สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว คิดว่าที่เมืองไทยก็มีสื่อสังคมออนไลน์แนวเว็บบอร์ด ที่สามารถพูดคุยคอมเม้นท์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ วันก่อนผมอ่านกระทู้หนึ่งในเว็บบอร์ดญี่ปุ่น มีผู้ใหญ่หลายคนต่างก็ช่วยกันแสดงความคิดเห็นและแนะนำเด็กที่มาตั้งกระทู้ โดยน้องที่มาตั้งกระทู้นั้นกำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมต้น แต่ไม่แน่ใจตัวเองว่าควรจะเลือกเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ดี ซึ่งน้องบอกว่าตัวเองไม่เชี่ยวชาญเรื่องคณิตศาสตร์และการคำนวณ แต่ถ้าเรียนจบทางด้านวิศวกรรมที่ต้องใช้การคำนวณจะจบมาแล้วหางานได้ง่ายกว่าหรือเปล่า พอไปปรึกษาคุณครูแนะแนวว่าอยากจะเรียนทางวิศวกรรมทุกคนก็ตกใจและบอกว่าก็เธอไม่ชอบการคำนวนและแนวนี้ไม่ใช่หรอ คุณครูแนะนำว่าเธอเป็นคนที่เก่งทางด้านศิลปะงานเขียน สื่อความคิดและการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าไม่ใช่หรอ ซึ่งหนุ่มน้อยคนนั้นก็คิดว่าเขาถนัดทางด้านสายศิลป์มากกว่าก็จริง แต่ถ้าเรียนจบออกมาจะหางานได้หรือไม่ งานในขอบเขตที่สายศิลป์พอจะสมัครได้ดีที่สุดคงเป็นงานข้าราชการ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถจะสอบเข้าเป็นข้าราชการได้หรือเปล่า จึงเกิดความกลุ้มใจมาก
นอกจากนั้นฐานะทางบ้านของน้องก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าจะต้องสอบก็คงจะต้องเรียนมหาวิทยาลัยรัฐบาลและก็จะต้องสอบให้ได้เท่านั้น น้องควรเลือกเรียนสายไหนดี? ในกระทู้นั้นมีคนมาตอบและให้ความเห็นเป็นจำนวนมากหลากหลายความเห็นก็ให้คำแนะนำว่าไปเรียนทางสายวิศวกรรมดีกว่า หางานง่ายกว่า ผมเองก็ไปร่วมให้ความเห็นด้วยเพราะผมเห็นว่าเรียนสายศิลป์ตามที่ถนัดดีกว่า แม้ว่าจะมีความเห็นที่หลากหลายแต่ทุกคนดูจะให้ความเอ็นดูและพร้อมให้คำแนะนำ ซึ่งจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ใหญ่ญี่ปุ่นจะให้ความช่วยเหลือเด็กๆ แต่จะต่างจากการกระทำต่อคนที่มีอายุอยู่ในวัยทำงานแล้วหรืออายุเกิน 25 ปี อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว คือกลับกันถ้ามีหนุ่มอายุ 25 -26 ปี มาขอความเห็นเรื่องงานก็อาจจะเกิดการรุมกินโต๊ะได้ คนตอบจะค่อนข้างแสดงความคิดเห็นแนวเฉยชาและจะไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือเท่าไหร่นัก จึงเป็นประเด็นหนึ่งในสังคมญี่ปุ่นที่ว่าผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัยทำงานหรืออายุ 25- 26 ปีขึ้นไป ค่อนข้างจะถูกสังคมบีบบังคับและถูกกดดัน มีความเข้มงวดมากขึ้น จนหลายคนเกิดความเครียดและเกิดความกดดันจนเกิดปัญหาในชีวิต หรือภาวะโรคทางจิตใจต่างๆ
เรื่องการเลือกสายเรียน และการเรียนให้จบจนถึงการสมัครเข้าทำงานนั้นไม่ใช่ง่ายๆ ทำงานไปก็เกิดความเครียดต่างๆ นานา ตามที่เป็นข่าวอยู่ อาจจะไม่ใช่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้นที่เกิดความกดดันต่างๆ วันก่อนมีข่าวคนเกาหลีเขียนแผนภาพการเลือกสายเรียนและจุดสุดท้ายของชีวิต ซึ่งตรงกับที่ญี่ปุ่นมากทีเดียว เขาบอกว่า เมื่อเด็กต้องผ่านการเรียนชั้นอนุบาล -ประถมศึกษา -มัธยมต้นและมัธยมปลาย ก็ต้องเลือกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่มีทางให้เลือกเรียนหลักๆ 2 สาย คือ
