ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นเส้นทางการหลบหนีของนายคาร์ลอส กอส์น อดีตประธานนิสสัน มอเตอร์ โดยใช้เวลาวางแผนนานกว่า 3 เดือน มีหน่วยรบพิเศษ “กรีน แบเรต์” ของสหรัฐฯ ช่วยดำเนินการ
ฝ่ายสืบสวนของญี่ปุ่นแกะรอยภาพจากกล้องวงจรปิดจำนวนมาก เผยเส้นทางการหลบหนีออกจากประเทศญี่ปุ่นของนายคาร์ลอส กอส์น ซึ่งขณะนี้อยู่ที่เลบานอน และเตรียมเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับคดีของเขาในวันพรุ่งนี้ (8 ม.ค.)
ราว 14.30 น.ของวันที่ 29 ธันวาคม นายกอส์นออกจากบ้านพักของตัวเองในกรุงโตเกียว ไปพบกับชาย 2 คนซึ่งน่าจะเป็นชาวสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ห่างออกไปประมาณ 800 เมตรจากบ้านพักของเขา
จากนั้นทั้ง 3 คนได้ขึ้นรถไฟหัวกระสุนชิงกันเซ็น จากสถานีชินางาวะในกรุงโตเกียว และเดินทางถึงสถานีชินโอซากา ก่อนเวลา 19.30 น.
หลังเวลา 20.00 น. ทั้ง 3 คนเดินทางถึงโรงแรมหรูแห่งหนึ่งใกล้ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ
2 ชั่วโมงต่อมา ชาวสหรัฐฯ ทั้ง 2 คนได้ออกจากโรงแรม พร้อมด้วยกล่องขนาดใหญ่ 2 กล่อง แต่ไม่ปรากฏภาพของนายกอส์นในกล้องวงจรปิด
22.30 น. ชาย 2 คนนี้เดินทางถึงสนามบินคันไซ โดยมีสิ่งของทั้งหมด 9 ชิ้นถูกลำเลียงขึ้นไปบนเครื่องบิน คือ กล่องอุปกรณ์ดนตรี 2 กล่อง กระเป๋าเดินทาง 3 ใบ และกระเป๋าถือ 4 ใบ
23.10 น. เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังตุรกี และต่อไปยังเลบานอน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม
ทุ่ม 2200 ล้านเยน วางแผนหนีนานกว่า 3 เดือน
นายกอส์นได้รับการประกันตัวและถูกห้ามไม่ให้ออกนอกประเทศญี่ปุ่น แต่การหลบหนีของเขาครั้งนี้คาดว่ามีการวางแผนมาเป็นอย่างดี โดยเขาน่าจะซ่อนตัวในกล่องอุปกรณ์ดนตรีซึ่งถูกนำขึ้นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว โดยไม่ได้ผ่านเครื่องเอกซเรย์ตรวจสอบแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในรายชื่อผู้โดยสารของเครื่องบินส่วนตัวที่เชื่อว่านายคาร์ลอส กอส์น ใช้เพื่อหลบหนีจากญี่ปุ่น ปรากฏชื่อคนเพียง 5 คน คือ นักบินชาวตุรกี 3 คน ผู้ช่วยนักบิน 1 คน และยังมีชาวสหรัฐฯ 2 คน ที่ระบุว่าเป็นผู้โดยสาร แต่ไม่มีชื่อของนายคาร์ลอส กอส์น
จากการตรวจสอบพบว่า ชื่อของชาวสหรัฐฯ หนึ่งคนตรงกับชื่อของอดีตสมาชิกหน่วยรบพิเศษ “กรีน แบเรต์” ของสหรัฐฯ ชาวสหรัฐฯ ผู้นี้เป็นกองกำลังเอกชนที่เคยทำสัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าร่วมในปฏิบัติการเมื่อปี 2552 เพื่อช่วยเหลือผู้สื่อข่าวชาวสหรัฐฯ ที่ถูกกลุ่มตอลิบานจับตัวไปในอัฟกานิสถาน
แหล่งข่าวระบุว่า ชาวอเมริกันที่คุ้มครองนายกอส์นหนีในครั้งนี้ เคยเดินทางมาดูลาดเลาที่ญี่ปุ่นมากกว่า 20 ครั้ง และตรวจสอบสนามบินต่างๆ ราว 10 แห่ง จนพบว่าช่องทางเครื่องบินส่วนตัวที่สนามบินคันไซไม่เข้มงวดในการตรวจสอบสัมภาระของผู้โดยสาร VIP จึงตัดสินใจใช้ช่องทางนี้
ทั้งนี้ คาดว่าทีมปฏิบัติการใช้เวลาวางแผนนานกว่า 3 เดือน และนายกอส์นอาจทุ่มเงินค่าจ้างในปฏิบัติการนี้มากกว่า 2,200 ล้านเยน
ญี่ปุ่นถูกหยาม เตรียมคุมเข้มระบบประกันตัว
การหลบหนีของนายคาร์ลอส กอส์น ทำให้อัยการญี่ปุ่นเสียหน้าอย่างหนัก โดยถึงแม้จะมีเงื่อนไขการประกันตัวที่เข้มงวด เช่น ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้รอบที่พัก ห้ามใช้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ห้ามติดต่อกับครอบครัว อายัดหนังสือเดินทาง 3เล่มไว้กับทนายความ และตั้งเงินประกันสูงถึง 1,500 ล้านเยน
แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่า ภาพในกล้องวงจรปิดที่บ้านของนายกอส์นนั้น ไม่ได้ออนไลน์แบบเรียลไทม์ แต่มีการส่งให้ศาลตรวจสอบเพียงเดือนละครั้ง โดยก่อนหน้าหลบหนีไม่กี่วัน นายกอส์นยังไปกินอาหารที่ร้านปิ้งย่างชื่อดัง และถ่ายรูปกับเจ้าของร้านและลูกค้าหลายคน ด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส
นอกจากนี้ การเดินทางเพื่อหลบหนีของนายกอส์นก็ยังใช้รถแท็กซี่ และรถไฟชิงกันเซ็น ซึ่งชาวต่างชาติ “คนดัง” ที่มีหน้าตาที่โดดเด่นเช่นนี้จะไม่เป็นที่สะดุดตาเลยหรือ? รวมถึงการโดยสารรถไฟชิงกันเซ็น ในช่วงวันหยุดส่งท้ายปีเก่า ที่นั่งมักจะเต็มทั้งหมด ตั๋วจะต้องถูกจองล่วงหน้านานนับเดือน แสดงถึงการวางแผนล่วงหน้ามานาน
นางมาซาโกะ โมริ รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น สั่งให้ปฏิรูประบบประกันตัวในคดีอาญา และให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้กระบวนการเดินทางออกนอกประเทศมีความรัดกุมเข้มงวดขึ้น โดยจะเริ่มทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
นางโมริกล่าวว่า ทางกระทรวงจะพิจารณากรณีหลบหนีต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทบทวนระบบการประกันตัวอย่างรอบด้านและรวดเร็ว โดยอาจมีการพิจารณาจะใช้ระบบกำหนดตำแหน่งด้วยดาวเทียม หรือ GPS เพื่อติดตามผู้ที่ได้รับการประกันตัว