นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
พอรุ่งสาง ทันซาเอมอนก็ลุกขึ้นมาบอกกับสาวอาเกมิที่ยังงัวเงียว่า
“อาตมาจะออกไปบิณฑบาต แม่หนูอยู่เฝ้าโบสถ์เถิดนะ ขากลับจะแวะซื้อยา กับของกินร้อน ๆ ข้าวสารแล้วก็น้ำมัน”
ว่าแล้วก็คว้าชุดพระที่เก่าคร่ำคร่าและมอมแมมไม่ต่างกับผ้าขี้ริ้วมาสวมใส่ หยิบขลุ่ยชากูฮิจิคู่มือพระวณิพกมาถือไว้ ฉวยหมวกเก่าคร่ำคร่าขึ้นมาสวมคลุมหน้าคลุมตาลงบันไดโบสน์มุ่งหน้าไปทางตัวเมือง
หมวกเก่าคร่ำคร่าของพระวณิพกไม่ใช่หมวกฟางอย่างที่ใช้กันกันแดดกันฝนทั่วไป แต่มีรูปทรงคล้ายตะกร้าก้นลึกสานด้วยไม้ไผ่ และรองเท้าฟางที่ใส่ก็สึกจนแทบไม่เหนือเนื้อฟางจนต้องเดินลาก ทั้งเนื้อทั้งตัวดูทรุดโทรมไม่ผิดอะไรกับหุ่นไล่กาเดินได้ แม้แต่หนวดหรอมแหรมเหนือริมฝีปากก็ไม่เหลือร่องรอยของซามูไรผู้งามสง่าเมื่อปางก่อน ทันซาเอมอนเข้าเมืองไปบิณฑบาตหรือจะพูดให้ถูกก็คือขอทานในสภาพเช่นนี้ทุกเช้าเว้นแต่วันฝนตก
เช้านี้พระวณิพกอ่อนระโหยโรยแรงแทบจะไม่มีแรงเดินเพราะนอนไม่หลับตลอดคืน ไม่เหมือนสาวน้อยอาเกมิที่ร้องไห้คร่ำครวญแทบเป็นแทบตายแต่พอได้น้ำต้มโซบะร้อน ๆ เข้าไปก็สงบลงและนอนหลับสนิท ปล่อยให้ตนนอนลืมตาโพลงอยู่จนสว่าง
ท้องฟ้าโปร่งแจ่มใสและอากาศสดชื่นแจ่มใสไม่อาจลบเรื่องราวที่เป็นเหตุให้อดีตซามูไรผู้นี้นอนไม่หลับให้เลือนไปจากใจ แม้แต่ตนเองก็ยังไม่นึกว่ามันจะติดตรึงอยู่อย่างเหนียวแน่นเช่นนี้
ตอนนั้น โอซือน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่สาวน้อย
ทันซาเอมอนหวนคิดถึงถึงเรื่องราวแต่หนหลัง
แม้สาวน้อยอาเกมิจะไม่สวยสง่าเท่าแต่ก็ใสซื่อน่ารัก โอซือเป็นหญิงงามดูดีมีชาติตระกูลแต่ก็มีอะไรในตัวนางที่ทำให้รู้สึกเย็นชาไม่กล้าตีสนิทด้วย ขณะที่อาเกมิมีเสน่ห์ชวนชม ไม่ว่าจะยามร้องไห้ หัวเราะ หรือยามขึ้งโกรธ
เสน่ห์ของสาวน้อยผู้นี้เองที่พัดกระพือให้ใจชายสูงวัยกระชุ่มกระชวยเหมือนชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้งตั้งแต่หัวค่ำ ใจสองใจต่อสู้กันจนนอนไม่หลับกระสับกระส่าย พอพลิกไปเห็นใบหน้ายามหลับพริ้มของอาเกมิก็รีบพลิกหน้าหนีวนเวียนอยู่อย่างนั้น ใจหนึ่งประณามเกรี้ยวกราด
ทันซาเอมอน คนอย่างเจ้ายังจะหมกมุ่นอยู่กับกามโลกีย์อีกรึ หรือว่าเวรกรรมที่ทำมายังไม่พอ ลืมไปแล้วหรือว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้ต้องมาตกอยู่ในสภาพเหมือนคนเดนตายอย่างนี้...ไม่ใช่เพราะผู้หญิงหรอกหรือ ตระกูลนักรบที่ประวัติยาวนานสืบทอดกันมาแต่โบราณหลายรุ่นวัยถึงได้ล่มสลาย ไม่ใช่เพราะกิเลศตัณหาที่มีต่อโอซือหรอกหรือที่ทำให้หน้ามืดตามัวจนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องใหญ่
หรือว่ายังไม่เข็ด
อีกใจหนึ่งแก้ว่า
ถึงข้าจะปลงตกใส่ชุดพระ ถือขลุ่ยชากูฮาจิ ใส่หมวกสานไม้ไผ่เป็นพระวณิพกร่อนเร่พเนจรอยู่อย่างนี้ แต่ก็ยังห่างไกลจากทางแห่งพระอรหันต์มากนัก ยังไม่พบแม้ทางที่จะพาใจและกายออกไปสู่ความสว่างในโลกแห่งธรรมะ
คิดวกวนจนสมองล้า และพอจะเคลิ้มหลับก็รุ่งสาง ความเหนื่อยอ่อนและง่วงงุนที่ค้างอยู่ทำให้แทบไม่มีแรงเดินอยู่แล้ว แต่พอตาตื่นก็เริ่มคิดสับสนอีก
