รัฐบาลญี่ปุ่นเลือกเศรษฐกิจ ยังไม่ประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือใช้มาตรการควบคุมเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะเพิ่มสูงกว่า 100 รายต่อวัน
ในวันที่ 2 ก.ค. ญี่ปุ่นมีผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 175 ราย เฉพาะกรุงโตเกียวมีผู้ติดเชื้อ 107 คน เป็นยอดรายวันที่สูงสุดนับตั้งแต่มีการยกเลิกภาวะฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม และก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นก็มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มถึงกว่า 50 รายต่อวัน ติดต่อกันมานานนับสัปดาห์
แต่ทว่า รัฐบาลญี่ปุ่นยังยืนยันว่า นี่ไม่ใช่ “การระบาดระลอกที่ 2” ยังไม่พิจารณาประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือใช้มาตรการควบคุมเพิ่มเติม เพียงขอให้ประชาชนใช้ชีวิตระมัดระวัง
นายกฯ ชินโซ อาเบะ ระบุว่า รัฐบาลตื่นตัวอย่างยิ่ง จะประสานงานใกล้ชิดกับท้องถิ่นต่างๆ โดยเมื่อถูกถามถึงมาตรการรับมือ นายอาเบะ บอกว่า นายยาซูโตชิ นิชิมูระ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องนี้เป็นผู้ดูแลนโยบายระดับประเทศ ส่วนกรุงโตเกียวที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด นางยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียว จะเป็นผู้รับผิดชอบ
นายยาซูโตชิ นิชิมูระ รัฐมนตรีที่รับผิดชอบมาตรการรับมือโรคโควิด ระบุว่า ยังไม่มีการระบาดเพิ่มขึ้นถึงขนาดที่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน เพียงแต่จะเพิ่มระดับคำเตือนประชาชนเท่านั้น พร้อมชี้แจงว่า เหตุที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น เพราะมีการตรวจอย่างเข้มงวดมากขึ้น
นางยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียว ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 คน เป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน โดยระบุว่าผู้ติดเชื้อรอบนี้ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาววัย 20-30 ปี และกลุ่มคน “ทำงานกลางคืน” ผู้ว่ากรุงโตเกียวเตือนให้ผู้คนหลีกเลี่ยงไปสถานบันเทิงยามราตรี โดยเฉพาะในย่านชินจูกุ และอิเคะบุคุโระ แต่ไม่มีการขอให้ปิด หรือควบคุมธุรกิจเหล่านี้แต่อย่างใด
ในช่วงแรกที่โควิดระบาด นางโคอิเกะ มีท่าทีเข้มงวดกับมาตรการควบคุมการแพร่เชื้อ และกระตือรือร้นมากกว่ารัฐบาลของนายกฯอาเบะ ที่ถูกวิจารณ์ว่า ล่าช้าในการประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรค แต่พอใกล้ถึงวันเลือกตั้งผู้ว่ากรุงโตเกียว 5 ก.ค. นางโคอิเกะ กลับมีท่าที “วางเฉย” ทั้งๆ ที่เธอเคยพูดเองว่า อาจพิจารณาใช้มาตรการฉุกเฉินอีกครั้ง หากกรุงโตเกียวมีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่า 50 คนต่อวัน
นอกจากนี้ รัฐบาลกรุงโตเกียวยังยกเลิก “เกณฑ์เฝ้าระวัง” ต่างๆ ที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้านี้ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน, จำนวนผู้ติดเชื้อที่ไม่รู้แหล่งที่มา, อัตราส่วนผู้ติดเชื้อต่อประชากร, อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อ เนื่องจากการติดเชื้อรอบใหม่นั้น ล้วนแต่เกินเกณฑ์เหล่านี้แล้วทั้งสิ้น โดยระบุว่า ถึงแม้ผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น แต่โรงพยาบาลยังสามารถรองรับได้
แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ลักษณะการติดเชื้อในรอบนี้เป็นเหมือน “มฤตยูเงียบ” เพราะผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวที่ไม่มีอาการ และไม่รู้แหล่งที่มาของการติดเชื้อ คนเหล่านี้ยังไปทำงานและใช้ชีวิตเกือบเป็นปกติ สามารถแพร่เชื้อได้อย่างกว้างขวาง หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มเป็นเท่าตัวได้ในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า และศักยภาพของโรงพยาบาลที่รัฐบาลอ้างว่ายังรองรับได้นั้น จะหมดสิ้นลงอย่างรวดเร็ว