นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
นักดาบหน้าบากลากสังขารเจียนหมดลมคืบใกล้เข้ามา เห็น ๆ อยู่ว่าขาถูกล่ามอยู่กับก้อนหินใหญ่แต่ก็ยังคืบคลานเข้ามาได้ มาตาฮาจิกระเถิบถอยหลัง กลืนน้ำลายแล้วอ้าปากค้าง ตาเหลือกลานแทบจะถลนออกมานอกเบ้า
นักดาบที่คิดว่าตายไปนานแล้วยังแค่เจียนตาย พยายามจะพูดแต่ไม่มีคำพูดลอดริมฝีปากเขียวดำและแห้งเกราะออกมาแม้แต่คำเดียว มีแต่เสียงหวีดหวิวเหมือนขลุ่ยแตกของลมปราณที่ดังออกมาจากลำคอ
มาตาฮาจิไม่ได้ตื่นตระหนกที่นักดาบหน้าบากยังไม่ตาย แต่ตื่นตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาที่เห็นนักดาบเคราะห์ร้ายผู้นั้นคืบคลานใกล้เข้ามา ๆ ทีละนิด ทั้งที่มือสองข้างถูกมัดติดกับเอวไว้อย่างแน่นหนาเชือกเส้นใหญ่พันหลายทบ และขาสองข้างถูกล่ามไว้กับหินก้อนใหญ่ ทำให้คิดว่าถ้ายังดี ๆ นักดาบผู้นี้จะมีพลังสักปานใด
คนงานคนหินที่ได้ชื่อว่ายักษ์ปักหลั่นอย่างมากก็มีแรงเท่าคนสิบหรือยี่สิบคนเป็นอย่างมาก แต่ไม่เคยเห็นมีใครสักคนที่แม้กำลังใกล้ตายก็ยังมีเรี่ยวแรงเหนือมนุษย์เช่นนี้ ก็ไม่แน่เหมือนกัน...คนเราโดยเฉพาะนักดาบเวลาเห็นพญามัจจุราชยืนรอรับตัวอยู่ตรงหน้าอาจรวบรวมกำลังจนหมดสุดท้ายฮึดสู้ขึ้นมาก็ได้
นักดาบหน้าบากคืบคลานเข้ามา เบิกตาโพลงจับจ้องมาที่มาตาฮาจิ ทำเอาเจ้าหนุ่มต้องกระเถิบถอยหนีห่างออกอีก
ความที่พยายามจนสุดชีวิตในที่สุดก็เค้นเสียงเป็นคำพูดกระท่อนกระแท่นออกมาได้เบาหวิวราวกับเสียงลม
“ช...ช่ว...ย ข้...า หน่อย ถ...เถิด”
มาตาฮาจิกระเถิบออกไปห่างเกินกว่าจะจับความได้ แต่พอจะอ่านความหมายออกจากดวงตาที่จับจ้องมา หัวตาแดงจัด ราวสีเลือด เจ้าหนุ่มไม่คิดว่าตนตาฝาดที่เห็นน้ำตาคลอคลองอยู่เต็มเป้า
“ข้า...ขอ..ร...ร้อง”
นักดาบหน้าบากขอร้องพร้อมผงกหัวและแน่นิ่งไป ผิวหนังที่มองเห็นตรงท้ายทอยซีดดำเหมือนผิวหนังของศพไปแล้ว ฝูงมดเริ่มพากันมาไต่ตอมหน้าตาและผมเผ้า ตัวหนึ่งไปดม ๆ อยู่ตรงรูจมูกที่มีเลือดคั่งอยู่
สิ้นใจแล้ว แต่ เอ๊ะ นายคนนี้ขอร้องให้เราทำอะไรรึ
มาตาฮาจิยังรู้สึกอยู่ว่าตนเป็นหนี้บุญคุณ ยังไม่ได้ตอบแทนน้ำใจนักดาบเคราะห์ร้ายคนนี้ ผู้ใจดีให้ยาตนกินตอนที่ไม่สบายอยู่กลางแดด อย่าว่าแต่ตอบแทนน้ำใจนั้นเลย แค่เขาออกปากขอให้ช่วยส่งสัญญาณเตือนเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่มาก็ยังทำให้ไม่ได้ หรือว่าชะตากรรมจะบรรดาลให้ต้องมาเป็นเช่นนี้
เสียงเพลงเรียกพลังคนขนหินดังไกลออกไป บริเวณปราสาทเริ่มสลัวลงเมื่อใกล้ค่ำ พ่อค้าและชาวเมืองฟูจิมิที่ว่องไวหน่อยก็จุดไฟสว่างหน้าร้านเรือนกันแล้ว
จริงด้วย มาตาฮาจิมองไปที่ศพนักดาบหน้าบาก น่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น
คิดพลางยื่นมือไปที่ห่อผ้าติดตัวนักดาบที่ผูกเอวอยู่...อาจมีอะไรในนั้นที่พอจะบอกได้ว่านายคนนี้เป็นใคร บ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่ไหน แล้วเลยแปลความเอาว่าคนตาย คงอยากขอให้ตนส่งของติดตัวที่เหลืออยู่ไปให้คนที่บ้านเกิดเมืองนอน
