นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เจ้าหมาล่าสัตว์คงได้กลิ่นสัตว์อะไรสักอย่างที่น่าขย้ำเป็นเหยื่อถึงได้เห่ากรรโชก ตะกายฝาตะกายพื้นระเบียงโบสถ์พยายามที่จะเผ่นเข้าหน้าต่างไปให้ได้ขนาดนั้น โคจิโรเลี่ยงไปที่ประตู แนบหน้ามองผ่านซี่ลูกกรงเข้าไปแต่ไม่เห็นอะไรเพราะภายในโบสถ์มืดมิดเหมือนโถก้นลึกที่ว่างเปล่า
นักดาบหนุ่มจึงเลื่อนประตูเปิดออกดังแกรก เจ้าหมาล่าสัตว์หยุดเห่าหุบเขี้ยวทันทีที่ได้ยิน และพอเห็นว่าเป็นใครก็กระดิกหางรี่เข้าพันแข้งพันขา
“ไปให้พ้น”
โคจิโรเตะมันกระเด็นไปทางหนึ่ง แต่เจ้าหมาดุไม่ยอมแพ้พอพลิกตัวตั้งหลักได้ก็พุ่งตัวแหวกชายกิโมโนของคนที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู ตัดหน้าเฉียดฉิวเข้าไปก่อนเข้าไป
ทันใดนั้นเอง
นักดาบหนุ่มก็ได้ยินผู้หญิงกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ดังก้องออกมาจากความมืดมิดลึกเข้าไปในตัวโบสถ์
เสียงแหลมสูงแสบแก้มหูดังกรี๊ด...กรี๊ดไม่หยุดแข่งกับเสียงเห่าอย่างจะเอาชีวิตของหมาล่าสัตว์ที่กำลังบ้าคลั่ง เสียงระคนกันรุนแรงอย่างน่ากลัวว่าโบสถ์จะถล่มทะลายลงมา
“เฮ้ย”
โคจิโรถลันเข้าไปจึงรู้ทันทีว่าอะไรคือเป้าหมายของเจ้าหมาล่าสัตว์
และเห็นผู้หญิงเจ้าของเสียงกรีดแหลมกระชั้นถี่แสบแก้วหูคนนั้น
อาเกมินอนร้องกรี๊ด ๆ อยู่ใต้ผ้าห่มขาดวิ่น
เจ้าลิงน้อยกระโจนหนีหมาดุเข้ามาทางหน้าต่างและซุกตัวซ่อนอยู่ข้างหลังสาวน้อย
เจ้าหมาดุกวดตามเข้ามาประชิดตัวอาเกมิ อ้าปากแยกเขี้ยวขาวหมายพิฆาตเหยื่อ
อาเกมิยันตัวขึ้นเบียดตัวกับข้างฝา หลับตากรี๊ดสุดเสียง
โคจิโรเตะเจ้าหมาล่าสัตว์เข้าที่กลางลำตัวสุดแรง ในพริบตาเดียวกับที่ปากกว้างงับเขี้ยวขาวราวคมมีดลงขย้ำเหยื่อ และอาเกมิล้มลงไปดิ้นอยู่กับพื้น
“โอ๊ย โอ๊ย ช่วยด้วย”
เสียงกรีดร้องเปลี่ยนเป็นเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวดระคนตื่นตระหนกขณะดิ้นเร่า ๆ เพราะต้นแขนข้างซ้ายยังอยู่ในปากหมาดุที่อ้าปากกว้างงับเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ไอ้หมาบ้า”
โคจิโรเลือดขึ้นหน้าเตะเข้าไปที่กลางตัวหมาล่าสัตว์เต็มแรงอีกครั้ง
หมาล่าสัตว์ตัวนั้นสิ้นฤทธิ์ขาดใจตายไปตั้งแต่โดนเตะครั้งแรกแล้ว ดังนั้นแม้โคจิโรจะเตะอีกกี่ครั้งก็ไม่อาจทำให้มันอ้าปากปล่อยแขนของอาเกมิได้
“ปล่อย ปล่อย”
อาเกมิดิ้นเร่าพลางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เจ้าลิงน้อยกระโจนจากที่ซ่อนเมื่อสิ้นเสียงเห่าของศัตรูตัวร้าย ออกมายืนตาแป๋วมองเหตุการณ์
โคจิโรกางอุ้งมือทั้งสองตะปบไปที่ปากหมาแล้วง้างออกด้วยกำลังแรง เสียงกระดูกหักดังกร๊อบและหากเพิ่มแรงอีกเพียงนิดเดียวหัวเจ้าหมาเคราะห์ร้ายจะต้องแบะออกเป็นสองซีกแน่นอน นักดาบหนุ่มเหวี่ยงศพหมาออกไปทางหน้าต่างแล้วรีบทรุดตัวลงนั่งข้างสาวน้อย
“ไม่เป็นไรแล้วนะ”
แต่ต้นแขนของอาเกมิไม่ได้อยู่ในสภาพห่างไกลจาก ไม่เป็นไรแล้ว มากนัก
เลือดที่ผุดขึ้นมาจากบาดแผลอาบต้นแขนขาวนวลโดดเด่นราวกับโบตั๋นสีแดงสดดอกใหญ่ สีแดงของเลือดและสีขาวผ่องของเนื้อสาวทำให้ใจโคจิโรพลอยสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดไปด้วย
“ที่นี่มีเหล้าสาเกไหม จะได้เอามาล้างแผล”
โคจิโรถามพลางมองไปรอบ ๆ และพอบีบต้นแขนคนเจ็บเลือดอุ่น ๆ ก็ไหลลงมาโดนมือ
“ไม่น่ามี แล้วจะทำยังไงกันล่ะนี่ ถ้าติดเชื้อโรคจากฟันหมาเข้าไปต้องแย่แน่ ระยะนี้ท่าทางมันดูบ้า ๆ พิกลอยู่เสียด้วย”
