นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
นักดาบฝึกหัดหาหมวกฟางจนพบแล้วฉวยขึ้นมาบังหน้าบากที่เหี้ยมเกรียมดุดัน ย่อตัวลงเผ่นโผนขึ้นไปบนก้อนหิน กระโจนข้ามเป็นช่วง ๆ วิ่งหายวับไปในพริบตาราวกับลมสลาตันพัดผ่านหน้าไปโดยไม่มีใครทันเห็น ไม่ว่าจะคนงานขนหินหลายร้อยคนที่กลุ้มรุมก้อนหินใหญ่ยุบยับราวกับมด หรือซามูไรที่ถือแซ่และอาวุธเหงื่อไหลไคลย้อยควบคุมคนงานเป็นหมู่เหล่า
แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาคมเหยี่ยวของผู้บัญชาการที่จับจ้องจากหอนั่งบนเนินสูงลงมาที่หน้างานอย่างไม่ยอมให้มีสิ่งใดคลาดสายตาไปได้ เสียงออกคำสั่งดังกัมปนาทลงมาจากหอนั่ง ทำเอาบริวารที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ตีนบันไดปล่อยถ้วยดังเปรื่อง ทำหน้าเลิ่กลั่กถามกัน
“อะไรวะ”
“นั่นซี”
“หรือว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”
ก่อนกระโจนตามออกไปทางประตูไม้ไผ่ที่กั้นบริเวณหน้างานกับตัวเมือง คนงานได้สติวิ่งฝุ่นตลบตามกันมาเป็นฝูง
“จับมันให้ได้ สายลับจากโอซากา”
“หนอยแน่ะ...บุกมาถึงนี่ ไม่รู้อะไรเสียแล้ว”
“ฆ่ามัน ฆ่ามัน”
ช่างหิน ช่างไม้ และบริวารของผู้คุมงานวิ่งตามกันมาด้วย พลางร้องบอกกันเป็นทอด ๆ มุ่งเข่นฆ่า...สายลับจากโอซาการาวกับเป็นศัตรูคู่แค้นของตัวเอง
สุดท้ายนักดาบฝึกหัดหน้าบากก็ถูกกองยามเฝ้าประตูใช้กระบองหนามตะปูขัดขาจนเสียหลัก และกระโจนเข้ากลุ้มรุมจับเอาไว้ได้ขณะกำลังพยายามเล็ดลอดผ่านเกวียนเทียมวัวที่จอดอยู่ตรงนั้นออกไป
“ถอดหมวกออกดูหน้ามัน อย่าปล่อยให้หนีไปได้”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงสั่งจากบนหอนั่ง ฝ่ายไล่ล่าก็กระโจนเข้าใส่สุดแรง นักดาบหนุ่มหน้าบากคำรามลั่นและดิ้นสุดแรงเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกต้องให้จนมุม จนในที่สุดก็ตั้งตัวติดแย่งกระบองหนามจากผู้คุมฟาดหัวเจ้าของสุดแรงเกิดจนล้มคว่ำ ตีดะไปอีกสี่ห้าหัวจนได้ช่องจึงชักดาบออกมาตั้งท่าพร้อมแหวกวงล้อม คมดาบเป็นประกายวับเนื้อเหล็กดูแกร่งกล้าไม่แพ้ดาบของซามูไรประจำหมู่เหล่า ไม่น่าเป็นดาบติดตัวของนักดาบพเนจร
นักดาบหน้าบากฟาดฟันดาบแหวกทางออกมาพร้อมร้องคำรามขู่ขวัญ โดยไม่หยุดดูว่าฟาดฟันถูกใครอยู่หรือตายยังไง ทำเอาฝูงคนที่ล้อมรอบอยู่แตกกระเจิงถอยออกไปตั้งหลัก และทันใดนั้นเองก้อนหินใหญ่น้อยปลิวเข้ามาที่ร่างนักดาบหน้าบากประดังประเดจากทุกทิศทางไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้
“ฆ่ามัน”
“เอามันให้ตาย”