●สายศิลปศาสตร์ ที่สามารถเลือกเรียนภาควิชาประวัติศาสตร์ ภาควิชาการบริหารธุรกิจ ที่เรียนจบออกมาจะต้องสมัครทำงานบริษัท อาจจะได้ไต่เต้าไปเป็น CEO ทำงานหนักจนสุดท้ายเช็กเด้ง เจ๊ง หรือบางคนเตะฝุ่น ตกงานตั้งแต่แรกที่เรียบจบออกมา หรือภาควิชามนุษยศาสตร์ ที่ส่วนใหญ่จะเรียนจบออกมาเป็นนักเขียนไส้แห้ง หรือตกงานตังแต่แรก แต่สุดท้ายไม่ว่าจะเรียนจบภาควิชาอะไรก็ต้องยากเข็นจนต่อมาต้องดิ้นรนเปิดร้านขายไก่ย่าง!! ( อิมเมจแบบขายของตามตลาดนัด) หรือไม่ก็ใช้ชีวิตอยู่แบบรอวันอดตายไปเอง ( ทั้งๆ ที่อุตสาห์ร่ำเรียนมาตั้งนาน)
● สายวิทยาศาสตร์ ที่สามารถเลือกเรียนภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป ที่จบออกมารอเตะฝุ่น กับสายวิศวกรรมศาสตร์ ที่เรียนจบออกมาแข่งขันสมัครเข้าทำงานโรงงาน เป็นต้น ต้องทำงานหนัก ต้องทนทํางานเครียดเป็นเบี้ยล่าง เหนื่อยมากเกินไปและสุดท้าย ต้องทำงานจนตาย* หรือลาออกมาขายไก่ย่างเหมือนสายด้านบน คือไม่ว่าจะจบสายไหนจุดจบก็เหมือนกัน แต่ที่ญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้เปิดร้านขายของขายไก่ย่างอะไร ไม่ทำงานซะเลย ออกมาอยู่เฉยๆ เป็นชาวฮิคิโคโมริ (Hikikomori) เกาะพ่อแม่กินเป็นภาระไปวันๆ
การทำงานจนตาย* ขอขยายความว่าคือ 過労死 karōshi การเสียชีวิตจากการที่ต้องทํางานอย่างหนัก โดยอาจจะเสียชีวิตจากอาการชัก ภาวะหัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือด (โรคหลอดเลือดสมอง, กล้ามเนื้อหัวใจตาย, หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน, ฯลฯ ) ที่เกิดจากภาระงานหนักและชั่วโมงการทํางานที่ยาวนาน, และความผิดปกติในการทํางานที่เกี่ยวข้องครับ
จากประเด็นน้องที่มาตั้งกระทู้เรื่องการเลือกสายเรียน ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ผมเป็นนักเรียนอยู่ ผมก็เคยอยากเรียน 民俗学 คติชนวิทยา หรือ Folklore คือวิชาที่ศึกษาข้อมูลชาติวิทยาและมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ที่มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมา ในสังคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำนาน นิทาน นิยายประจำถิ่น เพลง ปริศนาคำทาย สำนวนภาษาไม่ว่าจะเป็นตำนาน การละเล่น การแสดง ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ
คติชนวิทยาญี่ปุ่นบอกว่าเรียนเกี่ยวกับ "การศึกษาแนวคิด และวิจัยภาคสนาม" ศึกษารูปแบบของความคิด การเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของสิ่งนั้นๆ ทำการศึกษาวิจัย และลงสนามศึกษาและเป็นคุณลักษณะที่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดเมื่อเทียบกับการศึกษาอื่น ๆ เช่น การศึกษาว่าสิ่งที่ทุกคนมีความสนใจร่วมในประเพณีพื้นบ้านต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ตํานานพื้นบ้านอาจซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะสื่อสารโดยทั่วไป แม้ว่าผมจะอยากเรียน คติชนวิทยา แต่ทั้งพ่อแม่ครูแนะแนวและทุกคนเห็นตรงข้าม ต่างก็พูดว่าเรียนจบไปแล้วจะทำอะไรกิน เลยต้องยกเลิกความคิดเลยทีเดียว แต่เรื่องตำนานต่างๆ นี่ไม่ใช่ไม่มีคนเรียนนะครับ ผมได้ยินมาว่าลูกชายของหัวหน้าเก่าผม ก็ทำงานเป็นนักวิจัยเกี่ยวกับภูตผีปีศาจด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าจะมีงานทำจริงหรือเปล่า อาจจะต้องอาศัยคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูไปก่อน