นักดาบหนุ่มบ่นพึมพำระหว่างคิดหาทางฆ่าเชื้อที่บาดแผล อาเกมิได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้วก้มหัวต่ำลงจนเห็นต้นคอขาวผ่องและร้องครางเสียงกระเส่า
“นี่ฉันถูกหมาบ้ากัดรึ ถูกหมากัดก็ต้องเป็นบ้าเหมือนหมาน่ะซี ดี...ดีเลย ฉันกำลังอยากเป็นบ้าอยู่พอดี อยากเป็นบ้า”
ว่าแล้วก็เงยหน้าโชกน้ำตาขึ้นมากรีดร้องราวกับเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ
“อยากเป็นบ้า ได้ยินไหม ฉันอยากเป็นบ้า
“อย่าพูดเล่นได้ไหม”
โคจิโรดุเสียงเขียว และก่อนที่อาเกมิจะรู้ตัวเจ้าหนุ่มก็ก้มลงดูดเลือดที่แผลบนเนื้อนวลต้นแขนของนาง พอเต็มปากแล้วบ้วนทิ้ง ดูดแล้วบ้วนทิ้งเป็นจังหวะ
2
ค่ำแล้ว พระวณิพกกลับมาจากบิณฑบาต เปิดประตูโบสถ์แล้วร้องทักเข้าไปในความมืดสลัว
“อาเกมิ อาตมากลับมาแล้ว อยู่คนเดียวทั้งวันคงจะเหงาละซี”
ทันซาเอมอนวางยา อาหารและน้ำมันที่แวะซื้อติดมือมาเอาที่มุมโบสถ์ ก่อนเอื้อมมือไปที่ตะเกียงก่อนบอกว่า
“รอนิดหนึ่งนะ อาตมาจะจุดตะเกียงให้”
แต่พอโบสถ์สว่างขึ้นพระวณิพกก็ใจหาย
“เอ๊ะ อาเกมิหายไปไหน อาเกมิ...อาเกมิ”
เมื่อเรียกเท่าไรก็ไม่มีคำตอบและเที่ยวหาไปทุกซอกทุกมุมก็ไม่เห็น
ความโกรธจึงพลุ่งขึ้นมาอัดอั้นอยู่ในอก เมื่อสาวน้อยตอบแทนความรักใคร่ใยดีของตนด้วยความเยียบเย็นไม่เห็นใจ ยามค่ำที่มืดสลัวอยู่แล้วนั้นยิ่งมืดลงราวโลกกำลังจะดับไปกับตา
ทันซาเอมอนสะกดจิตสะกดใจอยู่นานกว่าความโกรธจะบรรเทาลง แต่พอใจจะสงบลงบ้างความว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวก็แผ่ซ่านเข้ามาแทนที่ หมดแรงหมดกำลังใจจนต้องล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผากนึกถึงตัวเองแล้วอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ
ทันซาเอมอน...เจ้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ความกระชุ่มกระชวยของวัยหนุ่มจากร่างนี้ไปนาน พอ ๆ กับความทะเยอทะยานที่จะได้เป็นใหญ่เป็นโตและปรารถนาที่จะได้มีลาภยศสรรเสริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป หันมามองตัวเองสิ...เจ้าคือพระวณิพกแก่ชราที่กำลังหมดสภาพลงไปทุกที ใครจะมาสนใจ...ใครจะมาใยดี แม้แต่แม่สาวน้อยที่อุตส่าห์ช่วยให้พ้นปากเหยี่ยวปากกามากับมือ...พระวณิพกน้ำตาคลอด้วยความรันทด
“อาเกมิ อาตมาดีกับเจ้าถึงเพียงนั้นแล้ว ทำไมถึงได้ทิ้งกันไปได้ลงคอโดยไม่บอกลาเลยสักคำ หรือว่าโลกเราเปลี่ยนไปจนผู้คนโดยเฉพาะพวกหนุ่มสาวจะเย็นชาไร้น้ำใจกันไปหมดแล้ว หรือว่านางจะเคลือบแคลงสงสัยไม่ไว้ใจเรา”
และขณะที่กำลังคิดน้อยใจและมองไปทางที่นอนของอาเกมินั้นเอง ทันซาเอมอนก็เหลือบไปเห็นเศษผ้าชิ้นหนึ่งคล้ายผ้าคาดกิโมโนที่ถูกใครฉีดขาดและ...มีรอยเลือดติดอยู่
ความคาดเดาตามสัญชาตญาณของผู้ชายทำเอาทันซาเอมอนหน้ามืดด้วยความริษยาที่พลุ่งขึ้นมาทันทีที่เห็น
ชายสูงวัยผลุดลุกขึ้นยืนจังก้า เตะเสื่อที่ปูนอนไปทางหนึ่ง ฉวยยาและข้าวของที่ซื้อมาเหวี่ยงทิ้งออกไปทางหน้าต่าง แล้วหยุดยืนหอบทำตาขวาง
ทันซาเอมอนหิวเพราะออกบิณฑบาตทั้งวันไม่มีอะไรตกถึงท้องแต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะหาอะไรกิน พอตั้งสติได้ก็ถอนใจใหญ่และหยิบขลุ่ยชากูฮาจิออกไปนั่งที่ชานระเบียงโบสถ์
พระวณิพกเป่าขลุ่ยอยู่นานเท่านานโดยไม่หยุดพักหวังจะให้ช่วยล้างกิเสสตัณหา แต่เสียงขลุ่ยนั้นกลับสะท้อนเป็นเสียงสารภาพของตนเองเข้าไปในจิตใจที่อ้างว้าง...โลกีย์ปรารถนาของมนุษย์เรานั้น คือธาตุแท้ที่สิงสู่อยู่ในเรือนกาย แม้จะแสดงออกมาในหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่มีวันหมดสิ้นไปจนกว่าจะถูกฝังลงในสุสาน...