ขนาดพวกซามูไรผู้คุมงานยังถอยกันกรูดไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวลูกหลง จากฝูงคนที่กำลังบ้าคลั่ง คนงานพวกนี้ก็เหมือนชาวบ้านทั่วไปคือปกติเกลียดชังพวกนักดาบพเนจรกันอยู่แล้ว ว่าเป็นพวกเอาแต่อวดเก่งพกดาบเดินเบ่งไปทั่วโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์โพดผล และพอมาก่อเหตุเช่นนี้ขึ้นก็โกรธแค้นถึงกับเอาชีวิตกันทีเดียว
“ฆ่ามันเลย”
“ฆ่ามัน”
ไม่มีใครหยุดฝูงชนที่บ้าคลั่งได้ แต่ละคนฉวยก้อนหินทั้งใหญ่เล็กเท่าที่อยู่ใกล้มือขว้างเข้าใส่เป้าหมายไม่ยั้งมือ
“หยุดได้แล้วไอ้พวกหมาหมู่”
นักดาบหน้าบากมองไปที่ฝูงคน ดวงตาไร้แววหวังที่จะพบทางหนี ถ้ารวบรวมกำลังตีฝ่าออกไปฝูงคนก็คงแตกกระเจิง แต่จะเอากำลังมาจากไหนและจะทำได้ยังไง
2
มีคนเจ็บมากมายและหลายคนตาย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเพราะแค่อึดใจเดียวหลังจากนั้น ต่างคนก็ต่างกระจายตัวไปทำที่ของตนบนหน้างานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนขนหินก็ไปฉุดลากหินก้อนใหญ่มหึมากันต่อไป ช่างไม้ก็จับเครื่องมือตอกไม้ ช่างหินก็จับลิ่มสกัดหินเป็นประกายไฟ จนม้าที่อยู่แถวนั้นร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก
จวนจะย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วแต่บางวันเช่นวันนี้แสงแดดยามบ่ายยังร้อนแรงแทบดับจิต ใบไม้ใบหญ้าไม่กระดิก หมู่เมฆอ้อยอิ่งอยู่เป็นแนวจากปราสาทฟูจิมิไปยังเทือกเขาด้านโน้นมานานแล้ว ยังไม่เห็นเคลื่อนตัวไปสักที
“นิ่งไปแล้ว ถึงจะยังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาทำอะไรเราไม่ได้ ทิ้งไว้ตรงนี้แหละ คอยให้เจ้าหน้าที่มาเอาตัวไป พวกเจ้าเฝ้ามันไว้ให้ดีก็แล้วกัน ถ้ามันตายก็ปล่อยให้ตายไป”
มาตาฮาจิได้ยินเสียงสั่ง จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงหัวหน้างานหรือไม่ก็ซามูไรคุมงาน แต่ทำไมสมองถึงได้เลือนลางอย่างนี้ ตาเห็นหูได้ยินแต่สมองไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือว่าทั้งหมดเป็นความฝัน
ชีวิตคนเราทำไมจึงน่าเวทนาเช่นนี้ ชายคนนั้น เมื่อกี้ยังนั่งวาดแผนผังอยู่เลย...
เจ้าหนุ่มรำพึงอยู่ในใจขณะเบิกหนังตาที่หนักอึ้งขึ้น และทอดสายตาไปที่ร่างซึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้นดินห่างไปประมาณสิบก้าว
คงจะสิ้นใจตายไปแล้ว โธ่เอ๋ย อายุอานามน่าจะยังไม่สามสิบเลย
นักดาบหน้าบากถูกมัดด้วยเชือกเส้นใหญ่ล่ามไว้กับก้อนหิน ใบหน้าที่เหี้ยมเกรียมดุดันบัดนี้ดำคล้ำเปื้อนเลือดและดินเอียงพับไปข้างหนึ่ง รุมกันถึงตายขนาดนี้แล้วไม่เห็นจะต้องมัดต้องล่ามกันอีกเลย
