xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมคนญี่ปุ่นต้องสะสางและวางแผนจุดสิ้นสุดของชีวิตกันแล้ว

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว หลายๆ ท่านอาจจะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ไปหาพ่อแม่ครอบครัว หรือเดินทางไปเที่ยวและทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว บ้างก็ซื้อของไปฝาก และหิ้วของกินกลับมาเป็นความผูกพันธ์ที่แน่นแฟ้น ส่วนคนที่อยู่กับครอบครัวอยู่แล้วส่วนใหญ่ก็จะส่งเสียดูแลพ่อแม่ ดูแลปู่ย่าตายายซึ่งอาจจะอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ซึ่งต่างจากญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นนั้นส่วนใหญ่พ่อแม่ลูก หรือพี่กับน้องไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันนักความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวไม่ค่อยแข็งแกร่งนัก ที่จริงก็ไม่ได้โกรธเกลียดกัน แต่เมื่อเติบโตขึ้นต่างคนก็แยกออกไปมีชีวิตของตัวเอง ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบคนไทย


ซึ่งความสัมพันธ์ในครอบครัวคนญี่ปุ่นนั้นผมมองว่าค่อนข้างมีความห่างเหิน แม้บางคนจะบอกว่าถ้าพูดในแง่ดีก็คือคิดถึงความเป็นปัจเจกชนและความรับผิดชอบต่อตนเองไว้ก่อนก็ตาม เมื่อลูกๆ โตขึ้นและออกเรือนไปก็อาจจะแยกย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และไม่ติดต่อกับพ่อแม่พี่น้องก็มี และคนญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยชอบอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องของตน ที่จริงก็ไม่ได้เกลียดกันหรือว่าคิดไม่ดีต่อกันแต่เหมือนมีความห่างเหินกันไปโดยปริยาย โดยเฉพาะผู้ชาย อย่างผมเองก็ไม่ค่อยติดต่อกับทางบ้านนัก ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องดีนะครับ เมื่อวันหยุดต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาผมได้โทรศัพท์คุยกับคุณพ่อของผม เพราะได้ข่าวจากน้องสาวว่า พ่อแม่จะเคลียร์ของในบ้านและเผาของทิ้ง ได้ยินว่าจะเผาตุ๊กตาตัวโปรดสมัยผมเป็นเด็กด้วย ผมจึงรู้สึกตกใจและเสียใจนิดหน่อย


ที่บ้านเกิดผมอยู่ในเมืองชนบทเล็กๆ บ้านแต่ละหลังจะตั้งอยู่ห่างกันและค่อนข้างมีบริเวณกว้างมาก สมัยที่ผมเป็นเด็กนอกจากเล่นกับตุ๊กตา ต้นไม้ใบหญ้าแล้ว นานๆ จะได้ออกไปเล่นกับเด็กๆ คนอื่นที่อยู่ละแวกเดียวกัน เพราะบ้านไม่ได้อยู่ติดกันแบบวิ่งไปหากันได้ทุกวัน หนึ่งในบรรดาเพื่อนเล่นตอนเด็กๆ มีรุ่นพี่คนหนึ่ง ที่ก็วิ่งเล่นด้วยกันบ้าง พอโตขึ้นมาก็แยกย้ายกันไป ไม่ได้เจอกันอีกเลยหลายสิบปี ได้ข่าวว่ารุ่นพี่เมื่อเรียนจบมัธยมแล้วก็เปิดบริษัทก่อสร้างของตัวเองทำงานเก่ง มีครอบครัวมีลูกชายที่สามารถสืบสกุลถึง 5 คน เป็นที่รู้จักกว้างขวางในท้องถิ่น มีเงินมีทอง มีบ้าน มีหน้าที่การงานที่ดี มีคนนับหน้าถือตา ใครๆ ก็อิจฉาในความโชคดีและวาสนาบารมีของเค้า แต่แล้ววันหนึ่งอยู่ๆ ก็ล้มวูบไปเลย เพราะเป็นโรคหลอดเลือดสมองกะทันหันทำให้เขาต้องเป็นอัมพฤกษ์และนอนติดเตียง ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยอยู่เลยประมาณ 40 ต้นๆ เมื่อฟังเรื่องของรุ่นพี่แล้วทำให้ผมรู้สึกถึงความไม่เที่ยงของสิ่งมีชีวิต จากคนที่กำลังไปได้สวย ชีวิตรุ่งโรจน์กลับกลายเป็นความล่มสลาย แต่ความไม่เที่ยงนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตของคนเราใช่ไหม


หมายความว่าชีวิตคนเรานั้นมันไม่แน่นอน บางคนอาจจะเกิดมาแบบไม่มีอะไรเลยแต่สุดท้ายแล้วชีวิตก็มีความรุ่งโรจน์ หรือบางคนที่มีความร่ำรวยมีอำนาจวาสนาบารมีแต่วันหนึ่งก็อาจจะเกิดการล่มสลายจนหมดสิ้นสิ่งต่างๆ ก็ได้เรื่องนี้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ เหมือนกับคติทางพระพุทธศาสนาที่ว่า ชีวิต คือ อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลง เราจึงต้องตั้งอยู่ด้วยความไม่ประมาท ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเองและได้รับผลกรรมที่ทำแน่นอน

ที่ผมต้องโทรศัพท์หาพ่อนั้น ตอนแรกผมจะถามว่าทำไมต้องเผาของๆ ผมด้วย แต่เมื่อได้ฟังพ่อบอกว่า รู้สึกว่าตอนนี้พ่อกำลังเดินไปสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต ที่ใกล้เข้ามาเต็มที ก็เลยรู้สึกว่าอยากจัดการและสะสางสิ่งที่ไม่ได้ใช้หรือสิ่งที่รกรุงรังในบ้านหรือสิ่งที่มันไม่เกิดประโยชน์ในชีวิตออกไปบ้าง จึงทำการเก็บกวาดสิ่งต่างๆ ออกไปบ้าง อีกอย่างหลายสิ่งหลายอย่างก็เก่ามากและขึ้นรา เพื่อนๆ บางคนอาจจะไม่ทราบความรู้สึกทั้งของผมและของคนญี่ปุ่นที่ต้องจัดการโละสิ่งต่างๆ ในชีวิต เพื่อเตรียมวางแผนสู่จุดบั้นปลายท้ายสุดของชีวิต การที่คนญี่ปุ่นมีเตรียมการแบบนี้เรียกว่า 終活 Shukatsu คือ plan for the end of life วางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิต


แม้ว่าส่วนตัวผมจะรู้สึกว่ามันดูหดหู่ แต่คำนี้ 終活 Shukatsu ที่คนญี่ปุ่นให้ความหมายว่าคือ plan for the end of life การวางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิตนั้น เป็นคำศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วนี่เอง จะว่าไปก็มีรากฐานมานานสมัยก่อนก็มีเรื่องของการจัดการสะสางของเหลือใช้ เมื่อลูกๆ แต่งงานย้ายออกไปตั้งรกรากของตัวเองบ้านเดิมก็เก่าลง ของใช้ต่างๆ เสื้อผ้าหนังสือก็ถูกทิ้งไว้ที่บ้านเดิม และเก่าลงตามกาลเวลาและเมื่อคนแก่เสียชีวิตไปก็จะเหลือบ้านร้างและสิ่งที่ไม่ใช้มากมาย แม้ปัจจุบันนี้คนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยแต่งงาน ไม่มีลูก ไม่สร้างครอบครัวแต่ก็ไม่ค่อยอยากอยู่บ้านตัวเอง ก็จะออกมาเช่าอพาร์ทเม้นท์ ห้องพัก ใช้ชีวิตของตัวเองก็ทำให้มีของที่เคยใช้ต่างๆ ค้างที่บ้านเดิมมากมาย พ่อแม่ก็แก่เฒ่าลงไปทุกที ทำให้เกิดปัญหาของเก่าที่ไม่ใช้แล้วรกรุงรังเกิดขึ้นมากมาย จนต้องมีการโละและสะสางให้สะอาดรวมทั้งการวางแผนรองรับสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิตไว้บ้าง 

終活 Shukatsu ซึ่งการวางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิตนั้นนอกจากการเตรียมการโละของ การสะสางจัดการของใช้แล้วยังหมายถึง การเตรียมงานศพ, หลุมฝังศพ, มรดกทรัพย์สินและการจัดชีวิตส่วนตัวที่เหลืออยู่ เดี๋ยวนี้มีบริษัทหัวหมอรับจัดการเรื่องนี้ด้วย บางคนอาจเคยได้ยินคําว่า "การสิ้นสุดของชีวิต" ใช่ไหมครับ การวางแผนรองรับการสิ้นสุดชีวิต คือการเตรียมตัวสําหรับการเผชิญหน้ากับความตายและการตะหนักถึงการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ หรือบางคนอาจต้องการอยู่อย่างมีความหมายมากที่สุด ได้ใช้เวลาที่เหลือของพวกเขาอย่างความหมายที่สุดก็ได้


ตามข้อมูลนั้นมีคำแนะนําที่จําเป็นสําหรับวางแผนสำหรับจุดสุดท้ายหรือจุดสิ้นสุดของชีวิต เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในวัยชราได้โดยไม่เสียใจ ซึ่งจุดประสงค์ของการวางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิต คือการปรับตัวในช่วงสุดท้ายของชีวิตนั่นเอง และเพื่อเตรียมใจเผชิญกับความตาย และสามารถจัดการกับสถานการณ์ในชีวิตที่เหลืออยู่ได้ดี ตัวอย่างเช่น

☆ การมองย้อนกลับไปในชีวิตของตนเองจนถึงขณะนี้

☆การคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับครอบครัวที่จะละทิ้งไปเมื่อไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว

☆ระลึกถึงความรู้สึกของตนเองสําหรับเพื่อน คนรู้จักและคนที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาจนถึงขณะนี้

☆เขียนสิ่งที่ตนเองจะทิ้งไว้เบื้องหลังและความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง

ต่างๆ เป็นต้น เป็นการจัดระเบียบสิ่งที่สามารถและไม่สามารถทําตลอดชีวิตของตนเอง ซึ่งจะแตกต่างจากแผนชีวิตที่คนหนุ่มสาววาดไว้สําหรับอนาคตอันยาวไกล การเตรียมการวางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิตยังสามารถลดภาระในส่วนที่เหลือของครอบครัวได้


มีคนบอกว่าประโยชน์ของวางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิต ก็มีประโยชน์หลักๆ คือ

●ประการแรก คือ บุคคลนั้นๆ จะมีการสื่อสารกับครอบครัวและชีวิตของเขาในวัยชราจะพยายามคิดในทางบวกอย่างไรก็ตามการสมมุติเพื่อระลึกถึงความตาย คล้ายเป็นการนึกถึงความตายอยู่เป็นอารมณ์ ถือว่ามีมรณานุสสติกรรมฐานประจำใจ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดาของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด จะช่วยตัดอารมณ์ความฟุ้งซ่าน ทำให้จิตใจสงบ

●ประการที่สองคือ การเพิ่มพูนสิ่งดีๆ ให้ชีวิตที่เหลือ ถ้าความตายเป็นเป้าหมายของชีวิต เขาจะสามารถที่จะตะหนักถึงเวลาที่เหลือของชีวิต ทำให้ต้องใช้ชีวิตในทางที่ดีขึ้นเพราะมีเวลาที่เหลือไม่มากนัก

●ประการที่สามคือ สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องมรดก ในการสืบทอดมรดกให้ลูกหลานที่เกี่ยวข้อง "ใครจะได้รับเท่าใด" ถ้าไม่ชัดเจนก็สามารถนําไปสู่ปัญหาใหญ่ ถ้าไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ เมื่อบุคคลใดเสียชีวิตทรัพย์มรดกของบุคคลนั้นจะตกทอดแก่ทายาทคนใด เท่าไหร่ และอาจมีเหตุขัดข้องในการจัดการมรดก เช่น การจดทะเบียนโอนที่ดินไม่ได้ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นต้น ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับความชัดเจนเรื่องการจัดการมรดกด้วย

แม้จะมีอาชีพที่รับดูแลจัดการเป็นตัวแทนเรื่องนี้ จะเป็นผู้แทนในการเขียนข้อมูลให้กับคนที่กำลังวางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิต แต่มีหลายคนมองว่างานเหล่านี้ต้องอยู่กับความทุกข์ใจ เศร้าใจของคนที่ใกล้เสียชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้วผมคิดว่าผู้ที่เรียกตัวเองว่ากำลังวางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิตตนเองนั้น บางทีก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี มันไม่ใช่เรื่องที่มีความสุขนักหรอก งานเหล่านี้จึงเหมือนต้องทำท่ามกลางความทุกข์ของคนอื่น บริษัทเหล่านี้มักจะโฆษณารับดำเนินการและออกสโลแกนเชิญชวนเพื่อที่จะให้คนแก่คนสูงอายุเข้ามาใช้บริการวางแผนกันให้มากขึ้น


แต่จะว่าไม่มีประโยชน์ก็ไม่ใช่ เพราะมีงานบางงานที่ต้องรับหน้าที่จัดการเรื่องการทำความสะอาดห้อง หรือบ้านของคนที่เสียชีวิตอย่างเดียวดาย บ้างเคสต้องทำความสะอาดหนักมาก เพราะห้องสกปรกและมีสิ่งของและขยะต่างๆ มากมาย ทำให้การทำความสะอาดหลังจากที่บุคคลนั้นเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเรื่องที่เหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกัน

สมัยก่อนจะห้ามคนสูงอายุทำสัญญาเช่าบ้านเช่าห้องเด็ดขาด หรือถูกกีดกันอย่างมากเพราะกลัวเรื่องการเสียชีวิตอย่างเดียวดายในห้องเช่า แต่ว่าสมัยนี้มีคนแก่ คนสูงอายุมากขึ้น กฏต่างๆ ก็เลยต้องมีการผ่อนปรนไปบ้าง ยอมให้คนสูงอายุเช่าห้องเช่าอพาร์ตเมนต์กันมากขึ้น แต่ประเด็นจริงๆ คือ ญี่ปุ่น ณ ปัจจุบันนี้เกิดปัญหาขาดแคลนเด็กเกิดใหม่ ประชากรเด็กลดจำนวนน้อยลงและคนสูงอายุที่มากขึ้นนั่นเอง

เมื่อผมได้ฟังพ่อเล่าแบบนี้ผมก็รู้สึกเสียใจ แต่ชีวิตคนเราก็ต้องเดินต่อไป ไม่ใช่แค่เรื่องการวางแผนสำหรับจุดสิ้นสุดของชีวิต เท่านั้น ปัญหาสังคมอื่นๆ ของญี่ปุ่น ไม่ว่าการที่คนหนุ่มสาวไม่แต่งงาน ไม่ต้องการมีครอบครัว ไม่มีลูก ก็มีคำศัพท์ใหม่ๆ และเป็นปัญหาที่ต้องมีการจัดการรองรับเช่นกัน วันนี้เล่าสู่กันฟังครับ สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น