เอาเถอะ คิดเสียว่าดวงชะตาของแม่สาวน้อยคือต้องตกไปเป็นของชายอื่น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องเก็บมาครุ่นคิดถึงศีลธรรมและความถูกต้องตลอดคืนจนไม่ได้หลับได้นอน
ความรู้สึกสับสนจะว่าเสียดายก็ไม่ใช่โกรธตัวเองก็ไม่เชิงที่วนเวียนหาจุดจบไม่ได้อยู่ในใจตนนั้นคือกิเลส ทันซาเอมอนพยายามที่จะให้เสียงขลุ่ยชากูฮาจิปัดเป่ากิเลสเหล่านั้นออกไปเพื่อให้ใจผ่องแผ้ว แต่ความที่สันดานเป็นคนใจหยาบช้า ถึงพยายามเพียงใดเสียงขลุ่ยไม้ไผ่แห่งเซ็น ก็ไม่ใสขึ้นมา
“หลวงพ่อ ทำไมคืนนี้มานั่งเป่าขลุ่ยสบายอารมณ์อยู่คนเดียวเล่า ไปบิณฑบาตในเมืองคงได้มาหลาย ถ้าซื้อเหล้าสาเกกลับมาด้วยละก็ แบ่งให้ข้าสักจอกจะไหม”
ชายขอทานขาพิการยื่นหน้าออกมาทักจากใต้ถุนโบสถ์ที่ยึดเป็นที่ซุกหัวนอนไปวัน ๆ และน่าจะเป็นคนเดียวในโลกที่มอง ชีวิตความเป็นอยู่ของทันซาเอมอนที่อยู่ในโบสถ์ข้างบนด้วยความอิจฉา
“เออ เจอเอ็งก็ดีแล้ว เอ็งรู้ไหมว่านางหนูที่ข้าพามาที่นี่เมื่อวานน่ะหายไปไหน”
“ฮะฮ้า แม่คนสวยน่ะรึ หลวงพอปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง เป็นข้าละก็ไม่มีวันหรอก”
“ถ้ารู้ก็บอกมาเร็ว ๆ อย่ามัวร่ำไร”
“เมื่อเช้า พอหลวงพ่อคล้อยหลังไป ก็มีซามูไรหนุ่มรูปงามปล่อยผมปรกหน้าผาก คาดดาบยาวมากไว้ข้างหลังมีลูกลิง
เกาะบ่าข้างหนึ่ง เอานางพาดป่าอีกข้างหนึ่งเดินไปทางโน้น”
“ซามูไรไว้ผมปรกหน้าผากน่ะรึเป็นคนพานางไป”
“ใช่ หนุ่มรูปงามท่าทางไม่เลว หล่อกว่าท่าน หล่อกว่าข้า”
ว่าแล้วชายพิการส่งเสียงหัวเราะชอบใจขึ้นมาจากใต้โบสถ์...ไม่รู้ว่าขำอะไรเหมือนกัน
3
เซจูโรส่งเหยี่ยวล่าเหยื่อที่เกาะอยู่บนกำปั้นให้ลูกศิษย์ทันทีที่กลับมาถึงโรงฝึกชิโจ
“เอาไปผูกไว้ที่ต้นไม้ของมัน”
แล้วจึงถอดรองเท้าแตะฟางก้าวเข้าไปในโรงฝึก ทำหน้าขมึงทึงเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดี ตาเฉียบคมราวมีดโกนจนลูกศิษย์ไม่กล้าเข้าใกล้ คนที่เข้าไปช่วยรับหมวกฟางกับเทน้ำให้ล้างเท้าก็ระวังตัวกับแจกลัวทำผิดจังหวะ แต่ก็มีคนใจกล้าถามขึ้นว่า
“แล้วท่านโคจิโรที่ไปด้วยกันไม่กลับมาด้วยหรือขอรับ”
“เดี๋ยวคงตามกลับมาละมัง เกิดพลัดกันตรงทุ่งหญ้า ข้าคอยอยู่นานไม่มาสักทีก็เลยกลับมาก่อน”
เซจูโรผลัดเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเข้าไปนั่งอยู่ในห้องพักผ่อน มองข้ามสวนไปที่โรงฝึกใหญ่ซึ่งปิดอยู่หลังการประลองฝีมือเมื่อวันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสองและจะเปิดอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ
โรงฝึกใหญ่ที่ลูกศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะเกือบหนึ่งพันคนเข้าออกและมีเสียงดาบไม้กระทบกันทั้งวันตลอดปี คอนนี้เงียบกริบราวกับบ้านร้าง
“ยังไม่กลับมาอีกรึ”
เซจูโรร้องถามออกไปทุกครั้งที่มีลูกศิษย์เดินผ่านมา
“ยังไมเห็นเลยขอรับ”
วันนี้ เซจูโรวางแผนไว้ว่าพอกลับจากล่าสัตว์ก็จะขอให้โคจิโรเป็นคู่ซ้อมเพื่อลับฝีมือเตรียมไว้ต่อกรกับมูซาชิในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่รอจนเย็นจนค่ำและจนวันรุ่งขึ้นนักดาบหนุ่มรูปงามก็ไม่กลับมา
จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของปี
ยังไม่ทันเที่ยงห้องโถงของโรงฝึกวิชาดาบที่ชิโจก็เนืองแน่นไปด้วยเจ้าหนี้ ชาวเมืองที่เป็นเจ้าหนี้ปกติเคยอ่อนน้อมถ่อมตนถ้อยทีถ้อยอาศัย พอถึงตอนนี้ต่างหมดความอดทนที่จะรักษามารยาท เปลี่ยนมาตีหน้ายักษ์ตะโกนทวงหน้ากันเสียงขรม
“หนี้ก้อนนี้จะว่ายังไง อย่าบอกนะว่าเจ้าสำนักไม่อยู่ ข้าไม่เชื่อ”
“คิดจะหนีหนี้หรือไง”
“ถ้าเป็นหนี้ที่ค้างชำระไปครึ่งหลังของปีนี้ก็จะยอมผัดผ่อนให้เพราะเห็นแก่บุญคุณของท่านเจ้าสำนักคนก่อน แต่นี่อะไรกัน หนี้เมื่อปีก่อนและเมื่อต้นปีนี้ก็ยังไม่ชำระ รอไม่ไหวแล้ว”
เจ้าหนี้รายใหญ่ตบสมุดบัญชีดังปัง ๆ ด้วยท่าทางโกรธจัด
เจ้าหนี้เงินเชื่อของสำนักดาบโยชิโอกะมีทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่ช่างไม้ ช่างก่ออิฐ ไปจนถึงร้านขายข้าว ขายเหล้าสาเก ร้านกิโมโน ไปจนถึงร้านน้ำชาที่เซจูโรพากลุ่มศิษย์คู่ใจไปดื่มกินและหาความบันเทิงเริงรมย์ แต่หนี้ส่วนของเซจูโรนั้นยังนับว่าเป็นหนี้รายเล็ก ๆ ไม่เหมือนเด็นชิจิโรน้องชายที่กู้ยืมเงินสดแบบต้องเสียดอกเบี้ยแพง ๆ ตามอำเภอใจโดยที่พี่ชายไม่ล่วงรู้ และนั่นคือความหายนะอย่างแท้จริง
“พวกลูกศิษย์พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไปเชิญท่านเซจูโรออกมาพบพวกเราเดี๋ยวนี้”
เจ้าหน้ารายใหญ่สี่ห้าคนยื่นคำขาด
เซจูโรเก็บตัวเงียบอยู่หลังเรือน ส่วนเด็นชิจิโรนั้นรู้ตัวดีว่าจะเฉียดเข้าใกล้บ้านในยามนี้ไม่ได้เด็ดขาด
คนที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการเงินและบัญชีของสำนักดาบที่ควรต้องออกมารับหน้าในสถานการณ์เช่นนี้คือกิองโชจิ
กิองโชจิคนสำคัญผู้นี้ได้ออกเดินทางไปเรี่ยรายเงินสนับสนุนจากสำนักดาบสาขาในต่างแคว้น แต่พอกลับมาก็หายตัวไปกับนางโอโคแห่งร้านน้ำชาโยโมงิพร้อมกับเงินที่เรี่ยรายได้ หลายวันแล้วก็ยังไม่เห็นกลับ
ขณะที่บรรดาลูกศิษย์กำลังระส่ำระสายทำอะไรไม่ถูกเพราะด้านเจ้าหนี้ก็ยืนกรานจะเอาตัวเจ้าสำนักให้ได้ ส่วนเจ้าสำนักก็ให้บอกว่าไม่อยู่นั้นเอง ชายฉกรรจ์หกเจ็ดคนก็เดินอาด ๆ เข้ามายืนจังก้าเรียงเป็นหน้ากระดาน
อูเอดะ เรียวเฮหนึ่งในสิบศิษย์เอกสำนักโยชิโอกะกับคณะพรรคนั่นเอง
เรียวเฮกวาดสายตาเฉียบคมไปจ้องหน้าเจ้าหนี้หัวแข็งทีละคนก่อนตวาดเสียงดังว่า
“พวกเจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”
และไม่ทันที่ลูกศิษย์จะชี้แจงรายละเอียดเรียวเฮก็ยืดอก กวาดสายตาไปทั่วห้องโถงและพูดด้วยเสียงดังกังวานว่า
“อ๋อ นึกว่าใคร เจ้าหนี้เองรึ ถ้าเราเป็นหนี้แค่จ่ายก็จบใช่ไหม พวกท่านก็รอจนกว่าคนบ้านนี้จะพร้อมจ่าย สำหรับคนที่รอไม่ได้ข้าก็จะพูดกับท่านด้วยวิธีอื่น ตามเข้ามาในโรงฝึกได้เลย”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เจ้าหมาล่าสัตว์คงได้กลิ่นสัตว์อะไรสักอย่างที่น่าขย้ำเป็นเหยื่อถึงได้เห่ากรรโชก ตะกายฝาตะกายพื้นระเบียงโบสถ์พยายามที่จะเผ่นเข้าหน้าต่างไปให้ได้ขนาดนั้น โคจิโรเลี่ยงไปที่ประตู แนบหน้ามองผ่านซี่ลูกกรงเข้าไปแต่ไม่เห็นอะไรเพราะภายในโบสถ์มืดมิดเหมือนโถก้นลึกที่ว่างเปล่า
นักดาบหนุ่มจึงเลื่อนประตูเปิดออกดังแกรก เจ้าหมาล่าสัตว์หยุดเห่าหุบเขี้ยวทันทีที่ได้ยิน และพอเห็นว่าเป็นใครก็กระดิกหางรี่เข้าพันแข้งพันขา
“ไปให้พ้น”
โคจิโรเตะมันกระเด็นไปทางหนึ่ง แต่เจ้าหมาดุไม่ยอมแพ้พอพลิกตัวตั้งหลักได้ก็พุ่งตัวแหวกชายกิโมโนของคนที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู ตัดหน้าเฉียดฉิวเข้าไปก่อนเข้าไป
ทันใดนั้นเอง
นักดาบหนุ่มก็ได้ยินผู้หญิงกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด ดังก้องออกมาจากความมืดมิดลึกเข้าไปในตัวโบสถ์
เสียงแหลมสูงแสบแก้มหูดังกรี๊ด...กรี๊ดไม่หยุดแข่งกับเสียงเห่าอย่างจะเอาชีวิตของหมาล่าสัตว์ที่กำลังบ้าคลั่ง เสียงระคนกันรุนแรงอย่างน่ากลัวว่าโบสถ์จะถล่มทะลายลงมา
“เฮ้ย”
โคจิโรถลันเข้าไปจึงรู้ทันทีว่าอะไรคือเป้าหมายของเจ้าหมาล่าสัตว์
และเห็นผู้หญิงเจ้าของเสียงกรีดแหลมกระชั้นถี่แสบแก้วหูคนนั้น
อาเกมินอนร้องกรี๊ด ๆ อยู่ใต้ผ้าห่มขาดวิ่น
เจ้าลิงน้อยกระโจนหนีหมาดุเข้ามาทางหน้าต่างและซุกตัวซ่อนอยู่ข้างหลังสาวน้อย
เจ้าหมาดุกวดตามเข้ามาประชิดตัวอาเกมิ อ้าปากแยกเขี้ยวขาวหมายพิฆาตเหยื่อ
อาเกมิยันตัวขึ้นเบียดตัวกับข้างฝา หลับตากรี๊ดสุดเสียง
โคจิโรเตะเจ้าหมาล่าสัตว์เข้าที่กลางลำตัวสุดแรง ในพริบตาเดียวกับที่ปากกว้างงับเขี้ยวขาวราวคมมีดลงขย้ำเหยื่อ และอาเกมิล้มลงไปดิ้นอยู่กับพื้น
“โอ๊ย โอ๊ย ช่วยด้วย”
เสียงกรีดร้องเปลี่ยนเป็นเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวดระคนตื่นตระหนกขณะดิ้นเร่า ๆ เพราะต้นแขนข้างซ้ายยังอยู่ในปากหมาดุที่อ้าปากกว้างงับเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ไอ้หมาบ้า”
โคจิโรเลือดขึ้นหน้าเตะเข้าไปที่กลางตัวหมาล่าสัตว์เต็มแรงอีกครั้ง
หมาล่าสัตว์ตัวนั้นสิ้นฤทธิ์ขาดใจตายไปตั้งแต่โดนเตะครั้งแรกแล้ว ดังนั้นแม้โคจิโรจะเตะอีกกี่ครั้งก็ไม่อาจทำให้มันอ้าปากปล่อยแขนของอาเกมิได้
“ปล่อย ปล่อย”
อาเกมิดิ้นเร่าพลางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เจ้าลิงน้อยกระโจนจากที่ซ่อนเมื่อสิ้นเสียงเห่าของศัตรูตัวร้าย ออกมายืนตาแป๋วมองเหตุการณ์
โคจิโรกางอุ้งมือทั้งสองตะปบไปที่ปากหมาแล้วง้างออกด้วยกำลังแรง เสียงกระดูกหักดังกร๊อบและหากเพิ่มแรงอีกเพียงนิดเดียวหัวเจ้าหมาเคราะห์ร้ายจะต้องแบะออกเป็นสองซีกแน่นอน นักดาบหนุ่มเหวี่ยงศพหมาออกไปทางหน้าต่างแล้วรีบทรุดตัวลงนั่งข้างสาวน้อย
“ไม่เป็นไรแล้วนะ”
แต่ต้นแขนของอาเกมิไม่ได้อยู่ในสภาพห่างไกลจาก ไม่เป็นไรแล้ว มากนัก
เลือดที่ผุดขึ้นมาจากบาดแผลอาบต้นแขนขาวนวลโดดเด่นราวกับโบตั๋นสีแดงสดดอกใหญ่ สีแดงของเลือดและสีขาวผ่องของเนื้อสาวทำให้ใจโคจิโรพลอยสั่นไหวด้วยความเจ็บปวดไปด้วย
“ที่นี่มีเหล้าสาเกไหม จะได้เอามาล้างแผล”
โคจิโรถามพลางมองไปรอบ ๆ และพอบีบต้นแขนคนเจ็บเลือดอุ่น ๆ ก็ไหลลงมาโดนมือ
“ไม่น่ามี แล้วจะทำยังไงกันล่ะนี่ ถ้าติดเชื้อโรคจากฟันหมาเข้าไปต้องแย่แน่ ระยะนี้ท่าทางมันดูบ้า ๆ พิกลอยู่เสียด้วย”
นักดาบหนุ่มบ่นพึมพำระหว่างคิดหาทางฆ่าเชื้อที่บาดแผล อาเกมิได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้วก้มหัวต่ำลงจนเห็นต้นคอขาวผ่องและร้องครางเสียงกระเส่า
“นี่ฉันถูกหมาบ้ากัดรึ ถูกหมากัดก็ต้องเป็นบ้าเหมือนหมาน่ะซี ดี...ดีเลย ฉันกำลังอยากเป็นบ้าอยู่พอดี อยากเป็นบ้า”
ว่าแล้วก็เงยหน้าโชกน้ำตาขึ้นมากรีดร้องราวกับเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ
“อยากเป็นบ้า ได้ยินไหม ฉันอยากเป็นบ้า
“อย่าพูดเล่นได้ไหม”
โคจิโรดุเสียงเขียว และก่อนที่อาเกมิจะรู้ตัวเจ้าหนุ่มก็ก้มลงดูดเลือดที่แผลบนเนื้อนวลต้นแขนของนาง พอเต็มปากแล้วบ้วนทิ้ง ดูดแล้วบ้วนทิ้งเป็นจังหวะ
2
ค่ำแล้ว พระวณิพกกลับมาจากบิณฑบาต เปิดประตูโบสถ์แล้วร้องทักเข้าไปในความมืดสลัว
“อาเกมิ อาตมากลับมาแล้ว อยู่คนเดียวทั้งวันคงจะเหงาละซี”
ทันซาเอมอนวางยา อาหารและน้ำมันที่แวะซื้อติดมือมาเอาที่มุมโบสถ์ ก่อนเอื้อมมือไปที่ตะเกียงก่อนบอกว่า
“รอนิดหนึ่งนะ อาตมาจะจุดตะเกียงให้”
แต่พอโบสถ์สว่างขึ้นพระวณิพกก็ใจหาย
“เอ๊ะ อาเกมิหายไปไหน อาเกมิ...อาเกมิ”
เมื่อเรียกเท่าไรก็ไม่มีคำตอบและเที่ยวหาไปทุกซอกทุกมุมก็ไม่เห็น
ความโกรธจึงพลุ่งขึ้นมาอัดอั้นอยู่ในอก เมื่อสาวน้อยตอบแทนความรักใคร่ใยดีของตนด้วยความเยียบเย็นไม่เห็นใจ ยามค่ำที่มืดสลัวอยู่แล้วนั้นยิ่งมืดลงราวโลกกำลังจะดับไปกับตา
ทันซาเอมอนสะกดจิตสะกดใจอยู่นานกว่าความโกรธจะบรรเทาลง แต่พอใจจะสงบลงบ้างความว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวก็แผ่ซ่านเข้ามาแทนที่ หมดแรงหมดกำลังใจจนต้องล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผากนึกถึงตัวเองแล้วอยากจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ
ทันซาเอมอน...เจ้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ความกระชุ่มกระชวยของวัยหนุ่มจากร่างนี้ไปนาน พอ ๆ กับความทะเยอทะยานที่จะได้เป็นใหญ่เป็นโตและปรารถนาที่จะได้มีลาภยศสรรเสริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป หันมามองตัวเองสิ...เจ้าคือพระวณิพกแก่ชราที่กำลังหมดสภาพลงไปทุกที ใครจะมาสนใจ...ใครจะมาใยดี แม้แต่แม่สาวน้อยที่อุตส่าห์ช่วยให้พ้นปากเหยี่ยวปากกามากับมือ...พระวณิพกน้ำตาคลอด้วยความรันทด
“อาเกมิ อาตมาดีกับเจ้าถึงเพียงนั้นแล้ว ทำไมถึงได้ทิ้งกันไปได้ลงคอโดยไม่บอกลาเลยสักคำ หรือว่าโลกเราเปลี่ยนไปจนผู้คนโดยเฉพาะพวกหนุ่มสาวจะเย็นชาไร้น้ำใจกันไปหมดแล้ว หรือว่านางจะเคลือบแคลงสงสัยไม่ไว้ใจเรา”
และขณะที่กำลังคิดน้อยใจและมองไปทางที่นอนของอาเกมินั้นเอง ทันซาเอมอนก็เหลือบไปเห็นเศษผ้าชิ้นหนึ่งคล้ายผ้าคาดกิโมโนที่ถูกใครฉีดขาดและ...มีรอยเลือดติดอยู่
ความคาดเดาตามสัญชาตญาณของผู้ชายทำเอาทันซาเอมอนหน้ามืดด้วยความริษยาที่พลุ่งขึ้นมาทันทีที่เห็น
ชายสูงวัยผลุดลุกขึ้นยืนจังก้า เตะเสื่อที่ปูนอนไปทางหนึ่ง ฉวยยาและข้าวของที่ซื้อมาเหวี่ยงทิ้งออกไปทางหน้าต่าง แล้วหยุดยืนหอบทำตาขวาง
ทันซาเอมอนหิวเพราะออกบิณฑบาตทั้งวันไม่มีอะไรตกถึงท้องแต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะหาอะไรกิน พอตั้งสติได้ก็ถอนใจใหญ่และหยิบขลุ่ยชากูฮาจิออกไปนั่งที่ชานระเบียงโบสถ์
พระวณิพกเป่าขลุ่ยอยู่นานเท่านานโดยไม่หยุดพักหวังจะให้ช่วยล้างกิเสสตัณหา แต่เสียงขลุ่ยนั้นกลับสะท้อนเป็นเสียงสารภาพของตนเองเข้าไปในจิตใจที่อ้างว้าง...โลกีย์ปรารถนาของมนุษย์เรานั้น คือธาตุแท้ที่สิงสู่อยู่ในเรือนกาย แม้จะแสดงออกมาในหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่มีวันหมดสิ้นไปจนกว่าจะถูกฝังลงในสุสาน...
