อเดินตามพรรคพวกเข้าไปยังห้องด้านในที่เซจูโรนั่งฟังความอยู่
เจ้าสำนักนั่งหน้าขรึมอยู่คนเดียวข้างกระถางทำความอบอุ่น
“นายน้อยนั่งเงียบเชียว เป็นอะไรไปหรือเปล่า”
เรียวเฮทักก่อนทรุดตัวลงนั่งห่างออกไป
“ไม่มีอะไร”
เซจูโรตอบพร้อมกับปรับสีหน้าให้ดีขึ้นเมื่อศิษย์คู่ใจหกเจ็ดคนเข้ามาชุมนุมอยู่รายรอบ
“วันเวลาใกล้เข้ามาเต็มทีแล้วนะ”
“ใช่ ใกล้เข้ามามากแล้ว พวกเราจึงได้พากันมาขอคำปรึกษาว่าจะกำหนดวันเวลาและสถานที่กันยังไง จะได้แจ้งไป ยังมูซาชิ คู่ประลองยุทธ์ของเรา”
“งั้นรึ”
ว่าแล้วเซจูโรก็นิ่งคิด
2
มูซาชิแจ้งความจำนงมาในจดหมายว่า ขอให้ทางสำนักดาบโยชิโอกะเป็นผู้กำหนดสถานที่และวันเวลาการประลองฝีมือดาบ แล้วเขียนป้ายไปปักไว้ที่เชิงสะพานโกโจภายในช่วงต้นเดือนหนึ่งของปีใหม่
“อย่างแรกเลยคือสถานที่”
เซจูโรเจ้าสำนักดาบโยชิโอกะเปรยออกมาเบา ๆ
“ข้าคิดว่าทุ่งเร็นไดจิทางเหนือของนครหลวงน่าจะดี พวกเจ้าจะว่ายังไง”
“ดีขอรับ แล้ววันเวลาล่ะ”
“จะเอาช่วงที่ยังประดับต้นสนปีใหม่กันอยู่หรือว่าหลังจากเก็บกันแล้วดี”
“ข้าคิดว่าเร็ว ๆ ดีกว่า เจ้ามูซาชิจะได้ไม่มีเวลาวางแผนโฉดเขลา”
“งั้นก็วันที่แปด”
“วันที่แปด ดีทีเดียว คิดว่าเป็นวันมงคลเพราะตรงกับวันครบรอบวันถึงแก่กรรมของท่านบิดา”
“อ้าว แล้วจะดีไปได้ยังไง เอาเช้าวันที่เก้าเวลาเจ็ดนาฬิกาดีกว่า ตามนี้นะ”
“ขอรับ เดี๋ยวเราเขียนป้ายตามที่นายน้อยกำหนดไปปักไว้ที่สะพานโกโจคืนนี้เลย”
“ดี”
“นายน้อยเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับมือแล้วนะขอรับ”
ในฐานะเจ้าสำนัก เซจูโรไม่มีคำตอบอื่นให้เลือกนอกจาก
“พร้อมอยู่แล้ว”
การประลองยุทธ์ครั้งนี้ เซจูโรไม่ให้ราคามูซาชิมากไปกว่านักดาบบ้านนอกคนหนึ่งและไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ผ่านเข้ามาในห้วงคิดแม้แต่น้อยนิด นายน้อยของสำนักดาบโยชิโอกะผู้นี้มั่นใจในฝีมือดาบที่เค็มโปผู้เป็นบิดาสอนและฝึกให้ด้วยตนเอง แทบจะพร้อมกับที่มารดาสอนให้ใช้ตะเกียบ จนบัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสำนักผู้มีวิทยายุทธ์ที่ไม่มีศิษย์ผู้ใดไม่ว่าใหญ่หรือน้อยไม่อาจเทียมทัน
ทว่า...ระยะนี้เซจูโรต้องยอมรับว่า บางครั้งก็รู้สึกหวั่นไหววูบขึ้นมา บางครั้งก็วุ่นวายใจคิดนั่นคิดนี่ปั่นป่วนไปหมด แต่ก็เข้าใจเอาเองว่าความรู้สึกที่บั่นทอนขวัญกำลังใจนั้นไม่ได้เกิดจากการอ่อนซ้อมวิชาดาบ แต่เป็นผลกระทบจากเรื่องส่วนตัวมากกว่า และสาเหตุใหญ่ที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกจากแม่สาวน้อยคนนั้น
เซจูโรเดือดเนื้อร้อนใจกับเหตุการณ์ที่ชายทะเลซูมิโยชิมากอยู่แล้ว และพอรีบกลับมาเกียวโตทันทีที่ได้รับหมายท้าประลองฝีมือจากมูซาชิ ก็พบว่ากิอองโทจิผู้เป็นศิษย์เอกคนสนิทหนีหายไปกับนางโอโคแม่ม่ายกร้านโลกและพร้อมทั้งเชิดเงินทุนที่เรี่ยรายมาได้ไปด้วย และวันนี้ก็ได้ประจักษ์แล้วว่าอาการเนื้อร้ายในขุมคลังของสำนักกำเริบรุนแรงขึ้นจนเกินกว่าจะเยียวยา แล้วอย่างนี้จะให้จิตใจของเซจูโรสงบลงได้อย่างไร
แม้จะไม่ให้ราคาคู่ต่อสู้สูงถึงขนาดต้องเตรียมนักดาบสำรองไว้เป็นมือสอง แต่เซจูโรก็อดรู้สึกว้าเหว่ไม่ได้เมื่อซาซากิ โคจิโร นักดาบหนุ่มรูปงามที่คิดว่าพอจะพึ่งพาได้มาหายหน้าไป ส่วนเด็นชิจิโรน้องชายก็ไม่เข้าใกล้ให้เห็นหน้า ทั้งบรรยากาศเมื่อใกล้สิ้นปีก็ยังเป็นใจให้อ้างว้างหดหู่ลงไปอีก
“ช่วยดูหน่อยขอรับนายน้อย คิดว่าน่าจะใช้ได้แล้ว”
อูเอดะ เรียวเฮเดินถือป้ายที่ช่วยกันเขียนกับพรรคพวกเพิ่งเสร็จหมาด ๆ หมึกดำยังไม่ทันแห้งดี ออกจากห้องข้าง ๆ เข้ามาให้ดู
คำตอบ
เราขอรับคำท้าประลองฝีมือดาบจากท่าน
สถานที่, ทุ่งเร็นไดจิทางเหนือของนครหลวง
วันเวลา, วันที่เก้าของปีใหม่ เวลาเช้าเจ็ดนาฬิกา
และเราสัญญาว่าจะไปประลองฝีมือกับท่าน
ณ สถานที่และวันเวลาที่กำหนดนั้น
กรณีท่านไม่มาปรากฏตัว
เราจะถือสิทธิประณามหยามเกียรติท่านต่อสาธารณชน
และหากเราผิดสัญญาก็ขอให้เทพเจ้าลงโทษโดยพลัน
ให้ไว้ ณ คืนสุดท้ายในปีที่ 9 แห่งรัชสมัยเคโจ
เขียนโดย, เซจูโร เจ้าสำนักรุ่นที่สองของโยชิโอกะ เค็มโป แห่งเกียวโต
แจ้งมายัง, มิยาโมโตะ มูซาชิ ซามูไรแห่งมิมาซากะ
“อืม ก็ดีนี่”
เซจูโรพยักหน้า รู้สึกแช่มชื่นและมีกำลังใจขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนี้
พอได้รับอนุมัติ อูเอดะ เรียวเฮก็ถือป้ายเดินอาด ๆ นำหน้าศิษย์สองสามคนมุ่งหน้าไปทางสะพานโกโจ ในยามโพล้เพล้ของวันสุดท้ายแห่งปี
3
ซามูไรแห่งมิมาซากะผู้ถูกระบุชื่อในแผ่นไม้เขียนคำตอบรับคำท่าประลองฝีมือดาบที่ปักอยู่เชิงสะพานโกโจ กำลังเดินอยู่ในละแวกบ้านเชิงเขาโยชิดะซึ่งผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นซามูไรเชื้อสายตระกูลสูงแต่รายได้น้อย ตัวเรือนและซุ้มประตูที่สร้างอย่างเรียบง่ายสะท้อนการใช้ชีวิตอย่างสมถะ สงบและสันติสุขไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
มูซาชิกำลังเดินหาเรือนของใครสักคน
หลังนี้ก็ไม่ใช่ หลังนั้นก็ไม่ใช่
นักดาบหนุ่มร่างใหญ่เดินอ่านป้ายชื่อที่เสาซุ้มประตูไปเรื่อย ๆ จนแทบหมดความพยายาม
หรือว่าย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ไม่รู้
มูซาชิเคยเห็นน้าหญิงของตนครั้งเดียวในงานศพของมูนิไซผู้เป็นพ่อ แม้จะจำหน้าไม่ได้เลยเพราะตอนนั้นยังเป็นเด็ก แต่ก็ระลึกอยู่เสมอว่านอกจากโอกินพี่สาวแล้วตนยังมีน้าหญิงเป็นคนสายเลือดเดียวกันอยู่อีกคนหนึ่งในโลก และพอมาถึงเกียวโตเจ้าหนุ่มก็นึกถึงนางขึ้นมาเป็นอย่างแรก
เจ้าหนุ่มจำได้ว่าน้าหญิงออกเรือนไปกับนักรบระดับปลายแถวในสังกัดตระกูลโคโนเอะ และคิดว่าพอมาที่ชุมชนละแวกเชิงเขาโยชิดะแล้วคงหาพบทันที แต่พอมาเข้าจริง ๆ กลับไม่ง่ายเท่าที่คิด เพราะเรือนแต่ละหลังสร้างเหมือน ๆ กันไปหมด และแม้จะเป็นเรือนหลังเล็ก ๆ แต่ก็อยู่ลึกเข้าไปในหมู่ไม้และซุ้มประตูก็ปิดสนิท บางบ้านก็ติดป้ายชื่อบางบ้านก็ไม่มี จะถามใครก็ยากเพราะตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามายังไม่เจอใครสักคน
น้าอาจย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้ เลิกหาดีกว่า
มูซาชิล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาต่อจึงหันหลังกลับและมุ่งหน้าเข้าเมือง ท้องฟ้ายามเย็นปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกทำให้แสงไฟจากตลาดนัดปลายปีเป็นสีแดงไปทั่ว นครหลวงในยามเย็นของวันสิ้นปีคับคั่งไปด้วยผู้คนที่ยังมาจับจ่ายซื้อของกันจอแจ สายตาและท่าทางของผู้คนดูเร่งรีบลุกลนกว่าวันอื่น ๆ
ขณะที่กำลังเดินฝ่าฝูงคนอยู่นั้นเอง เจ้าหนุ่มก็ต้องชะงักและเหลียวไปมองผู้หญิงท่าทางเป็นคุณนายคนหนึ่งที่เดินสวนกันไป
เอ๊ะ ?
เจ้าหนุ่มไม่ได้เจอหน้าน้าหญิงมานานอย่างน้อยก็เจ็ดแปดปี แต่ท่าทางอย่างนั้นจะต้องเป็นน้องของแม่ที่แต่งงานและออกจากหมู่บ้านซาโยโกแคว้นบันชูอันเป็นบ้านเกิดมาอยู่ที่นครหลวง
เหมือนมาก
มูซาชิยังไม่ทักทันทีแม้จะคิดว่าใช่ แต่เดินตามหลังไปเพื่อให้แน่ใจกว่านั้น
หญิงร่างเล็กวัยเกือบสี่สิบกอดห่อข้าวของที่จับจ่ายมาจากตลาดนัดปลายปี เดินเลี้ยวไปตามทางเปลี่ยวของหมู่บ้านที่ มูซาชิเพิ่งจะเดินจากมาเมื่อครู่ก่อน
“น้า”
เจ้าหนุ่มร้องเรียกเมื่อเดินมาทันกันกลางทาง คุณนายซามูไรชะงักและหันมามองอย่างหวาด ๆ แต่พอเห็นหน้ากันชัด ๆ นางก็เพ่งพิศอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วก็เบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด ดวงตานั้นแห้งผากอย่างคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างอัตคัดไม่มีสิ่งจรรโลงใจ
“นี่ นี่เจ้า...มูซาชิลูกชายท่านมูนิไซใช่ไหม”
มูซาชิไม่คิดว่าน้าหญิงที่ไม่ได้เจอกันมานานตั้งแต่สมัยเด็กจะเรียกตนว่ามูซาชิ แทนที่จะเรียกอย่างคนที่สนิทกันว่าทาเกโซ ทำให้รู้สึกห่างเหิน
“ขอรับ กระผมคือชินเม็น ทาเกโซ”
น้าหญิงปลายตาดูทั่วตัวหลานชายแต่ไม่ได้ออกปากอย่างญาติผู้ใหญ่ทั่วไปเช่นว่า ไม่ได้เห็นตั้งนานโตเป็นหนุ่มใหญ่เลยนะเจ้า หรือว่า เปลี่ยนไปมาก ไม่มีเค้าตอนเด็ก ๆ เลยนะเจ้า ได้แต่ถามด้วยเสียงเยียบเย็นว่า
“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ถ้อยคำนั้นแสลงหูคนถูกถามทำให้รู้สึกเหมือนกำลังทำอะไรผิด
มูซาชิจากกับแม่ผู้ให้กำเนิดตั้งแต่ยังเด็กจึงจำอะไรเกี่ยวกับแม่แทบไม่ได้ น้ำคำของน้าหญิงทำให้เจ้าหนุ่มคิดว่าแม่ตนก็คงเป็นคนพูดจาแบบนี้ คงจะเป็นคนมีน้ำเสียงเดียวกัน รูปร่าง ดวงตา ผมเผ้า ก็คงจำคล้ายกันอย่างนี้ และภาพของน้าหญิงตรงหน้าก็ทาบทับลงเป็นภาพเดียวกันกับภาพแม่ในจินตนาการ
“ไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ พอดีผ่านมาทางเกียวโตจึงคิดถึงน้าหญิงขึ้นมา เพราะได้ยินว่าอยู่แถวนี้”