ทันซาเอมอนสะบัดหัวคล้ายจะไล่ความคิดออกไปให้หมดแล้วเริ่มคิดใหม่
เลิกคิดเรื่องชู้สาวเสียทีเถิดทันซาเอมอน
อาเกมิเป็นสาวน้อยกำลังน่ารักน่าเอ็นดู แต่กลับต้องมีราคีติดตัวเพราะน้ำมือชายใจโฉด ควรที่เราจะต้องช่วยปลอบโยน และทำให้นางเห็นว่าชายในโลกนี้ไม่ได้เป็นปีศาจบ้ากามไปเสียทุกคน
ขากลับเราจะซื้อยากับซื้ออะไรไปฝากดีนะ คิดถึงความสุขของอาเกมิแล้วค่อยมีแรงเป่าขลุ่ยเรี่ยรายเงินทำบุญขึ้นมาหน่อย อย่าฟุ้งซ่านไปกับเสน่ห์สาวน้อยมากไปกว่านี้เลยดีกว่า
คิดได้ดังนั้นจิตใจของทันซาเอมอนก็ผ่องแผ้วหน้าตามีเลือดฝาดแจ่มใสขึ้น และระหว่างที่เดินเลาะแนวหน้าผาอยู่นั้นเองก็ต้องตกใจแทบก้าวพลาดเมื่อเหยี่ยวตัวใหญ่ร่อนผ่านหัวไปในระยะกระชั้นชิดบังแสงอาทิตย์มืดไปวูบหนึ่ง
“เฮ้ย”
พระวณิพกร้องลั่นและพอขึ้นไปเห็นขนนกน้อยสีเทาเป็นปุยปลิวคว้างจากกิ่งไม้ลงมาเหนือหัว จึงมองสูงขึ้นไปอีกและพบพญาเหยี่ยวมีนกน้อยอยู่ในกรงเล็บร่อนอยู่เหนือขึ้นไปบนฟ้า แสงแดดส่องผ่านปีกที่กางกว้างเห็นแนวขนนกเป็นลวดลายชวนชม
“เรียบร้อย”
เสียงใครคนหนึ่งแว่วมาพร้อมกับเสียงเป่าปากดังหวิวของเจ้าของเหยี่ยวล่าเหยื่อตัวนั้น
2
ไม่นานชายสองคนในชุดล่าสัตว์ก็เดินลงมาจากทางลาดเนินหลังวัดเอ็นเน็นจิ
คนหนึ่งมีเหยี่ยวเกาะอยู่ที่กำปั้นซ้าย อีกมือที่อยู่ด้านตรงข้ามกับดาบใหญ่และเล็กที่เอวถือถุงตาข่ายสำหรับใส่เหยื่อที่จับได้เอาไว้ มีหมาล่าสัตว์สีน้ำตาลท่าทางปราดเปรียวเดินตามหลังมาติด ๆ
ชายผู้นี้คือโยชิโอกะ เซจูโร แห่งสำนักดาบที่ชิโจ
อีกคนหนึ่งเป็นหนุ่มรูปงามที่ดูอ่อนกว่าเซจูโรหลายปี ร่างสูงเพรียวแต่แข็งแกร่งอยู่ในชุดกิโมโนสีสดแบบที่กำลังอยู่ในสมัยนิยม คาดดาบเล่มยาวกว่าใคร ๆ สพายแล่งอยู่ข้างหลัง และไว้ผมปรกหน้าผากโดยไม่เกล้าขึ้นแบบซามูไรทั่วไป คงไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อไปเพราะน่าจะรู้กันแล้วว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
ซาซากิ โคจิโร ผู้มีฝีดาบพิฆาตนกนางแอ่น
“ใช่ ข้าว่าแถวนี้แหละ”
โคจิโรหยุดยืนและมองไปรอบ ๆ ด้วยท่วงทีสง่างามยิ่งนัก
“เมื่อเย็นวานเจ้าลิงน้อยของข้าฟัดกับเจ้าหมาล่าสัตว์ตัวนั้นและถูกหมากัดหาง คงจะกลัวหัวหดและหนีเข้าไปซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งไม่เห็นหัวอีกเลย หรือว่าจะซ่อนอยู่บนต้นไม้ก็ไม่รู้”
“ไม่อยู่แล้วละมัง ลิงมันมีขาป่านนี้เผ่นไปไหน ๆ แล้ว”
เซจูโรพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ท่านนี่ก็พิกลอยู่ ข้าไม่เคยเห็นใครพาลิงมาล่าสัตว์ด้วยมาก่อน”
ว่าพลางทรุดตัวลงนั่งบนโขดหินตรงนั้น ส่วนโคจิโรนั่งลงบนตอไม้ข้าง ๆ กัน
“ข้าไม่ได้พามันมา เจ้าลิงจ๋อนั่นมันอยากตามมาเองต่างหาก แต่มันน่ารักดีนะท่าน เวลาหายหัวไปอย่างนี้เหงาเลย”
“คิดว่าคนรักหมารักแมวจะมีแต่พวกผู้หญิง แต่พอมาเห็นซามูไรที่กล้าหาญชาญชัยอย่างท่านเลี้ยงลูกลิงด้วยความรักเอ็นดู จึงอดแปลกใจไม่ได้”