มาตาฮาจิปลดห่อผ้าออกจากเอวศพมาใส่ไว้ในอกเสื้อพร้อมกับกลักใส่ยาที่มีตราประจำตระกูล ขณะที่กำลังหยิบผมคนตายขึ้นมาปอยหนึ่งคิดว่าจะตัดเอาไว้และมองลงไปที่หน้าศพนั้นเอง เจ้าหนุ่มก็ต้องหยุดยืนตัวแข็ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคนเดินใกล้เข้ามา
เจ้าหนุ่มผลุบเข้าไปซ่อนหลังก้อนหินและลอบมองออกมาก็เห็นว่าเป็นพวกซามูไรลาดตระเวน จึงรู้ตัวว่าจะอยู่ตรงนี้ต่อไปคงไม่รอดจากการถูกจับฐานขโมยของจากศพเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นจึงย่อตัวลง ย่องแอบหลังหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่ง จนเห็นปลอดคนแล้วจึงออกวิ่งแน่บไปเหมือนหนูป่า
2
ลมเย็นยามพลบค่ำพัดผ่านผิวกายให้รู้สึกได้ว่ากำลังอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง บวบหอมที่ห้อยลงมาจากร้านลูกโตพอจะเก็บกินได้แล้ว นางเมียร้านขนมนั่งอาบน้ำอยู่ได้ยินเสียงกุกกักภายในบ้าน ก็ชะโงกตัวเห็นผิวขาวเปลือยแวบ ๆ จากหลังบานประตูเข้าไปถาม
“ใครน่ะ มาตาฮาจิหรือ”
มาตาฮาจิวิ่งกลับมาที่ร้านขนมที่ตนอาศัยอยู่ ตรงเข้าไปค้นเสื้อผ้าในตู้ได้กิโมโนมาตัวหนึ่งพร้อมดาบประจำตัว คว้าผ้าแถบสำหรับเช็ดมือมาโพกหัวปิดหน้าปิดตา แล้วกลับลงไปใส่รองเท้าแตะฟางทันทีเตรียมออกอีก
“มืดแล้วไม่ใช่รึ มาตาฮาจิ”
“ไม่หรอก ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวจะออกไปจุดไฟให้นะ”
“ไม่ต้องหรอก ข้าจะออกไปข้างนอก”
“ไม่อาบน้ำรึ”
“ไม่อาบ”
“งั้นก็เช็ดตัวเสียหน่อย”
“ไม่ต้อง”
ยังไม่ทันขาดคำเจ้าหนุ่มก็วิ่งออกไปในทางหลังเรือนแถวที่ไม่มีทั้งรั้วและประตู หายเข้าไปในทุ่งหญ้า
ไม่กี่อึดใจต่อมาคนกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูตามกันเข้ามาในบ้านทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในจำนวนนั้นมีซามูไรที่หน้างานสร้างปราสาทรวมอยู่ด้วย
มาตาฮาจิหยุดยืนหอบ มองกลับไปเห็นเข้าจึงพึมพำออกมาอย่างเสียวไส้
“เกือบไม่รอดแล้วสิเรา”
พอพวกซามูไรลาดตระเวนพบศพนักดาบหน้าบากก็จะต้องรู้ทันทีว่าห่อผ้าและกลักใส่ยาของคนตายหายไป และเป็นธรรมดาที่จะต้องสงสัยว่าตนเป็นขโมยไปเพราะเป็นคนเดียวที่อยู่ข้าง ๆ ตรงนั้น
“แต่...ข้าไม่ได้ขโมยนะ ของพวกนั้นนักดาบหน้าบากเขาเอ่ยปากฝากไว้ ข้าจึงจำต้องเอามา”
มาตาฮาจิไม่ได้คิดว่าตนทำผิด และคิดว่าห่อผ้าที่อยู่ในอกเสื้อนั้นเป็นของที่ตนรับฝากเอาไว้
“พอกันทีงานขนหิน”
เจ้าหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าตั้งแต่พรุ่งนี้จะออกเดินทางพเนจรไปโดยไม่มีจุดหมาย ดีแล้วที่ได้โอกาสเหมาะไม่งั้นอาจต้องขนหินไปตลอดปีตลอดชาติก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นหนทางข้างหน้ากลับดูแจ่มใส
หญ้าในท้องทุ่งสูงเทียมบ่าชื้นน้ำค้างยามค่ำ ช่วยให้หนีสบายถึงเป็นที่โล่งแต่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมองมาเห็นแต่ไกล ว่าแต่จะไปทางไหนดีล่ะ ตัวคนเดียวจะไปไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไถ่ถามใคร ไปทางเหนือทางใต้และไม่ว่าทิศทางใดไม่โชคดีก็โชคร้ายก็คงคอยอยู่ เจ้าหนุ่มบอกตัวเองว่า ตนได้มาถึงจุดที่ชีวิตจะเปลี่ยนไปในทางดีหรือร้าย ต่างกันไปคนละสุดขั้วอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับที่ขาคู่นี้จะพาหันเหไปทางไหน...คงต้องฝากชีวิตไว้กับความบังเอิญ
จะมุ่งหน้าไปทางโอซากา เกียวโต นาโงยะ เอโดะ หรือก็ไม่รู้ว่าจะไปหาใครเพราะไม่มีเพื่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง จะให้ทอดลูกเต๋าเลือกจุดหมายก็คงไม่ไหว พึ่งไม่ได้ทั้งลูกเต๋าและตัวเอง คงต้องปล่อยตัวไปกับสายลม คือถ้าบังเอิญเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ก็เห็นจะต้องตกบันไดพลอยโจนไปตามนั้น
แต่เดินไปและเดินไปในพงหญ้าไกลมาไกลพอดูแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นมีเหตุบังเอิญอะไรสักอย่าง มีแต่เสียงแมลงกรีดปีกระงม หมอกที่หนาขึ้นทุกที ชายเสื้อกิโมโนเปียกน้ำค้างพันแข้งพันขา เมล็ดหญ้าติดหน้าแข้งหนุบหนับจนคันคะเยอ
มาตาฮาจิลืมอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวเมื่อตอนกลางวันไปแล้วและรู้สึกหิวขึ้นมาแทน กระเพาะว่างจนดูเหมือนน้ำย่อยจะพลอยแห้งเหือดไปด้วย และพอโล่งใจว่าไม่มีคนตามมาแล้วก็รู้สึกเหนื่อยแทบก้าวขาไม่ออกขึ้นมาทันใด
หาที่นอนตรงไหนสักแห่งถ้าจะดี
ความอ่อนเพลียอยากนอนพักชักนำให้มาตาฮาจิเดินมายังบ้านชายทุ่งหลังนี้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเข้าไปใกล้จึงพบว่ารั้วและซุ้มประตูหักพังเพราะโดยพายุโหมกระหน่ำแต่ไม่ใครดูแลซ่อมแซม ทำให้คิดว่าหลังคงบ้านก็คงไม่ดีกว่านี้ แต่ดูลักษณะของตัวเรือนแล้วน่าจะเคยเป็นบ้านพักของคนชั้นสูงมาก่อน พอจะวาดภาพสาวงามผู้สูงศักดิ์แต่งกายงดงามนั่งเสลี่ยงกั้นม่านสวยหรูมาจอดหน้าซุ้มประตู และลงมาเดินเยื้องกรายเข้าไปในเรือน
มาตาฮาจิเดินผ่านซุ้มประตูที่ไม่มีบานประตูเข้าไปภายในบริเวณบ้าน มองไปที่เรือนใหญ่และเรือนเล็กที่หญ้าขึ้นสูงจนแทบมองไม่เห็นตัวเรือน ทำให้นึกถึงบทกวีของไซเกียวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
กวีไซเกียวพรรณนาไว้ว่า
ข้ารู้ว่าคนรู้จักไปอยู่ที่ฟูชิมิ จึงเดินทางไปเยี่ยมเยือน แต่สวนบ้านนั้นหญ้าขึ้นสูงจนไม่เห็นทางเดิน และเมื่อได้ยินเสียงแมลงกรีดปีกระงม ข้าจึงร่ายบทกวีนี้ขึ้น...เดินผ่านพงหญ้า ชุ่มน้ำค้างในสวน ยกแขนเสื้อขึ้นซ่อนน้ำตา แม้แมลงยังคร่ำครวญ
---มาตาฮาจินึกถึงบทกวีที่เคยได้ฟังนานมาและยืนนิ่งหนาวใจอยู่ตรงนั้น และทันใดนั้นเองบ้านที่คิดว่าไม่มีคนอยู่ก็มีแสงไฟวาบขึ้นคล้ายฟืนที่คุอยู่ในเตาผิงถูกลมพัดให้ลุกโชน ตามมาด้วยเสียงขลุ่ยชากุฮาจิในอีกอึดใจหนึ่งต่อมา
มาตาฮาจิมองเข้าไปข้างในเรือนก็เห็นพระวณิพกนั่งเป่าขลุ่ยชากุฮาจิอยู่คนเดียวข้างเตาผิง เปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นทำให้เกิดเงาใหญ่โตของชายในชุดพระจับที่ฝาห้อง
ท่าทีของคนเป่าดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจเป่าให้ใครฟัง ไม่ได้เป่าเพราะหลงใหลในเสียงขลุ่ยของตน แต่เป็นการเป่าให้เสียงขลุ่ยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของค่ำคืนอันวังเวงและเดียวดายในฤดูใบร่วง