มาตาฮาจิยิ่งมองก็ยิ่งสงสารเจ้าหนุ่มเคราะห์ร้าย ดูนั่นซี...ไม่รู้ว่าโดนอะไรฟาดเข้าให้ที่หน้าแข้ง กระดูกถึงได้หักขาเว่อออกนอกเนื้ออย่างนั้น หัวแตกยับเยินเลือดไหลชุ่มหัวเหนอะหนะเส้นผม ตัวเหลือบบินมาตอมเป็นฝูง มดไต่ยั้วเยี้ยเต็มแขนขา
เจ้าหนุ่มคนนี้ก็คงเหมือนคนอื่น ๆ ที่ออกเดินทางพเนจรเพื่อฝึกวิชาดาบพร้อมกับความหวังเต็มอก...บ้านเกิดของเจ้าอยู่ที่ไหน มีพ่อมีแม่หรือไม่
คิดมาถึงตรงนี้ มาตาฮาจิรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงชีวิตของนักดาบพเนจรคนนี้ หรือคิดถึงตัวเองกันแน่
ถ้าจากบ้านเกิดมาพร้อมกับความหวัง ก็น่าจะเลือกทางชีวิตที่จะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองกว่านี้
เจ้าหนุ่มพึมพำ
ยุคนี้เป็นช่วงที่การบูรณะฟื้นฟูญี่ปุ่นให้สมบูรณ์แบบดำเนินไปอย่างเร่งรัด เปลวไฟแห่งความทะเยอทะยานในวัยหนุ่มถูกกระพือพัดให้โชติช่วง
หนุ่มเอ๋ยเจ้าจงมีความฝันอันสูงสุด...ผงาดขึ้นเถิดเจ้าหนุ่มเอ๋ย
แม้มาตาฮาจิเองก็ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศในสังคมที่ใคร ๆ ก็สามารถฝันได้ว่าจะตั้งตัวเป็นเจ้าของปราสาทผู้ครองแคว้นได้โดยเริ่มจากศูนย์
ดังนั้น บรรดาชายหนุ่มพากันจึงเดินทางจากบ้านเกิด บางคนก็จากมาโดยไม่คิดถึงญาติพี่น้องที่บ้านเกิด ส่วนใหญ่ออกเดินทางมาเป็นนักดาบฝึกหัด ซึ่งสมัยนี้เดินทางไปที่ไหนก็จะมีคนช่วยอุปถัมภ์ไม่ต้องกลัวอดตาย เพราะพวกชาวไร่ชาวนาต่างสนใจวิชาดาบและนักดาบด้วยกันทั้งนั้น
จะไปอาศัยตามวัดเข้าวัดนั้นออกวัดนี้ก็ยังได้ บางคนอาจโชคดีได้รับเชิญไปเป็นแขกของเศรษฐีบ้านนอก และบางคนอาจโชคดีไปกว่านั้น ถ้าบังเอิญไปถูกชะตากับผู้ครองนครและได้รับบำเหน็จรางวัลบ้างก็ได้
แต่ว่ากันตามจริง ในบรรดาเจ้าหนุ่มที่ออกเดินทางแสวงโชค จะมีคนโชคดีเช่นนั้นอยู่เพียงไม่ถึงหยิบมือก็ว่าได้ และในจำนวนหมื่นคนคงจะมีสักสองหรือสามคนละมังที่ประสบความสำเร็จได้มีหน้ามีตาในสังคม ที่เหลือก็ได้แต่ทำใจน้อมรับความยากลำบากของการเป็นนักดาบฝึกหัด และความพยายามที่ไม่มีวันบรรลุผลกันต่อไป
ไม่บ้าก็โง่
มาตาฮาจินึกเวทนามิยาโมโตะ มูซาชิเพื่อนร่วมถิ่นที่เลือกทางเดินไร้อนาคตเช่นนั้น และตั้งใจว่าจะต้องสร้างเนื้อสร้างตัวให้เหนือกว่าเพื่อนคนนี้โดยไม่เลือกวิถีทางของคนไม่บ้าก็โง่เช่นนี้เด็ดขาด ยิ่งเห็นนักดาบหน้าบากที่นอนตายอย่างหมดสภาพคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่เอาด้วยเด็ดขาด
เอ๊ะ ?