“เจ้าจะมาหาน้าที่เรือนรึ”
“ขอรับ ต้องขอโทษน้าหญิงด้วยที่มาหาโดยไม่ได้บอกกล่าว”
พอได้ยินดังนั้น น้าหญิงก็สวนขึ้นทันที
“ไม่ต้องมาถึงเรือนหรอก พบกันแค่นี้พอแล้ว เสร็จธุระแล้วก็กลับไป กลับไปเถิด”
ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นโบกไล่
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
อูเอดะ เรียวเฮหนึ่งในสิบศิษย์เอกสำนักโยชิโอกะท้าทายเกรี้ยวกราดวางอำนาจบาตรใหญ่ ชายหางตาไปที่กลุ่มเจ้าหนี้ราวกับเป็นมูลฝอยโสโครก ไม่สำนึกถึงความรับผิดชอบเลยสักนิดว่าพวกตนอยู่ในฐานะลูกหนี้ที่ต้องชำระเงินคืน ฝ่ายพ่อค้าและนายเงินต่างมองหน้ากันทำหน้าบึ้งตึงตาขวางด้วยความขัดเคืองใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมารับคำท้า
นายเงินรายใหญ่กัดฟันกรอด อาฆาตแค้นแทนสมัครพรรคพวกอยู่ในใจ
หนอยแน่...ตอนจะกู้ยืมเงินละก็พูดดีทำพินอบพิเทา แต่พอเขาจะเรียกเงินคืนละก็บ่ายเบี่ยง ให้รอจนกว่าทางสำนักจะสะดวก ใครรอไม่ได้ก็มาเจรจากันในโรงฝึกอย่างนั้นรึ...นี่มันเท่ากับมัดมือชกกันชัด ๆ
การที่พวกเราเหล่าพ่อค้าและนายเงินยอมให้สำนักโยชิโอกะติดหนี้ยืมสินมาเป็นปี ๆ ก็เพราะความเชื่อถือที่มีต่อท่าน โยชิโอกะ เค็มโปเจ้าสำนักคนก่อน ที่ได้รับความไว้วางใจจากตระกูลโชกุนมูโรมาจิผู้ยิ่งใหญ่ทั่วแว่นแคว้นให้เป็นสำนักดาบฝึกวิทยายุทธ์ให้แก่นักรบในกองทัพ ด้วยบารมีของท่านเค็มโปที่คุ้มหัวอยู่คนที่นี่อยู่ พวกเราจึงไม่เคยขัดข้องไม่ว่าจะมายืมเงินหรือสินค้า มาดื่มกินและขอติดไว้ พอทวงถามเมื่อถึงกำหนดต้องใช้คืนก็ผัดผ่อนให้มาพรุ่งนี้บ้าง มะรืนนี้บ้างเราก็จำต้องก้มหัวผงก ๆ ยอมถอยกลับไป แต่ความอดทนของคนเราย่อมมีขีดจำกัด
ถึงจะเอาคมดาบมาขู่แต่ลูกหนี้ก็คือลูกหนี้ หากพวกเราถอยหนีกลับไปเมืองทั้งเมืองก็จะอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าพวกซามูไรจะยังหยิ่งผยองคิดว่าอยู่ได้โดยไม่มีชาวเมืองก็ลองดูแล้วกัน
ยิ่งคิดลึกลงไปเหล่าเจ้าหนี้ก็ยิ่งหัวร้อน เสียงบ่นที่แต่แรกแค่พึมพำนั้นเริ่มเอะอะขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเสียงก่นด่าและชูกำปั้น
อูเอดะ เรียวเฮปรายตามองไปที่กลุ่มชาวเมืองที่เป็นเจ้าหนี้และนายเงินอย่างหยามเหยียดราวกับพวกนั้นเป็นธุลีดิน และตวาดเสียงก้อง
“ไป ไป กลับไปได้แล้ว ถึงจะเอะอะเอ็ดตะโรเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ ไปให้พ้น”
เจ้าหนี้และนายเงินหยุดส่งเสียงเอะอะแต่ทุกคนยืนหยัดตั้งหลักมั่นไม่มีใครขยับ
“เฮ้ย จับพวกมันโยนออกไปเดี๋ยวนี้”
เรียวเฮหันไปสั่งศิษย์คู่ใจ พอได้ยินดังนั้นนายเงินหนุ่มคนหนึ่งก็สิ้นความอดทน
“โหดเกินไปแล้วนะท่าน”
“โหดยังไง”
“ยังจะมาถาม ก็ที่สำรากออกไปนั่น”
“ใคร สำรากอะไร”
“ก็ที่สั่งสมุนให้จับพวกเราโยนออกไปไงล่ะ บัดซบที่สุด”
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ไปดี ๆ ก็ต้องใช้กำลังกันบ้าง เรากำลังยุ่งหัวปั่นเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของปี จะมาเอะอะหาอะไร”
“ก็เพราะเป็นวันสุดท้ายของปีน่ะซี พวกเราถึงได้พากันมาทวงเงินคืนจะได้ปิดบัญชีให้ทันสิ้นปี”
“คนที่สำนักกำลังยุ่งไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้า กลับไปเสีย”
“คำแก้ตัวอย่างนี้ก็มีด้วยรึ”
“เอ๊ะ ไอ้นี่ชักจะกำเริบ”
“ท่านก็แค่ชำระหนี้ให้พวกเราเท่านั้น ไม่มีใครคิดกำเริบเสิบสานกับท่านหรอก”
“พูดดีนัก มานี่สิ”
“จะให้ข้าไปไหน”
“อยากลองดีนักไม่ใช่รึ”
“บ้ารึเปล่า”
“เจ้ากล้าดียังไงมาว่าข้าบ้า”
“ข้าไม่ได้ว่าท่าน แต่พูดถึงการที่ท่านขู่จะใช้กำลังกับเราต่างหาก”
“หยุด”
เรียวเฮตวาดลั่น ขยุ้มคอเสื้อกิโมโนของเจ้าหนี้หนุ่มที่ยังไม่ทันระวังตัว เหวี่ยงออกไปนอกประตูด้วยกำลังแรง ทำเอากลุ่มเจ้าหนี้แตกฮือ สองสามคนหลบไม่ทันจึงถูกเจ้าคนที่ถูกเหวี่ยงออกไปล้มทับกันระนาว
“ใครมีปัญหาอะไรอีกไหม ถ้ามีก็ก้าวออกมาเลย แต่ขอให้รู้เอาไว้ว่าข้าไม่ยอมให้พ่อค้าหน้าเลือดคนไหนเอาบัญชี
มาร่อนใส่หน้ากันอย่างไม่เกรงใจอย่างนี้ แล้วก็อย่าคิดมานั่งชุมนุมต่อต้านกันที่หน้าประตูสำนักด้วย เรื่องนี้ถึงนายน้อย
จะบอกให้จ่าย แต่ข้าเรียวเฮคนนี้ก็ไม่จ่าย ถ้าใครข้องใจก็เรียงหน้ากันออกมาเลย”
สุดท้ายเจ้าหนี้และนายเงินผู้มีแต่พลังทรัพย์ก็ต้องพ่ายแพ้พลังอาวุธพากันถอยร่นออกมาจากประตูโรงฝึกวิชาดาบ แต่แม้จะไม่มีฝีมือฝีเท้าด้านการสู้รบแต่ฝีปากนั้นเฉียบขาดนัก โดยเฉพาะคำสาปแช่งที่มักจะเป็นจริงเสียด้วย
“คอยดูเถิด อีกไม่นานก็จะต้องเอากระดาษมาแปะที่ประตูว่าเรือนหลังนี้ขาย ข้าจะตบมือหัวเราะให้ฟันคลอนเลย ทีเดียว”
“ข้าก็ว่าอีกไม่นานเกินรอ”
“พวกเราก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
คิดได้ไง ไอ้พวกมดปลวก
เรียวเฮแว่วเสียงสาปแช่งให้หลังของเจ้าหนี้และนายเงินแล้วหัวเราะงอหายด้วยความขบขัน หน้าตาจึงแจ่มใสเมื่อเดินตามพรรคพวกเข้าไปยังห้องด้านในที่เซจูโรนั่งฟังความอยู่
เจ้าสำนักนั่งหน้าขรึมอยู่คนเดียวข้างกระถางทำความอบอุ่น
“นายน้อยนั่งเงียบเชียว เป็นอะไรไปหรือเปล่า”
เรียวเฮทักก่อนทรุดตัวลงนั่งห่างออกไป
“ไม่มีอะไร”
เซจูโรตอบพร้อมกับปรับสีหน้าให้ดีขึ้นเมื่อศิษย์คู่ใจหกเจ็ดคนเข้ามาชุมนุมอยู่รายรอบ
“วันเวลาใกล้เข้ามาเต็มทีแล้วนะ”
“ใช่ ใกล้เข้ามามากแล้ว พวกเราจึงได้พากันมาขอคำปรึกษาว่าจะกำหนดวันเวลาและสถานที่กันยังไง จะได้แจ้งไป ยังมูซาชิ คู่ประลองยุทธ์ของเรา”
“งั้นรึ”
ว่าแล้วเซจูโรก็นิ่งคิด
2
มูซาชิแจ้งความจำนงมาในจดหมายว่า ขอให้ทางสำนักดาบโยชิโอกะเป็นผู้กำหนดสถานที่และวันเวลาการประลองฝีมือดาบ แล้วเขียนป้ายไปปักไว้ที่เชิงสะพานโกโจภายในช่วงต้นเดือนหนึ่งของปีใหม่
“อย่างแรกเลยคือสถานที่”
เซจูโรเจ้าสำนักดาบโยชิโอกะเปรยออกมาเบา ๆ
“ข้าคิดว่าทุ่งเร็นไดจิทางเหนือของนครหลวงน่าจะดี พวกเจ้าจะว่ายังไง”
“ดีขอรับ แล้ววันเวลาล่ะ”
“จะเอาช่วงที่ยังประดับต้นสนปีใหม่กันอยู่หรือว่าหลังจากเก็บกันแล้วดี”
“ข้าคิดว่าเร็ว ๆ ดีกว่า เจ้ามูซาชิจะได้ไม่มีเวลาวางแผนโฉดเขลา”
“งั้นก็วันที่แปด”
“วันที่แปด ดีทีเดียว คิดว่าเป็นวันมงคลเพราะตรงกับวันครบรอบวันถึงแก่กรรมของท่านบิดา”
“อ้าว แล้วจะดีไปได้ยังไง เอาเช้าวันที่เก้าเวลาเจ็ดนาฬิกาดีกว่า ตามนี้นะ”
“ขอรับ เดี๋ยวเราเขียนป้ายตามที่นายน้อยกำหนดไปปักไว้ที่สะพานโกโจคืนนี้เลย”
“ดี”
“นายน้อยเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับมือแล้วนะขอรับ”
ในฐานะเจ้าสำนัก เซจูโรไม่มีคำตอบอื่นให้เลือกนอกจาก
“พร้อมอยู่แล้ว”
การประลองยุทธ์ครั้งนี้ เซจูโรไม่ให้ราคามูซาชิมากไปกว่านักดาบบ้านนอกคนหนึ่งและไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ผ่านเข้ามาในห้วงคิดแม้แต่น้อยนิด นายน้อยของสำนักดาบโยชิโอกะผู้นี้มั่นใจในฝีมือดาบที่เค็มโปผู้เป็นบิดาสอนและฝึกให้ด้วยตนเอง แทบจะพร้อมกับที่มารดาสอนให้ใช้ตะเกียบ จนบัดนี้ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสำนักผู้มีวิทยายุทธ์ที่ไม่มีศิษย์ผู้ใดไม่ว่าใหญ่หรือน้อยไม่อาจเทียมทัน
ทว่า...ระยะนี้เซจูโรต้องยอมรับว่า บางครั้งก็รู้สึกหวั่นไหววูบขึ้นมา บางครั้งก็วุ่นวายใจคิดนั่นคิดนี่ปั่นป่วนไปหมด แต่ก็เข้าใจเอาเองว่าความรู้สึกที่บั่นทอนขวัญกำลังใจนั้นไม่ได้เกิดจากการอ่อนซ้อมวิชาดาบ แต่เป็นผลกระทบจากเรื่องส่วนตัวมากกว่า และสาเหตุใหญ่ที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกจากแม่สาวน้อยคนนั้น
เซจูโรเดือดเนื้อร้อนใจกับเหตุการณ์ที่ชายทะเลซูมิโยชิมากอยู่แล้ว และพอรีบกลับมาเกียวโตทันทีที่ได้รับหมายท้าประลองฝีมือจากมูซาชิ ก็พบว่ากิอองโทจิผู้เป็นศิษย์เอกคนสนิทหนีหายไปกับนางโอโคแม่ม่ายกร้านโลกและพร้อมทั้งเชิดเงินทุนที่เรี่ยรายมาได้ไปด้วย และวันนี้ก็ได้ประจักษ์แล้วว่าอาการเนื้อร้ายในขุมคลังของสำนักกำเริบรุนแรงขึ้นจนเกินกว่าจะเยียวยา แล้วอย่างนี้จะให้จิตใจของเซจูโรสงบลงได้อย่างไร
แม้จะไม่ให้ราคาคู่ต่อสู้สูงถึงขนาดต้องเตรียมนักดาบสำรองไว้เป็นมือสอง แต่เซจูโรก็อดรู้สึกว้าเหว่ไม่ได้เมื่อซาซากิ โคจิโร นักดาบหนุ่มรูปงามที่คิดว่าพอจะพึ่งพาได้มาหายหน้าไป ส่วนเด็นชิจิโรน้องชายก็ไม่เข้าใกล้ให้เห็นหน้า ทั้งบรรยากาศเมื่อใกล้สิ้นปีก็ยังเป็นใจให้อ้างว้างหดหู่ลงไปอีก
“ช่วยดูหน่อยขอรับนายน้อย คิดว่าน่าจะใช้ได้แล้ว”
อูเอดะ เรียวเฮเดินถือป้ายที่ช่วยกันเขียนกับพรรคพวกเพิ่งเสร็จหมาด ๆ หมึกดำยังไม่ทันแห้งดี ออกจากห้องข้าง ๆ เข้ามาให้ดู
คำตอบ
เราขอรับคำท้าประลองฝีมือดาบจากท่าน
สถานที่, ทุ่งเร็นไดจิทางเหนือของนครหลวง
วันเวลา, วันที่เก้าของปีใหม่ เวลาเช้าเจ็ดนาฬิกา
และเราสัญญาว่าจะไปประลองฝีมือกับท่าน
ณ สถานที่และวันเวลาที่กำหนดนั้น
กรณีท่านไม่มาปรากฏตัว
เราจะถือสิทธิประณามหยามเกียรติท่านต่อสาธารณชน
และหากเราผิดสัญญาก็ขอให้เทพเจ้าลงโทษโดยพลัน
ให้ไว้ ณ คืนสุดท้ายในปีที่ 9 แห่งรัชสมัยเคโจ
เขียนโดย, เซจูโร เจ้าสำนักรุ่นที่สองของโยชิโอกะ เค็มโป แห่งเกียวโต
แจ้งมายัง, มิยาโมโตะ มูซาชิ ซามูไรแห่งมิมาซากะ
“อืม ก็ดีนี่”
เซจูโรพยักหน้า รู้สึกแช่มชื่นและมีกำลังใจขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนี้
พอได้รับอนุมัติ อูเอดะ เรียวเฮก็ถือป้ายเดินอาด ๆ นำหน้าศิษย์สองสามคนมุ่งหน้าไปทางสะพานโกโจ ในยามโพล้เพล้ของวันสุดท้ายแห่งปี
3
ซามูไรแห่งมิมาซากะผู้ถูกระบุชื่อในแผ่นไม้เขียนคำตอบรับคำท่าประลองฝีมือดาบที่ปักอยู่เชิงสะพานโกโจ กำลังเดินอยู่ในละแวกบ้านเชิงเขาโยชิดะซึ่งผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นซามูไรเชื้อสายตระกูลสูงแต่รายได้น้อย ตัวเรือนและซุ้มประตูที่สร้างอย่างเรียบง่ายสะท้อนการใช้ชีวิตอย่างสมถะ สงบและสันติสุขไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
มูซาชิกำลังเดินหาเรือนของใครสักคน
หลังนี้ก็ไม่ใช่ หลังนั้นก็ไม่ใช่
นักดาบหนุ่มร่างใหญ่เดินอ่านป้ายชื่อที่เสาซุ้มประตูไปเรื่อย ๆ จนแทบหมดความพยายาม
หรือว่าย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ไม่รู้
มูซาชิเคยเห็นน้าหญิงของตนครั้งเดียวในงานศพของมูนิไซผู้เป็นพ่อ แม้จะจำหน้าไม่ได้เลยเพราะตอนนั้นยังเป็นเด็ก แต่ก็ระลึกอยู่เสมอว่านอกจากโอกินพี่สาวแล้วตนยังมีน้าหญิงเป็นคนสายเลือดเดียวกันอยู่อีกคนหนึ่งในโลก และพอมาถึงเกียวโตเจ้าหนุ่มก็นึกถึงนางขึ้นมาเป็นอย่างแรก
เจ้าหนุ่มจำได้ว่าน้าหญิงออกเรือนไปกับนักรบระดับปลายแถวในสังกัดตระกูลโคโนเอะ และคิดว่าพอมาที่ชุมชนละแวกเชิงเขาโยชิดะแล้วคงหาพบทันที แต่พอมาเข้าจริง ๆ กลับไม่ง่ายเท่าที่คิด เพราะเรือนแต่ละหลังสร้างเหมือน ๆ กันไปหมด และแม้จะเป็นเรือนหลังเล็ก ๆ แต่ก็อยู่ลึกเข้าไปในหมู่ไม้และซุ้มประตูก็ปิดสนิท บางบ้านก็ติดป้ายชื่อบางบ้านก็ไม่มี จะถามใครก็ยากเพราะตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามายังไม่เจอใครสักคน
น้าอาจย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้ เลิกหาดีกว่า
มูซาชิล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาต่อจึงหันหลังกลับและมุ่งหน้าเข้าเมือง ท้องฟ้ายามเย็นปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกทำให้แสงไฟจากตลาดนัดปลายปีเป็นสีแดงไปทั่ว นครหลวงในยามเย็นของวันสิ้นปีคับคั่งไปด้วยผู้คนที่ยังมาจับจ่ายซื้อของกันจอแจ สายตาและท่าทางของผู้คนดูเร่งรีบลุกลนกว่าวันอื่น ๆ
ขณะที่กำลังเดินฝ่าฝูงคนอยู่นั้นเอง เจ้าหนุ่มก็ต้องชะงักและเหลียวไปมองผู้หญิงท่าทางเป็นคุณนายคนหนึ่งที่เดินสวนกันไป
เอ๊ะ ?