เอาเถอะ คิดเสียว่าดวงชะตาของแม่สาวน้อยคือต้องตกไปเป็นของชายอื่น ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องเก็บมาครุ่นคิดถึงศีลธรรมและความถูกต้องตลอดคืนจนไม่ได้หลับได้นอน
ความรู้สึกสับสนจะว่าเสียดายก็ไม่ใช่โกรธตัวเองก็ไม่เชิงที่วนเวียนหาจุดจบไม่ได้อยู่ในใจตนนั้นคือกิเลส ทันซาเอมอนพยายามที่จะให้เสียงขลุ่ยชากูฮาจิปัดเป่ากิเลสเหล่านั้นออกไปเพื่อให้ใจผ่องแผ้ว แต่ความที่สันดานเป็นคนใจหยาบช้า ถึงพยายามเพียงใดเสียงขลุ่ยไม้ไผ่แห่งเซ็น ก็ไม่ใสขึ้นมา
“หลวงพ่อ ทำไมคืนนี้มานั่งเป่าขลุ่ยสบายอารมณ์อยู่คนเดียวเล่า ไปบิณฑบาตในเมืองคงได้มาหลาย ถ้าซื้อเหล้าสาเกกลับมาด้วยละก็ แบ่งให้ข้าสักจอกจะไหม”
ชายขอทานขาพิการยื่นหน้าออกมาทักจากใต้ถุนโบสถ์ที่ยึดเป็นที่ซุกหัวนอนไปวัน ๆ และน่าจะเป็นคนเดียวในโลกที่มอง ชีวิตความเป็นอยู่ของทันซาเอมอนที่อยู่ในโบสถ์ข้างบนด้วยความอิจฉา
“เออ เจอเอ็งก็ดีแล้ว เอ็งรู้ไหมว่านางหนูที่ข้าพามาที่นี่เมื่อวานน่ะหายไปไหน”
“ฮะฮ้า แม่คนสวยน่ะรึ หลวงพอปล่อยให้หลุดมือไปได้ยังไง เป็นข้าละก็ไม่มีวันหรอก”
“ถ้ารู้ก็บอกมาเร็ว ๆ อย่ามัวร่ำไร”
“เมื่อเช้า พอหลวงพ่อคล้อยหลังไป ก็มีซามูไรหนุ่มรูปงามปล่อยผมปรกหน้าผาก คาดดาบยาวมากไว้ข้างหลังมีลูกลิง
เกาะบ่าข้างหนึ่ง เอานางพาดป่าอีกข้างหนึ่งเดินไปทางโน้น”
“ซามูไรไว้ผมปรกหน้าผากน่ะรึเป็นคนพานางไป”
“ใช่ หนุ่มรูปงามท่าทางไม่เลว หล่อกว่าท่าน หล่อกว่าข้า”
ว่าแล้วชายพิการส่งเสียงหัวเราะชอบใจขึ้นมาจากใต้โบสถ์...ไม่รู้ว่าขำอะไรเหมือนกัน
3
เซจูโรส่งเหยี่ยวล่าเหยื่อที่เกาะอยู่บนกำปั้นให้ลูกศิษย์ทันทีที่กลับมาถึงโรงฝึกชิโจ
“เอาไปผูกไว้ที่ต้นไม้ของมัน”
แล้วจึงถอดรองเท้าแตะฟางก้าวเข้าไปในโรงฝึก ทำหน้าขมึงทึงเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดี ตาเฉียบคมราวมีดโกนจนลูกศิษย์ไม่กล้าเข้าใกล้ คนที่เข้าไปช่วยรับหมวกฟางกับเทน้ำให้ล้างเท้าก็ระวังตัวกับแจกลัวทำผิดจังหวะ แต่ก็มีคนใจกล้าถามขึ้นว่า
“แล้วท่านโคจิโรที่ไปด้วยกันไม่กลับมาด้วยหรือขอรับ”
“เดี๋ยวคงตามกลับมาละมัง เกิดพลัดกันตรงทุ่งหญ้า ข้าคอยอยู่นานไม่มาสักทีก็เลยกลับมาก่อน”
เซจูโรผลัดเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเข้าไปนั่งอยู่ในห้องพักผ่อน มองข้ามสวนไปที่โรงฝึกใหญ่ซึ่งปิดอยู่หลังการประลองฝีมือเมื่อวันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบสองและจะเปิดอีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิ
โรงฝึกใหญ่ที่ลูกศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะเกือบหนึ่งพันคนเข้าออกและมีเสียงดาบไม้กระทบกันทั้งวันตลอดปี คอนนี้เงียบกริบราวกับบ้านร้าง
“ยังไม่กลับมาอีกรึ”
เซจูโรร้องถามออกไปทุกครั้งที่มีลูกศิษย์เดินผ่านมา
“ยังไมเห็นเลยขอรับ”
วันนี้ เซจูโรวางแผนไว้ว่าพอกลับจากล่าสัตว์ก็จะขอให้โคจิโรเป็นคู่ซ้อมเพื่อลับฝีมือเตรียมไว้ต่อกรกับมูซาชิในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่รอจนเย็นจนค่ำและจนวันรุ่งขึ้นนักดาบหนุ่มรูปงามก็ไม่กลับมา
จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของปี
ยังไม่ทันเที่ยงห้องโถงของโรงฝึกวิชาดาบที่ชิโจก็เนืองแน่นไปด้วยเจ้าหนี้ ชาวเมืองที่เป็นเจ้าหนี้ปกติเคยอ่อนน้อมถ่อมตนถ้อยทีถ้อยอาศัย พอถึงตอนนี้ต่างหมดความอดทนที่จะรักษามารยาท เปลี่ยนมาตีหน้ายักษ์ตะโกนทวงหน้ากันเสียงขรม
“หนี้ก้อนนี้จะว่ายังไง อย่าบอกนะว่าเจ้าสำนักไม่อยู่ ข้าไม่เชื่อ”
“คิดจะหนีหนี้หรือไง”
“ถ้าเป็นหนี้ที่ค้างชำระไปครึ่งหลังของปีนี้ก็จะยอมผัดผ่อนให้เพราะเห็นแก่บุญคุณของท่านเจ้าสำนักคนก่อน แต่นี่อะไรกัน หนี้เมื่อปีก่อนและเมื่อต้นปีนี้ก็ยังไม่ชำระ รอไม่ไหวแล้ว”
เจ้าหนี้รายใหญ่ตบสมุดบัญชีดังปัง ๆ ด้วยท่าทางโกรธจัด
เจ้าหนี้เงินเชื่อของสำนักดาบโยชิโอกะมีทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่ช่างไม้ ช่างก่ออิฐ ไปจนถึงร้านขายข้าว ขายเหล้าสาเก ร้านกิโมโน ไปจนถึงร้านน้ำชาที่เซจูโรพากลุ่มศิษย์คู่ใจไปดื่มกินและหาความบันเทิงเริงรมย์ แต่หนี้ส่วนของเซจูโรนั้นยังนับว่าเป็นหนี้รายเล็ก ๆ ไม่เหมือนเด็นชิจิโรน้องชายที่กู้ยืมเงินสดแบบต้องเสียดอกเบี้ยแพง ๆ ตามอำเภอใจโดยที่พี่ชายไม่ล่วงรู้ และนั่นคือความหายนะอย่างแท้จริง
“พวกลูกศิษย์พูดอะไรไม่รู้เรื่อง ไปเชิญท่านเซจูโรออกมาพบพวกเราเดี๋ยวนี้”
เจ้าหน้ารายใหญ่สี่ห้าคนยื่นคำขาด
เซจูโรเก็บตัวเงียบอยู่หลังเรือน ส่วนเด็นชิจิโรนั้นรู้ตัวดีว่าจะเฉียดเข้าใกล้บ้านในยามนี้ไม่ได้เด็ดขาด
คนที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการเงินและบัญชีของสำนักดาบที่ควรต้องออกมารับหน้าในสถานการณ์เช่นนี้คือกิองโชจิ
กิองโชจิคนสำคัญผู้นี้ได้ออกเดินทางไปเรี่ยรายเงินสนับสนุนจากสำนักดาบสาขาในต่างแคว้น แต่พอกลับมาก็หายตัวไปกับนางโอโคแห่งร้านน้ำชาโยโมงิพร้อมกับเงินที่เรี่ยรายได้ หลายวันแล้วก็ยังไม่เห็นกลับ
ขณะที่บรรดาลูกศิษย์กำลังระส่ำระสายทำอะไรไม่ถูกเพราะด้านเจ้าหนี้ก็ยืนกรานจะเอาตัวเจ้าสำนักให้ได้ ส่วนเจ้าสำนักก็ให้บอกว่าไม่อยู่นั้นเอง ชายฉกรรจ์หกเจ็ดคนก็เดินอาด ๆ เข้ามายืนจังก้าเรียงเป็นหน้ากระดาน
อูเอดะ เรียวเฮหนึ่งในสิบศิษย์เอกสำนักโยชิโอกะกับคณะพรรคนั่นเอง
เรียวเฮกวาดสายตาเฉียบคมไปจ้องหน้าเจ้าหนี้หัวแข็งทีละคนก่อนตวาดเสียงดังว่า
“พวกเจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่”
และไม่ทันที่ลูกศิษย์จะชี้แจงรายละเอียดเรียวเฮก็ยืดอก กวาดสายตาไปทั่วห้องโถงและพูดด้วยเสียงดังกังวานว่า
“อ๋อ นึกว่าใคร เจ้าหนี้เองรึ ถ้าเราเป็นหนี้แค่จ่ายก็จบใช่ไหม พวกท่านก็รอจนกว่าคนบ้านนี้จะพร้อมจ่าย สำหรับคนที่รอไม่ได้ข้าก็จะพูดกับท่านด้วยวิธีอื่น ตามเข้ามาในโรงฝึกได้เลย”