มาตาฮาจิผงะ ตาเหลือกลานเมื่อเห็นมือคนตายที่มีมดตอมอยู่ยั้วเยี้ยกระตุกจนมดกระจาย
อึดใจต่อมาร่างนั้นค่อย ๆ ยันตัวขึ้นอย่างลำบาก เงยหน้า และ คลานช้า ๆ เข้ามาหา
มาตาฮาจิเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตระหนกสุดขีด
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
นักดาบฝึกหัดหาหมวกฟางจนพบแล้วฉวยขึ้นมาบังหน้าบากที่เหี้ยมเกรียมดุดัน ย่อตัวลงเผ่นโผนขึ้นไปบนก้อนหิน กระโจนข้ามเป็นช่วง ๆ วิ่งหายวับไปในพริบตาราวกับลมสลาตันพัดผ่านหน้าไปโดยไม่มีใครทันเห็น ไม่ว่าจะคนงานขนหินหลายร้อยคนที่กลุ้มรุมก้อนหินใหญ่ยุบยับราวกับมด หรือซามูไรที่ถือแซ่และอาวุธเหงื่อไหลไคลย้อยควบคุมคนงานเป็นหมู่เหล่า
แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาคมเหยี่ยวของผู้บัญชาการที่จับจ้องจากหอนั่งบนเนินสูงลงมาที่หน้างานอย่างไม่ยอมให้มีสิ่งใดคลาดสายตาไปได้ เสียงออกคำสั่งดังกัมปนาทลงมาจากหอนั่ง ทำเอาบริวารที่นั่งจิบน้ำชาอยู่ตีนบันไดปล่อยถ้วยดังเปรื่อง ทำหน้าเลิ่กลั่กถามกัน
“อะไรวะ”
“นั่นซี”
“หรือว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”
ก่อนกระโจนตามออกไปทางประตูไม้ไผ่ที่กั้นบริเวณหน้างานกับตัวเมือง คนงานได้สติวิ่งฝุ่นตลบตามกันมาเป็นฝูง
“จับมันให้ได้ สายลับจากโอซากา”
“หนอยแน่ะ...บุกมาถึงนี่ ไม่รู้อะไรเสียแล้ว”
“ฆ่ามัน ฆ่ามัน”
ช่างหิน ช่างไม้ และบริวารของผู้คุมงานวิ่งตามกันมาด้วย พลางร้องบอกกันเป็นทอด ๆ มุ่งเข่นฆ่า...สายลับจากโอซาการาวกับเป็นศัตรูคู่แค้นของตัวเอง
สุดท้ายนักดาบฝึกหัดหน้าบากก็ถูกกองยามเฝ้าประตูใช้กระบองหนามตะปูขัดขาจนเสียหลัก และกระโจนเข้ากลุ้มรุมจับเอาไว้ได้ขณะกำลังพยายามเล็ดลอดผ่านเกวียนเทียมวัวที่จอดอยู่ตรงนั้นออกไป
“ถอดหมวกออกดูหน้ามัน อย่าปล่อยให้หนีไปได้”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงสั่งจากบนหอนั่ง ฝ่ายไล่ล่าก็กระโจนเข้าใส่สุดแรง นักดาบหนุ่มหน้าบากคำรามลั่นและดิ้นสุดแรงเหมือนสัตว์ป่าที่ถูกต้องให้จนมุม จนในที่สุดก็ตั้งตัวติดแย่งกระบองหนามจากผู้คุมฟาดหัวเจ้าของสุดแรงเกิดจนล้มคว่ำ ตีดะไปอีกสี่ห้าหัวจนได้ช่องจึงชักดาบออกมาตั้งท่าพร้อมแหวกวงล้อม คมดาบเป็นประกายวับเนื้อเหล็กดูแกร่งกล้าไม่แพ้ดาบของซามูไรประจำหมู่เหล่า ไม่น่าเป็นดาบติดตัวของนักดาบพเนจร