เพื่อนๆ เคยได้ยินตำนานหรือเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาบ้างไหมครับ ที่ญี่ปุ่นคือ 都市伝説 Toshi densetsu ตํานานหรือเรื่องที่ทุกคนได้ยินมาแต่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่มีใครสามารถตอบได้อย่างถูกต้องชัดเจน เช่น คือเรื่องผีสาวปากฉีก 口裂け女 Kuchisake onna / หรือสมัยก่อนมีเรื่อง 山彦 (やまびこ) Yamabiko หรือเสียงสะท้อนซึ่งคนสมัยก่อนก็คิดว่าเป็นภูตผีปีศาจ หรือ 木霊(こだま) kodama ปีศาจต้นไม้ ก็เคยมีในการ์ตูนเรื่องเจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร (Princess Mononoke) ที่มีต้นไม้ปีศาจออกมาด้วย หรือ 蜃気楼 Shinkiro ภาพลวงตา หรือเงาสะท้อนที่กลายเป็นรูปอื่นๆ ก็เช่นกัน แต่หลังจากที่วิทยาศาสตร์สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ภูติผีปีศาจ ก็ไม่ใช่ Toshi densetsu
ตัวอย่างเรื่องเล่าขานในยุคปัจจุบัน และคิดว่าหลายท่านคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว คือเรื่องผีสาวปากฉีก 口裂け女 Kuchisake onna เกี่ยวกับตัวตนและเรื่องราวที่แท้จริงของผีสาวปากฉีก ที่ผู้คนต่างก็เล่าขานในเนื้อหาที่หลากหลาย แต่เมื่อลองอ่านใน wikipedia ญี่ปุ่น ที่บอกว่า CIA ทำการอธิบายขึ้นมาเพื่อดูว่าเรื่องจะแพร่กระจายเป็นข่าวลือในวงกว้างออกไปแค่ไหน ซึ่งผมรู้สึกประหลาดใจที่บอกว่า CIA เลยนะที่กระจายข่าวลือ ไม่เอาน่า ซีไอเอ (´・ω・`;) น่าจะมีเรื่องใหญ่ที่ต้องทำมากกว่านี้ไหม แต่ตามเนื้อหาของตำนานมีเรื่องเล่าว่า มีหญิงสาวผู้เลอโฉม มีความงดงามมาก แบบว่าสวยไม่เป็นรองใครในแผ่นดินเลย เธอเป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียงในเมืองนั้น แต่อยู่มาวันหนึ่งสามีของเธอเกิดความระแคะระคายว่าเธอมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบฟันไปที่ปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า “ดูเถิดคนเขาจะเห็นว่าเธองดงามอยู่ไหม? " ด้วยความเจ็บปวดทรมาน ก่อนเธอขาดใจตายด้วยความพยาบาทสามี จึงไม่ไปผุดไปเกิด กลับกลายเป็นผีร้ายคอยแก้แค้นสามีและหลอกหลอนผู้คนอยู่ทั่วไป โดยมีผู้เล่าว่าเธอเป็นผีที่น่ากลัวมาก คือ ช่วงเย็นๆ ถึงค่ำ เธอมักจะยืนนิ่งเงียบ ปล่อยผมยาวสยายอยู่ตรงริมถนน และสวมผ้าปิดปากไว้ ดักรอคนที่ผ่านไป ผ่านมา และจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยไหม? ถ้าตอบกลับไปว่าสวย .. จากนั้นเธอจะถอดผ้าปิดปากออก ให้เห็นแผลเหวอะหวะ ปากฉีกยาวถึงหู แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ สวยไหม? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ ก็ตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี ผีสาวก็จะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น เธอจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ!!
อย่างไรก็ตามช่วงประมาณปี 1979 บ้างก็ว่าเป็นเรื่องสาวโรคจิตคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมดักทำร้ายคน เคยมีข่าวลักษณะนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดหนึ่งในญี่ปุ่น มีผู้หญิงที่ดูเหมือนเรื่องผีสาวปากฉีกนี้แหละทำตัวเป็นอาชญากร ดักทำร้ายคน แต่ก็ถูกตำรวจจับจริง มีหลายคนตั้งประเด็นว่า อาจจะเป็นการเลียนแบบตำนานผีสาวปากฉีกก็ได้ จึงมีการแต่งเรื่องขึ้นมา เพื่อทำให้เด็กๆ กลัวและไม่ออกไปข้างนอกบ้านในเวลาค่ำคืน โดยเฉพาะชุมชนที่มีคนอยู่อาศัยอย่างแออัด ที่เรียกว่าย่าน 団地 Danchi ที่เกิดขึ้นหลังสงครามโลกที่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมาก ทำให้เกิดที่พักแนวอพาร์ทเม้นแบบที่เรียกว่า Danchi เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ชานเมืองต่างๆ ที่ไม่เชิงเจริญแบบในย่านเมืองหลวง แต่จะเป็นแนวเมืองในย่านอุตสาหกรรม มีแหล่งงาน มีคนอยู่อาศัยเยอะ มีชุมชนที่อยู่กันอย่างหนาแน่น และก็อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นถ้าเด็กๆ ออกไปเล่นข้างนอกในเวลากลางคืน
นอกจากนี้เรื่องนี่ยังมีเขียนในการ์ตูนเรื่อง มืออสูรล่าปีศาจ ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ ที่เป็นเนื้อเรื่องเกี่ยวกับคุณครู ผู้ใช้ "มืออสูร" ปกป้องเหล่านักเรียนให้พ้นจากเงื้อมมือของวิญญาณร้ายและภูตผีปีศาจ ก็พูดเรื่องผีสาวปากฉีกไว้อย่างน่ากลัวมาก
ตํานานที่ทุกคนได้ยินได้ฟังสืบต่อกันมา เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่มีใครสามารถตอบได้อย่างถูกต้องชัดเจน แต่ถ้าเรื่องนั้นๆ มีหลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็จะถือว่าเป็นงานวิจัยทางวิทยาศาตร์ไป แต่ถ้าเป็นการหลอกลวงก็เป็นเรื่องของงานสืบสวนสอบสวนของทางตำรวจไป หลายๆ เรื่องก็ยังรอการพิสูจน์ต่อไป และช่วงนี้ทุกคนต้องใส่หน้ากากอนามัยด้วย ถ้าเดินผ่านสาวแล้วเธอถามคุณว่า ฉันสวยไหม? ก็ตอบดีๆ นะครับ ⊂□⊃ヽ(`∀´..) / วันนี้สวัสดีครับ