เจ้าหนุ่มไม่ได้เจอหน้าน้าหญิงมานานอย่างน้อยก็เจ็ดแปดปี แต่ท่าทางอย่างนั้นจะต้องเป็นน้องของแม่ที่แต่งงานและออกจากหมู่บ้านซาโยโกแคว้นบันชูอันเป็นบ้านเกิดมาอยู่ที่นครหลวง
เหมือนมาก
มูซาชิยังไม่ทักทันทีแม้จะคิดว่าใช่ แต่เดินตามหลังไปเพื่อให้แน่ใจกว่านั้น
หญิงร่างเล็กวัยเกือบสี่สิบกอดห่อข้าวของที่จับจ่ายมาจากตลาดนัดปลายปี เดินเลี้ยวไปตามทางเปลี่ยวของหมู่บ้านที่ มูซาชิเพิ่งจะเดินจากมาเมื่อครู่ก่อน
“น้า”
เจ้าหนุ่มร้องเรียกเมื่อเดินมาทันกันกลางทาง คุณนายซามูไรชะงักและหันมามองอย่างหวาด ๆ แต่พอเห็นหน้ากันชัด ๆ นางก็เพ่งพิศอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วก็เบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด ดวงตานั้นแห้งผากอย่างคนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างอัตคัดไม่มีสิ่งจรรโลงใจ
“นี่ นี่เจ้า...มูซาชิลูกชายท่านมูนิไซใช่ไหม”
มูซาชิไม่คิดว่าน้าหญิงที่ไม่ได้เจอกันมานานตั้งแต่สมัยเด็กจะเรียกตนว่ามูซาชิ แทนที่จะเรียกอย่างคนที่สนิทกันว่าทาเกโซ ทำให้รู้สึกห่างเหิน
“ขอรับ กระผมคือชินเม็น ทาเกโซ”
น้าหญิงปลายตาดูทั่วตัวหลานชายแต่ไม่ได้ออกปากอย่างญาติผู้ใหญ่ทั่วไปเช่นว่า ไม่ได้เห็นตั้งนานโตเป็นหนุ่มใหญ่เลยนะเจ้า หรือว่า เปลี่ยนไปมาก ไม่มีเค้าตอนเด็ก ๆ เลยนะเจ้า ได้แต่ถามด้วยเสียงเยียบเย็นว่า
“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ถ้อยคำนั้นแสลงหูคนถูกถามทำให้รู้สึกเหมือนกำลังทำอะไรผิด
มูซาชิจากกับแม่ผู้ให้กำเนิดตั้งแต่ยังเด็กจึงจำอะไรเกี่ยวกับแม่แทบไม่ได้ น้ำคำของน้าหญิงทำให้เจ้าหนุ่มคิดว่าแม่ตนก็คงเป็นคนพูดจาแบบนี้ คงจะเป็นคนมีน้ำเสียงเดียวกัน รูปร่าง ดวงตา ผมเผ้า ก็คงจำคล้ายกันอย่างนี้ และภาพของน้าหญิงตรงหน้าก็ทาบทับลงเป็นภาพเดียวกันกับภาพแม่ในจินตนาการ
“ไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ พอดีผ่านมาทางเกียวโตจึงคิดถึงน้าหญิงขึ้นมา เพราะได้ยินว่าอยู่แถวนี้”
“เจ้าจะมาหาน้าที่เรือนรึ”
“ขอรับ ต้องขอโทษน้าหญิงด้วยที่มาหาโดยไม่ได้บอกกล่าว”
พอได้ยินดังนั้น น้าหญิงก็สวนขึ้นทันที
“ไม่ต้องมาถึงเรือนหรอก พบกันแค่นี้พอแล้ว เสร็จธุระแล้วก็กลับไป กลับไปเถิด”
ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นโบกไล่