นักดาบหน้าบากฟาดฟันดาบแหวกทางออกมาพร้อมร้องคำรามขู่ขวัญ โดยไม่หยุดดูว่าฟาดฟันถูกใครอยู่หรือตายยังไง ทำเอาฝูงคนที่ล้อมรอบอยู่แตกกระเจิงถอยออกไปตั้งหลัก และทันใดนั้นเองก้อนหินใหญ่น้อยปลิวเข้ามาที่ร่างนักดาบหน้าบากประดังประเดจากทุกทิศทางไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้
“ฆ่ามัน”
“เอามันให้ตาย”
ขนาดพวกซามูไรผู้คุมงานยังถอยกันกรูดไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวลูกหลง จากฝูงคนที่กำลังบ้าคลั่ง คนงานพวกนี้ก็เหมือนชาวบ้านทั่วไปคือปกติเกลียดชังพวกนักดาบพเนจรกันอยู่แล้ว ว่าเป็นพวกเอาแต่อวดเก่งพกดาบเดินเบ่งไปทั่วโดยไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์โพดผล และพอมาก่อเหตุเช่นนี้ขึ้นก็โกรธแค้นถึงกับเอาชีวิตกันทีเดียว
“ฆ่ามันเลย”
“ฆ่ามัน”
ไม่มีใครหยุดฝูงชนที่บ้าคลั่งได้ แต่ละคนฉวยก้อนหินทั้งใหญ่เล็กเท่าที่อยู่ใกล้มือขว้างเข้าใส่เป้าหมายไม่ยั้งมือ
“หยุดได้แล้วไอ้พวกหมาหมู่”
นักดาบหน้าบากมองไปที่ฝูงคน ดวงตาไร้แววหวังที่จะพบทางหนี ถ้ารวบรวมกำลังตีฝ่าออกไปฝูงคนก็คงแตกกระเจิง แต่จะเอากำลังมาจากไหนและจะทำได้ยังไง
2
มีคนเจ็บมากมายและหลายคนตาย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจเพราะแค่อึดใจเดียวหลังจากนั้น ต่างคนก็ต่างกระจายตัวไปทำที่ของตนบนหน้างานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนขนหินก็ไปฉุดลากหินก้อนใหญ่มหึมากันต่อไป ช่างไม้ก็จับเครื่องมือตอกไม้ ช่างหินก็จับลิ่มสกัดหินเป็นประกายไฟ จนม้าที่อยู่แถวนั้นร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก
จวนจะย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วแต่บางวันเช่นวันนี้แสงแดดยามบ่ายยังร้อนแรงแทบดับจิต ใบไม้ใบหญ้าไม่กระดิก หมู่เมฆอ้อยอิ่งอยู่เป็นแนวจากปราสาทฟูจิมิไปยังเทือกเขาด้านโน้นมานานแล้ว ยังไม่เห็นเคลื่อนตัวไปสักที
“นิ่งไปแล้ว ถึงจะยังไม่ตายก็ลุกขึ้นมาทำอะไรเราไม่ได้ ทิ้งไว้ตรงนี้แหละ คอยให้เจ้าหน้าที่มาเอาตัวไป พวกเจ้าเฝ้ามันไว้ให้ดีก็แล้วกัน ถ้ามันตายก็ปล่อยให้ตายไป”
มาตาฮาจิได้ยินเสียงสั่ง จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงหัวหน้างานหรือไม่ก็ซามูไรคุมงาน แต่ทำไมสมองถึงได้เลือนลางอย่างนี้ ตาเห็นหูได้ยินแต่สมองไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือว่าทั้งหมดเป็นความฝัน
ชีวิตคนเราทำไมจึงน่าเวทนาเช่นนี้ ชายคนนั้น เมื่อกี้ยังนั่งวาดแผนผังอยู่เลย...