เซจูโรเคยเห็นและนับถือฝีมือดาบของโคจิโรมาตั้งแต่ตอนเกิดเหตุที่ทำนบเคมะ เมื่อได้ล่วงรู้ถึงความนิยมส่วนตัวของเจ้าหนุ่มเข้าเช่นนี้ คงมองว่ายังเป็นเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมละมังจึงได้พูดออกไปเช่นนั้น
เมื่อพูดถึงอายุโคจิโรยังหนุ่มมาก และหลังเกิดเหตุและได้พักอยู่ในเรือนเดียวกันมาสามสี่วัน เซจูโรรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นคนที่คบได้และทำตัวสนิทสนมด้วย
“ฮะ ฮะ ฮะ”
เจ้าหนุ่มรูปงามหัวเราะชอบใจ เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
“คงเป็นเพราะข้ายังเป็นเด็กอ่อนหัดอยู่ละมัง แต่คิดว่าอีกไม่นานคงจะรู้จักรักผู้หญิง แล้วเจ้าลิงจ๋อก็จะต้องถูกทิ้งแน่”
โคจิโรเริ่มชวนคุย แต่เซจูโรกลับมีท่าทางกระวนกระวายและหน้าเครียดขึ้นตามลำดับ ตาวาวด้วยความระแวงไม่แพ้ตาเหยี่ยวที่เกาะอยู่บนกำหมัด
“พระวณิพกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ข้าเห็นยืนชำเลืองมองเราอยู่นานแล้ว”
โคจิโรได้ยินอีกฝ่ายหนึ่งบ่นจึงเหลียวไปมอง ทำให้ทันซาเอมอนซึ่งยืนมองคนทั้งสองอยู่นานแล้วรู้ตัว รีบหันหลังและออกเดินต่อไป
“ท่านกันริว”
เซจูโรเรียกโคจิโรด้วยสมญาที่มีผู้ตั้งให้นักดาบรูปงามผู้นี้ แล้วผลุดลุกขึ้นจากโขดหินเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“กลับกันดีกว่า ข้าคิดว่าไม่ใช่เวลาที่เราจะมัวสนุกอยู่กับการล่าสัตว์เสียแล้ว วันนี้วันที่ 29 จะสิ้นปีอยู่อีกไม่กี่วัน กลับโรงฝึกกันเถอะ”
แต่โคจิโรยังสนุกกับการลล่าสัตว์ที่เพิ่งจะเริ่มด้วยจึงไม่ยอมกลับง่าย ๆ และค้านยิ้ม ๆ ว่า
”อะไรกันท่าน อุตส่าห์พาเหยี่ยวออกมาทั้งที นี่เพิ่งจะได้นกเขามาตัวนึง นกตัวเล็กตัวน้อยอีกสองสามตัวเท่านั้นเอง ปีนเขาสูงขึ้นไปอีกดีกว่านะ”
“เลิกเถอะ เวลาไม่มีสมาธิเราจะบังคับเหยี่ยวให้บินไม่ได้ดังใจ กลับไปฝึกซ้อมวิชาดาบกันเป็นดีที่สุด ฝึกซ้อม เราต้องฝึกซ้อม”
เซจูโรทิ้งท้ายคล้ายบอกกับตนเอง ท่าทางของนักดาบเจ้าสำนักดูจริงจังกว่าธรรมดา และพอเห็นว่าอีกฝ่ายยังอิดออดอยู่ก็ทำหน้าเหมือนจะบอกว่า ถ้าอยากอยู่ก็เชิญ ข้ากลับคนเดียวก็ได้
3
“กลับก็กลับ”
โคจิโรเดินตามไป ทำหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
“ขอโทษนะที่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ”
“อะไรรึ”
“ก็ข้าน่ะซี โคจิโรคนนี้แหละที่ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจ ชวนท่านพาเหยี่ยวออกมาล่าเหยื่อเมื่อวานก็ทีหนึ่งแล้ว และยัง
วันนี้อีก”
“ไม่เป็นไร รู้ว่าท่านชอบข้าก็ดีใจ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าอีกสองวันก็จะสิ้นปีแล้ว และอย่างที่บอกคือการประลองฝีมือครั้งสำคัญกับยามาโมโตะ มูซาชิ ก็กำลังใกล้เข้ามาทุกที”
“ข้ารู้ และเห็นว่าท่านกำลังกังวลใจ ก็เลยชวนออกมาล่าสัตว์เพื่ออารมณ์ที่ตึงเครียดจะได้ผ่อนคลายลงบ้าง แต่รู้สึกจะไม่ได้ผลกับคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างท่าน”
“ยิ่งได้ฟังเสียงเล่าลือ ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ามูซาชิไม่ใช่ศัตรูที่เราจะประมาทได้”
“หากเป็นเช่นนั้น เราก็ยิ่งต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมืออย่างสงบ ไม่ตื่นเต้น ไม่วู่วาม ข้าว่าท่านควรฝึกสมาธิให้มั่นคง”
“ข้าไม่ได้วู่วามหรือตื่นตระหนก กฎเหล็กของวิทยายุทธข้อแลกคืออย่าดูหมิ่นศัตรู ข้าคิดว่าเราต้องฝึกฝนกลยุทธ์เชิงดาบให้แกร่งกล้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกว่าจะถึงวันประลองฝีมือ และหากเราแพ้ซึ่งมีโอกาสหนึ่งในหมื่น เราก็จะยืดอกบอกได้ว่าเราแพ้หลังจากสู้จนสุดความสามารถแล้ว แพ้เพราะฝีมือไม่เทียมทันคู่ต่อสู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะช่วยอะไรได้”
โคจิโรชื่นชมความเป็นคนตรงไปตรงมาของเซจูโร แต่ในเวลาเดียวกันก็มองเห็นได้ชัดว่าใจของนักดาบผู้นี้ไม่แกร่งและหนักแน่นพอ ไม่มีบารมีพอที่จะสืบทอดสำนักดาบอันยิ่งใหญ่และเกียรติคุณโยชิโอกะ เค็มโปผู้ก่อตั้งให้ยั่งยืนต่อไปได้ ซามูไรหนุ่มแอบเวทนาอยู่ในใจ...เด็นชิจิโรผู้น้องยังมีราศีกว่ามาก
แต่เด็นชิจิโรนั้นแม้ว่าฝีมือดาบจะเหนือกว่าเซจูโรก็จริง แต่ก็ทำตัวตามสบายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญตามประสาที่ถูกเลี้ยงมาในฐานะลูกชายคนรองของตระกูลที่ไม่ต้องรับผิดชอบ
เซจูโรแนะนำให้โคจิโรรู้จักกับน้องชายของเขาคนนี้ แต่ทั้งคู่ดูเหมือนจะมีอะไรที่ขัดกันอยู่ตั้งแต่แรกพบแล้วก็เลยวางหูขวางตนกันมาตั้งแต่นั้น
โยชิโอกะ เซจูโร เป็นคนตรง มีฝีมือแต่เสียดายที่ใจปลาซิว เราควรหาทางช่วยเขาบ้าง
นักดาบหนุ่มรูปงามคิดได้เช่นนั้นจึงอุตส่าห์ชวนกันพาเหยี่ยวออกมาล่าเหยื่อด้วยความหวังว่าจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ที่ตึงเครียด และลืมเรื่องการประลองฝีมือกับมูซาชิสักชั่วขณะก็ยังดี แต่เมื่อเซจูโรไม่ร่วมมือเอาเสียเลยอย่างนี้ โคจิโรก็ชักจะหมดปัญญา
อุตส่าห์วางแผนเสียดิบดีแต่กลับชวนกลับโรงฝึกเสียเฉย ๆ บอกว่าต้องฝึก ต้องฝึกให้หนัก...ก็ดีที่จริงจังขนาดนี้ แต่อยากถามนักว่าจะฝึกวิทยายุทธให้แกร่งกล้ายิ่งขึ้นไปได้ขนาดไหนในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนถึงวันประลองฝีมือ
แต่นิสัยเขาเป็นอย่างนี้ เราคงช่วยอะไรไม่ได้
โคจิโรนึกเสียดายอยู่ลึก ๆ ที่จำใจที่ต้องวางดาบที่หวังว่าจะช่วยยกขึ้นรับคบดาบของศัตรูเป็นมือที่สอง
เจ้าหนุ่มรูปงามเดินตามเซจูโรเงียบ ๆ ไปได้พักหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าเจ้าหมาล่าสัตว์สีน้ำตาลไม่ได้เดินตามมา และขณะที่หยุดมองหาไปรอบ ๆ นั้นก็แว่วเสียงหมาเห่าขรมไกลออกไปทางด้านโน้น
โฮ่ง โฮ่ง
“สงสัยจะเห่าบอกเราว่าเจอเหยื่อ”
ตากลมโตของโคจิโรวาวขึ้น แต่เซจูโรไม่ใส่ใจและตัดบทว่า
“ช่างมันเถอะ ปล่อยให้มันเห่าไป เดี๋ยวก็วิ่งตามกลับมาเอง”
“แต่...ท่าน”
แววตากลมโตของเจ้าหนุ่มสลดลงด้วยความเสียดาย
“รอแป๊บหนึ่งนะ ข้าขอไปดูนิดนึง”
โคจิโรวิ่งไปทางที่ได้ยินเสียงหมาเห่า ก็เห็นเจ้าหมาล่าสัตว์สีน้ำตาลอยู่บนชานระเบียงโบสถ์เก่าแก่ที่ชำรุดทรุดโทรม แยกเขี้ยวขาวเห่าอย่างดุร้ายพลางกระโจนเข้าใส่ประตูที่หักพังบ้าง ตะกุยตะกายเสาและข้างฝาดัวยกำลังแรงบ้าง เปลี่ยนไปพุ่งตัวกระโจนเข้าใส่หน้าต่างบ้างประตูบ้างแต่ก็ยังเข้าไปข้างในไม่ได้
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
พอรุ่งสาง ทันซาเอมอนก็ลุกขึ้นมาบอกกับสาวอาเกมิที่ยังงัวเงียว่า
“อาตมาจะออกไปบิณฑบาต แม่หนูอยู่เฝ้าโบสถ์เถิดนะ ขากลับจะแวะซื้อยา กับของกินร้อน ๆ ข้าวสารแล้วก็น้ำมัน”
ว่าแล้วก็คว้าชุดพระที่เก่าคร่ำคร่าและมอมแมมไม่ต่างกับผ้าขี้ริ้วมาสวมใส่ หยิบขลุ่ยชากูฮิจิคู่มือพระวณิพกมาถือไว้ ฉวยหมวกเก่าคร่ำคร่าขึ้นมาสวมคลุมหน้าคลุมตาลงบันไดโบสน์มุ่งหน้าไปทางตัวเมือง
หมวกเก่าคร่ำคร่าของพระวณิพกไม่ใช่หมวกฟางอย่างที่ใช้กันกันแดดกันฝนทั่วไป แต่มีรูปทรงคล้ายตะกร้าก้นลึกสานด้วยไม้ไผ่ และรองเท้าฟางที่ใส่ก็สึกจนแทบไม่เหนือเนื้อฟางจนต้องเดินลาก ทั้งเนื้อทั้งตัวดูทรุดโทรมไม่ผิดอะไรกับหุ่นไล่กาเดินได้ แม้แต่หนวดหรอมแหรมเหนือริมฝีปากก็ไม่เหลือร่องรอยของซามูไรผู้งามสง่าเมื่อปางก่อน ทันซาเอมอนเข้าเมืองไปบิณฑบาตหรือจะพูดให้ถูกก็คือขอทานในสภาพเช่นนี้ทุกเช้าเว้นแต่วันฝนตก
เช้านี้พระวณิพกอ่อนระโหยโรยแรงแทบจะไม่มีแรงเดินเพราะนอนไม่หลับตลอดคืน ไม่เหมือนสาวน้อยอาเกมิที่ร้องไห้คร่ำครวญแทบเป็นแทบตายแต่พอได้น้ำต้มโซบะร้อน ๆ เข้าไปก็สงบลงและนอนหลับสนิท ปล่อยให้ตนนอนลืมตาโพลงอยู่จนสว่าง
ท้องฟ้าโปร่งแจ่มใสและอากาศสดชื่นแจ่มใสไม่อาจลบเรื่องราวที่เป็นเหตุให้อดีตซามูไรผู้นี้นอนไม่หลับให้เลือนไปจากใจ แม้แต่ตนเองก็ยังไม่นึกว่ามันจะติดตรึงอยู่อย่างเหนียวแน่นเช่นนี้
ตอนนั้น โอซือน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่สาวน้อย
ทันซาเอมอนหวนคิดถึงถึงเรื่องราวแต่หนหลัง
แม้สาวน้อยอาเกมิจะไม่สวยสง่าเท่าแต่ก็ใสซื่อน่ารัก โอซือเป็นหญิงงามดูดีมีชาติตระกูลแต่ก็มีอะไรในตัวนางที่ทำให้รู้สึกเย็นชาไม่กล้าตีสนิทด้วย ขณะที่อาเกมิมีเสน่ห์ชวนชม ไม่ว่าจะยามร้องไห้ หัวเราะ หรือยามขึ้งโกรธ
เสน่ห์ของสาวน้อยผู้นี้เองที่พัดกระพือให้ใจชายสูงวัยกระชุ่มกระชวยเหมือนชายหนุ่มขึ้นมาอีกครั้งตั้งแต่หัวค่ำ ใจสองใจต่อสู้กันจนนอนไม่หลับกระสับกระส่าย พอพลิกไปเห็นใบหน้ายามหลับพริ้มของอาเกมิก็รีบพลิกหน้าหนีวนเวียนอยู่อย่างนั้น ใจหนึ่งประณามเกรี้ยวกราด
ทันซาเอมอน คนอย่างเจ้ายังจะหมกมุ่นอยู่กับกามโลกีย์อีกรึ หรือว่าเวรกรรมที่ทำมายังไม่พอ ลืมไปแล้วหรือว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้ต้องมาตกอยู่ในสภาพเหมือนคนเดนตายอย่างนี้...ไม่ใช่เพราะผู้หญิงหรอกหรือ ตระกูลนักรบที่ประวัติยาวนานสืบทอดกันมาแต่โบราณหลายรุ่นวัยถึงได้ล่มสลาย ไม่ใช่เพราะกิเลศตัณหาที่มีต่อโอซือหรอกหรือที่ทำให้หน้ามืดตามัวจนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องใหญ่
หรือว่ายังไม่เข็ด
อีกใจหนึ่งแก้ว่า
ถึงข้าจะปลงตกใส่ชุดพระ ถือขลุ่ยชากูฮาจิ ใส่หมวกสานไม้ไผ่เป็นพระวณิพกร่อนเร่พเนจรอยู่อย่างนี้ แต่ก็ยังห่างไกลจากทางแห่งพระอรหันต์มากนัก ยังไม่พบแม้ทางที่จะพาใจและกายออกไปสู่ความสว่างในโลกแห่งธรรมะ
คิดวกวนจนสมองล้า และพอจะเคลิ้มหลับก็รุ่งสาง ความเหนื่อยอ่อนและง่วงงุนที่ค้างอยู่ทำให้แทบไม่มีแรงเดินอยู่แล้ว แต่พอตาตื่นก็เริ่มคิดสับสนอีก
ทันซาเอมอนสะบัดหัวคล้ายจะไล่ความคิดออกไปให้หมดแล้วเริ่มคิดใหม่
เลิกคิดเรื่องชู้สาวเสียทีเถิดทันซาเอมอน
อาเกมิเป็นสาวน้อยกำลังน่ารักน่าเอ็นดู แต่กลับต้องมีราคีติดตัวเพราะน้ำมือชายใจโฉด ควรที่เราจะต้องช่วยปลอบโยน และทำให้นางเห็นว่าชายในโลกนี้ไม่ได้เป็นปีศาจบ้ากามไปเสียทุกคน
ขากลับเราจะซื้อยากับซื้ออะไรไปฝากดีนะ คิดถึงความสุขของอาเกมิแล้วค่อยมีแรงเป่าขลุ่ยเรี่ยรายเงินทำบุญขึ้นมาหน่อย อย่าฟุ้งซ่านไปกับเสน่ห์สาวน้อยมากไปกว่านี้เลยดีกว่า
คิดได้ดังนั้นจิตใจของทันซาเอมอนก็ผ่องแผ้วหน้าตามีเลือดฝาดแจ่มใสขึ้น และระหว่างที่เดินเลาะแนวหน้าผาอยู่นั้นเองก็ต้องตกใจแทบก้าวพลาดเมื่อเหยี่ยวตัวใหญ่ร่อนผ่านหัวไปในระยะกระชั้นชิดบังแสงอาทิตย์มืดไปวูบหนึ่ง
“เฮ้ย”
พระวณิพกร้องลั่นและพอขึ้นไปเห็นขนนกน้อยสีเทาเป็นปุยปลิวคว้างจากกิ่งไม้ลงมาเหนือหัว จึงมองสูงขึ้นไปอีกและพบพญาเหยี่ยวมีนกน้อยอยู่ในกรงเล็บร่อนอยู่เหนือขึ้นไปบนฟ้า แสงแดดส่องผ่านปีกที่กางกว้างเห็นแนวขนนกเป็นลวดลายชวนชม
“เรียบร้อย”
เสียงใครคนหนึ่งแว่วมาพร้อมกับเสียงเป่าปากดังหวิวของเจ้าของเหยี่ยวล่าเหยื่อตัวนั้น
2
ไม่นานชายสองคนในชุดล่าสัตว์ก็เดินลงมาจากทางลาดเนินหลังวัดเอ็นเน็นจิ
คนหนึ่งมีเหยี่ยวเกาะอยู่ที่กำปั้นซ้าย อีกมือที่อยู่ด้านตรงข้ามกับดาบใหญ่และเล็กที่เอวถือถุงตาข่ายสำหรับใส่เหยื่อที่จับได้เอาไว้ มีหมาล่าสัตว์สีน้ำตาลท่าทางปราดเปรียวเดินตามหลังมาติด ๆ
ชายผู้นี้คือโยชิโอกะ เซจูโร แห่งสำนักดาบที่ชิโจ
อีกคนหนึ่งเป็นหนุ่มรูปงามที่ดูอ่อนกว่าเซจูโรหลายปี ร่างสูงเพรียวแต่แข็งแกร่งอยู่ในชุดกิโมโนสีสดแบบที่กำลังอยู่ในสมัยนิยม คาดดาบเล่มยาวกว่าใคร ๆ สพายแล่งอยู่ข้างหลัง และไว้ผมปรกหน้าผากโดยไม่เกล้าขึ้นแบบซามูไรทั่วไป คงไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อไปเพราะน่าจะรู้กันแล้วว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
ซาซากิ โคจิโร ผู้มีฝีดาบพิฆาตนกนางแอ่น
“ใช่ ข้าว่าแถวนี้แหละ”
โคจิโรหยุดยืนและมองไปรอบ ๆ ด้วยท่วงทีสง่างามยิ่งนัก
“เมื่อเย็นวานเจ้าลิงน้อยของข้าฟัดกับเจ้าหมาล่าสัตว์ตัวนั้นและถูกหมากัดหาง คงจะกลัวหัวหดและหนีเข้าไปซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งไม่เห็นหัวอีกเลย หรือว่าจะซ่อนอยู่บนต้นไม้ก็ไม่รู้”
“ไม่อยู่แล้วละมัง ลิงมันมีขาป่านนี้เผ่นไปไหน ๆ แล้ว”
เซจูโรพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ท่านนี่ก็พิกลอยู่ ข้าไม่เคยเห็นใครพาลิงมาล่าสัตว์ด้วยมาก่อน”
ว่าพลางทรุดตัวลงนั่งบนโขดหินตรงนั้น ส่วนโคจิโรนั่งลงบนตอไม้ข้าง ๆ กัน
“ข้าไม่ได้พามันมา เจ้าลิงจ๋อนั่นมันอยากตามมาเองต่างหาก แต่มันน่ารักดีนะท่าน เวลาหายหัวไปอย่างนี้เหงาเลย”
“คิดว่าคนรักหมารักแมวจะมีแต่พวกผู้หญิง แต่พอมาเห็นซามูไรที่กล้าหาญชาญชัยอย่างท่านเลี้ยงลูกลิงด้วยความรักเอ็นดู จึงอดแปลกใจไม่ได้”
เซจูโรเคยเห็นและนับถือฝีมือดาบของโคจิโรมาตั้งแต่ตอนเกิดเหตุที่ทำนบเคมะ เมื่อได้ล่วงรู้ถึงความนิยมส่วนตัวของเจ้าหนุ่มเข้าเช่นนี้ คงมองว่ายังเป็นเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมละมังจึงได้พูดออกไปเช่นนั้น
เมื่อพูดถึงอายุโคจิโรยังหนุ่มมาก และหลังเกิดเหตุและได้พักอยู่ในเรือนเดียวกันมาสามสี่วัน เซจูโรรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นคนที่คบได้และทำตัวสนิทสนมด้วย
“ฮะ ฮะ ฮะ”
เจ้าหนุ่มรูปงามหัวเราะชอบใจ เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
“คงเป็นเพราะข้ายังเป็นเด็กอ่อนหัดอยู่ละมัง แต่คิดว่าอีกไม่นานคงจะรู้จักรักผู้หญิง แล้วเจ้าลิงจ๋อก็จะต้องถูกทิ้งแน่”
โคจิโรเริ่มชวนคุย แต่เซจูโรกลับมีท่าทางกระวนกระวายและหน้าเครียดขึ้นตามลำดับ ตาวาวด้วยความระแวงไม่แพ้ตาเหยี่ยวที่เกาะอยู่บนกำหมัด
“พระวณิพกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ข้าเห็นยืนชำเลืองมองเราอยู่นานแล้ว”
โคจิโรได้ยินอีกฝ่ายหนึ่งบ่นจึงเหลียวไปมอง ทำให้ทันซาเอมอนซึ่งยืนมองคนทั้งสองอยู่นานแล้วรู้ตัว รีบหันหลังและออกเดินต่อไป
“ท่านกันริว”
เซจูโรเรียกโคจิโรด้วยสมญาที่มีผู้ตั้งให้นักดาบรูปงามผู้นี้ แล้วผลุดลุกขึ้นจากโขดหินเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“กลับกันดีกว่า ข้าคิดว่าไม่ใช่เวลาที่เราจะมัวสนุกอยู่กับการล่าสัตว์เสียแล้ว วันนี้วันที่ 29 จะสิ้นปีอยู่อีกไม่กี่วัน กลับโรงฝึกกันเถอะ”
แต่โคจิโรยังสนุกกับการลล่าสัตว์ที่เพิ่งจะเริ่มด้วยจึงไม่ยอมกลับง่าย ๆ และค้านยิ้ม ๆ ว่า
”อะไรกันท่าน อุตส่าห์พาเหยี่ยวออกมาทั้งที นี่เพิ่งจะได้นกเขามาตัวนึง นกตัวเล็กตัวน้อยอีกสองสามตัวเท่านั้นเอง ปีนเขาสูงขึ้นไปอีกดีกว่านะ”
“เลิกเถอะ เวลาไม่มีสมาธิเราจะบังคับเหยี่ยวให้บินไม่ได้ดังใจ กลับไปฝึกซ้อมวิชาดาบกันเป็นดีที่สุด ฝึกซ้อม เราต้องฝึกซ้อม”
เซจูโรทิ้งท้ายคล้ายบอกกับตนเอง ท่าทางของนักดาบเจ้าสำนักดูจริงจังกว่าธรรมดา และพอเห็นว่าอีกฝ่ายยังอิดออดอยู่ก็ทำหน้าเหมือนจะบอกว่า ถ้าอยากอยู่ก็เชิญ ข้ากลับคนเดียวก็ได้
3
“กลับก็กลับ”
โคจิโรเดินตามไป ทำหน้าไม่ค่อยพอใจนัก
“ขอโทษนะที่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ”
“อะไรรึ”
“ก็ข้าน่ะซี โคจิโรคนนี้แหละที่ไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจ ชวนท่านพาเหยี่ยวออกมาล่าเหยื่อเมื่อวานก็ทีหนึ่งแล้ว และยัง
วันนี้อีก”
“ไม่เป็นไร รู้ว่าท่านชอบข้าก็ดีใจ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าอีกสองวันก็จะสิ้นปีแล้ว และอย่างที่บอกคือการประลองฝีมือครั้งสำคัญกับยามาโมโตะ มูซาชิ ก็กำลังใกล้เข้ามาทุกที”
“ข้ารู้ และเห็นว่าท่านกำลังกังวลใจ ก็เลยชวนออกมาล่าสัตว์เพื่ออารมณ์ที่ตึงเครียดจะได้ผ่อนคลายลงบ้าง แต่รู้สึกจะไม่ได้ผลกับคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างท่าน”
“ยิ่งได้ฟังเสียงเล่าลือ ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ามูซาชิไม่ใช่ศัตรูที่เราจะประมาทได้”
“หากเป็นเช่นนั้น เราก็ยิ่งต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมืออย่างสงบ ไม่ตื่นเต้น ไม่วู่วาม ข้าว่าท่านควรฝึกสมาธิให้มั่นคง”
“ข้าไม่ได้วู่วามหรือตื่นตระหนก กฎเหล็กของวิทยายุทธข้อแลกคืออย่าดูหมิ่นศัตรู ข้าคิดว่าเราต้องฝึกฝนกลยุทธ์เชิงดาบให้แกร่งกล้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกว่าจะถึงวันประลองฝีมือ และหากเราแพ้ซึ่งมีโอกาสหนึ่งในหมื่น เราก็จะยืดอกบอกได้ว่าเราแพ้หลังจากสู้จนสุดความสามารถแล้ว แพ้เพราะฝีมือไม่เทียมทันคู่ต่อสู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะช่วยอะไรได้”
โคจิโรชื่นชมความเป็นคนตรงไปตรงมาของเซจูโร แต่ในเวลาเดียวกันก็มองเห็นได้ชัดว่าใจของนักดาบผู้นี้ไม่แกร่งและหนักแน่นพอ ไม่มีบารมีพอที่จะสืบทอดสำนักดาบอันยิ่งใหญ่และเกียรติคุณโยชิโอกะ เค็มโปผู้ก่อตั้งให้ยั่งยืนต่อไปได้ ซามูไรหนุ่มแอบเวทนาอยู่ในใจ...เด็นชิจิโรผู้น้องยังมีราศีกว่ามาก
แต่เด็นชิจิโรนั้นแม้ว่าฝีมือดาบจะเหนือกว่าเซจูโรก็จริง แต่ก็ทำตัวตามสบายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญตามประสาที่ถูกเลี้ยงมาในฐานะลูกชายคนรองของตระกูลที่ไม่ต้องรับผิดชอบ
เซจูโรแนะนำให้โคจิโรรู้จักกับน้องชายของเขาคนนี้ แต่ทั้งคู่ดูเหมือนจะมีอะไรที่ขัดกันอยู่ตั้งแต่แรกพบแล้วก็เลยวางหูขวางตนกันมาตั้งแต่นั้น
โยชิโอกะ เซจูโร เป็นคนตรง มีฝีมือแต่เสียดายที่ใจปลาซิว เราควรหาทางช่วยเขาบ้าง
นักดาบหนุ่มรูปงามคิดได้เช่นนั้นจึงอุตส่าห์ชวนกันพาเหยี่ยวออกมาล่าเหยื่อด้วยความหวังว่าจะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ที่ตึงเครียด และลืมเรื่องการประลองฝีมือกับมูซาชิสักชั่วขณะก็ยังดี แต่เมื่อเซจูโรไม่ร่วมมือเอาเสียเลยอย่างนี้ โคจิโรก็ชักจะหมดปัญญา
อุตส่าห์วางแผนเสียดิบดีแต่กลับชวนกลับโรงฝึกเสียเฉย ๆ บอกว่าต้องฝึก ต้องฝึกให้หนัก...ก็ดีที่จริงจังขนาดนี้ แต่อยากถามนักว่าจะฝึกวิทยายุทธให้แกร่งกล้ายิ่งขึ้นไปได้ขนาดไหนในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนถึงวันประลองฝีมือ
แต่นิสัยเขาเป็นอย่างนี้ เราคงช่วยอะไรไม่ได้
โคจิโรนึกเสียดายอยู่ลึก ๆ ที่จำใจที่ต้องวางดาบที่หวังว่าจะช่วยยกขึ้นรับคบดาบของศัตรูเป็นมือที่สอง
เจ้าหนุ่มรูปงามเดินตามเซจูโรเงียบ ๆ ไปได้พักหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าเจ้าหมาล่าสัตว์สีน้ำตาลไม่ได้เดินตามมา และขณะที่หยุดมองหาไปรอบ ๆ นั้นก็แว่วเสียงหมาเห่าขรมไกลออกไปทางด้านโน้น
โฮ่ง โฮ่ง
“สงสัยจะเห่าบอกเราว่าเจอเหยื่อ”
ตากลมโตของโคจิโรวาวขึ้น แต่เซจูโรไม่ใส่ใจและตัดบทว่า
“ช่างมันเถอะ ปล่อยให้มันเห่าไป เดี๋ยวก็วิ่งตามกลับมาเอง”
“แต่...ท่าน”
แววตากลมโตของเจ้าหนุ่มสลดลงด้วยความเสียดาย
“รอแป๊บหนึ่งนะ ข้าขอไปดูนิดนึง”
โคจิโรวิ่งไปทางที่ได้ยินเสียงหมาเห่า ก็เห็นเจ้าหมาล่าสัตว์สีน้ำตาลอยู่บนชานระเบียงโบสถ์เก่าแก่ที่ชำรุดทรุดโทรม แยกเขี้ยวขาวเห่าอย่างดุร้ายพลางกระโจนเข้าใส่ประตูที่หักพังบ้าง ตะกุยตะกายเสาและข้างฝาดัวยกำลังแรงบ้าง เปลี่ยนไปพุ่งตัวกระโจนเข้าใส่หน้าต่างบ้างประตูบ้างแต่ก็ยังเข้าไปข้างในไม่ได้