เจ้าหนุ่มรำพึงอยู่ในใจขณะเบิกหนังตาที่หนักอึ้งขึ้น และทอดสายตาไปที่ร่างซึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้นดินห่างไปประมาณสิบก้าว
คงจะสิ้นใจตายไปแล้ว โธ่เอ๋ย อายุอานามน่าจะยังไม่สามสิบเลย
นักดาบหน้าบากถูกมัดด้วยเชือกเส้นใหญ่ล่ามไว้กับก้อนหิน ใบหน้าที่เหี้ยมเกรียมดุดันบัดนี้ดำคล้ำเปื้อนเลือดและดินเอียงพับไปข้างหนึ่ง รุมกันถึงตายขนาดนี้แล้วไม่เห็นจะต้องมัดต้องล่ามกันอีกเลย
มาตาฮาจิยิ่งมองก็ยิ่งสงสารเจ้าหนุ่มเคราะห์ร้าย ดูนั่นซี...ไม่รู้ว่าโดนอะไรฟาดเข้าให้ที่หน้าแข้ง กระดูกถึงได้หักขาเว่อออกนอกเนื้ออย่างนั้น หัวแตกยับเยินเลือดไหลชุ่มหัวเหนอะหนะเส้นผม ตัวเหลือบบินมาตอมเป็นฝูง มดไต่ยั้วเยี้ยเต็มแขนขา
เจ้าหนุ่มคนนี้ก็คงเหมือนคนอื่น ๆ ที่ออกเดินทางพเนจรเพื่อฝึกวิชาดาบพร้อมกับความหวังเต็มอก...บ้านเกิดของเจ้าอยู่ที่ไหน มีพ่อมีแม่หรือไม่
คิดมาถึงตรงนี้ มาตาฮาจิรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงชีวิตของนักดาบพเนจรคนนี้ หรือคิดถึงตัวเองกันแน่
ถ้าจากบ้านเกิดมาพร้อมกับความหวัง ก็น่าจะเลือกทางชีวิตที่จะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองกว่านี้
เจ้าหนุ่มพึมพำ
ยุคนี้เป็นช่วงที่การบูรณะฟื้นฟูญี่ปุ่นให้สมบูรณ์แบบดำเนินไปอย่างเร่งรัด เปลวไฟแห่งความทะเยอทะยานในวัยหนุ่มถูกกระพือพัดให้โชติช่วง
หนุ่มเอ๋ยเจ้าจงมีความฝันอันสูงสุด...ผงาดขึ้นเถิดเจ้าหนุ่มเอ๋ย
แม้มาตาฮาจิเองก็ยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศในสังคมที่ใคร ๆ ก็สามารถฝันได้ว่าจะตั้งตัวเป็นเจ้าของปราสาทผู้ครองแคว้นได้โดยเริ่มจากศูนย์
ดังนั้น บรรดาชายหนุ่มพากันจึงเดินทางจากบ้านเกิด บางคนก็จากมาโดยไม่คิดถึงญาติพี่น้องที่บ้านเกิด ส่วนใหญ่ออกเดินทางมาเป็นนักดาบฝึกหัด ซึ่งสมัยนี้เดินทางไปที่ไหนก็จะมีคนช่วยอุปถัมภ์ไม่ต้องกลัวอดตาย เพราะพวกชาวไร่ชาวนาต่างสนใจวิชาดาบและนักดาบด้วยกันทั้งนั้น
จะไปอาศัยตามวัดเข้าวัดนั้นออกวัดนี้ก็ยังได้ บางคนอาจโชคดีได้รับเชิญไปเป็นแขกของเศรษฐีบ้านนอก และบางคนอาจโชคดีไปกว่านั้น ถ้าบังเอิญไปถูกชะตากับผู้ครองนครและได้รับบำเหน็จรางวัลบ้างก็ได้
แต่ว่ากันตามจริง ในบรรดาเจ้าหนุ่มที่ออกเดินทางแสวงโชค จะมีคนโชคดีเช่นนั้นอยู่เพียงไม่ถึงหยิบมือก็ว่าได้ และในจำนวนหมื่นคนคงจะมีสักสองหรือสามคนละมังที่ประสบความสำเร็จได้มีหน้ามีตาในสังคม ที่เหลือก็ได้แต่ทำใจน้อมรับความยากลำบากของการเป็นนักดาบฝึกหัด และความพยายามที่ไม่มีวันบรรลุผลกันต่อไป
ไม่บ้าก็โง่
มาตาฮาจินึกเวทนามิยาโมโตะ มูซาชิเพื่อนร่วมถิ่นที่เลือกทางเดินไร้อนาคตเช่นนั้น และตั้งใจว่าจะต้องสร้างเนื้อสร้างตัวให้เหนือกว่าเพื่อนคนนี้โดยไม่เลือกวิถีทางของคนไม่บ้าก็โง่เช่นนี้เด็ดขาด ยิ่งเห็นนักดาบหน้าบากที่นอนตายอย่างหมดสภาพคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่เอาด้วยเด็ดขาด
เอ๊ะ ?
มาตาฮาจิผงะ ตาเหลือกลานเมื่อเห็นมือคนตายที่มีมดตอมอยู่ยั้วเยี้ยกระตุกจนมดกระจาย
อึดใจต่อมาร่างนั้นค่อย ๆ ยันตัวขึ้นอย่างลำบาก เงยหน้า และ คลานช้า ๆ เข้ามาหา
มาตาฮาจิเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตระหนกสุดขีด