สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว เวลาเดินทางมาถึงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมอีกแล้ว หนึ่งปีนี้กำลังจะผ่านไปผมรู้สึกว่ามันช่างรวดเร็วเหลือเกิน บางทีก็หวนนึกถึงความทรงจำดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น ผมนึกถึงตอนที่ผมเพิ่งมาโตเกียว เข้าเรียนมหาวิทยาลัย คุณปู่ของผมเดินทางมาเยี่ยมผมที่โตเกียว ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคมเหมือนตอนนี้ ตอนนั้นคุณปู่ผมอายุ 80 กว่าปีแล้ว ยังทำงานเป็นนักการเมืองท้องถิ่นบ้านนอก แถบชนบทเล็กๆ ท่านก็ทำนู้นทำนี่อยู่ตลอดเวลา เห็นบอกว่ามีงานที่ต้องติดต่อหารือกับสำนักงานที่ดิน ต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาเยี่ยมหมู่บ้านหรือไม่ก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาขององค์กร ท่านเอานามบัตรใหม่มาให้ผมดู โอ้โหอายุขนาดนี้แล้วยังเป็นที่ปรึกษาอีกนะปู่ วันนั้นคุณปู่พาผมไปทานข้าวไม่ไกลจากสถานีรถไฟที่พักและพาไปดูโชว์ Rakugo ด้วยกัน
คิดว่าเพื่อนๆ อาจจะเคยได้ยินชื่อศิลปะการเล่าเรื่องรากุโกะ (落語 Rakugo) คือศิลปะการเล่าเรื่องตลกขบขันที่เป็นรูปแบบความบันเทิงแนวศิลปะ เหมือนเป็นการแสดงพื้นบ้านที่คนญี่ปุ่นคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีและสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยนักเล่าเรื่องจะมีเพียงคนเดียวที่ขึ้นมานั่งบนเวทีและจะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่มีการยืนขึ้นมาจากตำแหน่งที่นั่งเลย ศิลปินผู้เล่าเรื่องจะใช้เพียงพัดกระดาษและผ้าผืนเล็กๆ เป็นอุปกรณ์ประกอบการเล่าเรื่องเท่านั้น โดยจะเล่าเรื่องตลก หรือเรื่องที่ซึ้งกินใจ เขาจะใช้ระดับเสียง หรือท่าทาง ใช้ลูกเล่นหน้าตาเล่าเรื่องราว บางทีเล่าแบบเป็นบทสนทนาระหว่างตัวละครสองตัวหรือมากกว่า
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสไปดูโชว์ Rakugo ที่สถานที่จริง ปกติจะติดตามทางทีวีอยู่บ้าง พอได้ไปดูที่สถานที่จริงก็รู้สึกว่า โชว์ Rakugo จริงนั้นสนุกมากๆ ผมชอบมาก วันนั้นมีศิลปินผู้เล่าเรื่อง Rakugo ประมาณ 15 คน ใช้เวลาเล่าเรื่องประมาณคนละ 15 นาที คนแรกๆ อาจจะไม่ค่อยสนุกมากนัก แต่จะเริ่มสนุกขึ้นและตัวเอกหลักๆ ก็จะอยู่ช่วงท้ายๆ ซึ่งศิลปินคนสุดท้ายก็จะเป็นประมาณดาวเด่น เป็นที่รู้จัก และเป็นศิลปินที่ออกทีวีบ่อยๆ ผมจำได้ วันนั้นไปวันที่ 31 ธันวาคมและก่อนที่เขาจะเล่าเรื่อง เค้าพูดแค่ว่าวันที่ 31 ธันวาคมจะหมดปีอีกแล้ว วันสิ้นปีมาถึงอีกครั้งในปีนี้
お正月 Oshōgatsu
今年も来るぞ Kotoshi mo kuruzo
大晦日 Ōmisoka
คือทุกคนปรบมือเฮขึ้นพร้อมกัน ผมเข้าใจว่าศิลปินจะสื่อว่า เวลาแต่ละปีๆ ในหนึ่งปีนั้นไวมากจริงๆ ซึ่งมันตรงใจผู้ชม แปลกนะครับที่เขาพูดแค่นี้ทุกคนก็ลุกฮือแล้วถูกใจ อีกความหมายคือ ปีนี้จะหมดลงแล้ว มาถึงตอนนี้ได้เนี่ยก็หมายความว่าทุกคนมีความปลอดภัยและสวัสดิภาพดี เป็นที่น่ายินดี
วันนั้นเป็นวันสิ้นปีที่ญี่ปุ่นจะเรียกกันว่า วัน Ōmisoka ก็หมายถึงว่าสิ้นปี ซึ่งจะมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย ตามปกติแล้วช่วงวันสิ้นปีคนญี่ปุ่นจะทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และเตรียมอาหารที่เรียกว่า Osechi Ryori เอาไว้ทานในวันขึ้นปีใหม่ ปีที่แล้วที่บ้านผมก็ทำOsechi Ryori ทาน ซึ่งผมยังรู้สึกเหมือนว่าเพิ่งจะทานไปเมื่อวานนี้เอง แต่เวลาได้ผ่านไปหนึ่งปีแล้วหรอเป็นอะไรที่ไวจริงๆ ส่วนเรื่องดูโชว์ Rakugo นั้น ที่จริงแล้วคุณปู่ผมบอกว่าอยากจะมาดูอีกทุกปีแต่ว่าปีต่อจากนั้น ท่านก็สุขภาพไม่แข็งแรงแล้วอีกไม่นานท่านก็เสียชีวิตและศิลปินเล่าเรื่องตัวเอกในวันนั้นก็ชราภาพและเสียชีวิตไปแล้วเช่นกันในตอนนี้
ผมจำได้ว่าตอนที่ผมไปญี่ปุ่นครั้งล่าสุดเมื่อสองเดือนก่อนนี้ ผมพักโรงแรมแถวสถานี 青山一丁目 Aoyama-Itchōme เป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะผมไม่ได้คิดถึงสถานนีนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งเดินขึ้นลงบันไดของสถานี เพราะเป็นสถานีเล็กๆ ไม่ค่อยมีบันไดเลื่อนเหมือนสถานีใหญ่ๆ ผมจำได้ว่าคุณปู่ผมบอกเดินขึ้นลงเหนื่อยเลย ที่สถานีนี้คือสถานีที่ผมมาพักกับคุณปู่ครั้งที่พวกเราไปดูโชว์ Rakugo กัน ความทรงจำทำให้ผมนึกถึงคุณปู่และรู้สึกว่าวันเวลามันได้ผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็วจนนึกไม่ถึง
ในขณะที่โลกของเราก็ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล โลกออนไลน์ โลกโซเชียลที่คนคุยกันผ่านโปรแกรมอินเตอร์เน็ต เกมส์ อุปกรณ์สื่อสารแบบยุคดิจิตอล อาจจะทำให้รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ต่างออกไปจากยุคก่อน เพื่อนๆ เคยอ่านและพูดคุยโต้ตอบคำถามตามเวปไซต์ที่ตั้งเป็นกระทู้ไหมครับ ที่ญี่ปุ่นก็มีลักษณะนี้ ซึ่งบางครั้งคนที่มาตั้งกระทู้ก็ปลอมตัวมา ไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา และมีการโต้เถียงกันไปมา บางคนก็เห็นแก่ประโชยน์ตนเองมากจนไม่คิดถึงคนอื่นๆ แค่นี้ก็กระตุ้นให้เราเกิดอารมณ์แย่ๆ หงุดหงิดได้แล้ว คนญี่ปุ่นสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้เยอะเหมือนกัน
แต่ในขณะเดียวกันในช่วงนี้ก็มีข่าวของบุคคลที่น่ายกย่องสรรเสริญ คนญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งที่ท่านได้เสียสละและอุทิศตนเพื่อส่วนรวมมาตลอดชีวิตของท่าน นั่นคือคุณหมอเท็ตสึ นากามูระ 中村 哲 Nakamura Tetsu ท่านเป็นแพทย์ชาวญี่ปุ่นและพลเมืองกิตติมศักดิ์ของประเทศอัฟกานิสถาน คุณหมอนากามูระได้รับรางวัลแมกไซไซในปีพ.ศ. 2546 ไม่เพียงแค่นั้นถ้าได้เห็นใบหน้าและความทุ่มเทของท่านใครๆ ก็จะรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2527 ตามที่รัฐบาลปากีสถาน ร้องขอไปยังรัฐบาลญี่ปุ่นให้ช่วยสนับสนุนด้านการแพทย์และทีมดูแลผู้ป่วย เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพและลี้ภัยสงครามจากสมรภูมิรบอัฟกานิสถาน นพ.เท็ตสึ นากามูระ จึงได้รับหน้าที่หมออาสาที่เมืองเปชาวาร์ ทางตอนเหนือของประเทศปากีสถาน ที่ตอนนั้นเป็นสถานที่ที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย และไม่มีความปลอดภัยเลย อีกทั้งโรงพยาบาลภาคสนามที่คุณหมอนากามูระไปประจำการช่วยเหลือนั้น ก็ไม่มีความพร้อมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ช่วยชีวิต อุปกรณ์ผ่าตัด หรือเตียงคนไข้ต่างๆ นอกจากนั้นก็ยังมีจำนวนผู้อพยพลี้ภัยข้ามแดนเข้ามาจำนวนมากในแต่ละวันๆ ยิ่งนานวันปัญหานานาประการก็เยอะแยะมากมาย
หลังจากนั้นหลายปีแม้ว่าสงครามจะคลี่คลายลงแต่คุณหมอก็ยังไม่สามารถกลับญี่ปุ่นได้ เพราะท่านบอกว่าท่านยังมีคนไข้รอรับความช่วยเหลืออีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ท่านไม่สามารถทิ้งพวกเขาไปได้ คุณหมอก่อตั้งกลุ่ม Peace Japan Medical Service เป็นศูนย์การแพทย์ขนาดเล็กในอัฟกานิสถาน อยู่ไม่ไกลจากชายแดนปากีสถานที่คุณหมอเคยประจำการ ที่นี่ทำให้คุณหมอนากามูระพบว่า ความจริงแล้วต้นตอสำคัญของปัญหาสุขภาพนั้นคือความอดอยากชาวบ้านขาดสารอาหาร การแพทย์เพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่คำตอบของการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเสียแล้ว
คุณหมอนากามูระ จึงคิดโครงการเพื่อสร้างชีวิตโดยคิดสร้างระบบการเกษตรกรรมและระบบ ชลประทานในพื้นที่ทะเลทรายภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน ฟังไม่ผิดครับการพัฒนาพื้นที่ทะเลทราย พลิกฟื้นผืนดินที่แห้งแล้งให้กลับมามีชีวิตเพื่อคงไว้ซึ่งชีวิต เดิมพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่มีความแห้งแล้งกันดาร มีปัญหาภัยแล้งที่รุนแรง คุณหมอเริ่มคิดโครงการขุดคลองชลประทานเพื่อดึงน้ำมาจากแม่น้ำคุนาร์ ซึ่งจะทำให้พื้นที่รอบ ๆ คลองสามารถทำการเกษตรกรรมได้ บางคนอาจจะคิดว่าเป็นโครงการที่หนักอึ้งและยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ และไม่มีเงินทุน เพราะในพื้นที่แห้งแล้งทะเลทรายอย่างนี้จะขุดคลองอย่างไรให้มีน้ำและได้ใช้ประโยชน์จริง
คุณหมอจึงเริ่มศึกษาด้วยตัวเองอย่างจริงจังในวัย 50 กว่าปีเข้าไปแล้ว ณ ตอนนั้น และวางแผนอย่างรัดกุม เพราะเป็นงานหินงานยากต้องใช้เวลาก่อสร้างยาวนานหลายปี และต้องระดมทุนจากองค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่งทั่วโลก จนกระทั่งในที่สุด คลองมาร์วะริดที่ท่านลงมือลงแรงทำก็เสร็จสมบูรณ์ในปี 2552 พร้อม ๆ กับการบูรณะคลองอีกหลายแห่งรอบพื้นที่แห่งนั้น และสามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้จริง นอกจากนี้ท่านยังสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ อีกหลายแห่งด้วย ท่านสามารถเปลี่ยนพื้นที่ทะเลทรายกว่า 1,600 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมสีเขียวเป็นทุ่งนาปลูกข้าวสาลี และเป็นสวนผลไม้นานาชนิด ที่แห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งให้อาหารและให้ชีวิตกับประชาชนทั่วไป
ทว่าคนดีๆ อย่างคุณหมอก็ไม่ได้อยู่ต่อเพื่อสรรสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ชาวโลก เพราะเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมานี้ กองกำลังติดอาวุธได้ดักโจมตีรถที่คุณหมอนากามูระโดยสาร ทำให้ 6 คน ในรถและคนขับรถเสียชีวิตทั้งหมด
สิ่งที่คุณหมอได้อุทิศตนทำไปนั้นมิใช่เพียงแค่การสร้างระบบชลประทานเท่านั้น แต่คือการให้ชีวิต คือการพลิกฟื้นผืนดินที่แห้งแล้งให้กลับมามีชีวิตเพื่อคงไว้ซึ่งชีวิต แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของท่านเอง
สำหรับยุคสมัยแห่ง 令和 Reiwa ในปีนี้ คนจำนวนมากที่เกิดและโตจากยุคก่อนๆ หรือคนในยุค 昭和 Showa ก็เริ่มล้มหายตายจากไป ในบรรดาผู้คนที่จากไปนี้มีคุณหมอนากามูระด้วยที่จากไปก่อนวัยอันควรในขณะที่ท่านยังมีความมุ่งมั่นอีกมากมายด้วยความน่าเศร้าโศกเสียใจ ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นยังอยู่ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือความรักการสมรสที่แสนโรแมนติกต่างๆ มักจะทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยปราศจากการคำนึงถึงผู้อื่น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เกินคาดหมาย ที่ยังมีผู้ที่เปรียบดังแสงสว่างส่องโลกด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างเต็มกำลังอย่างคุณหมอนากามูระ ผู้ที่ขยายขอบฟ้าของโลกและสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของมนุษย์ เป็นที่น่าชื่นชมว่าคุณหมอคือผู้ที่มีความยอดเยี่ยม เป็นคนดีและสง่างามในแบบที่ไม่สามารถหาที่จะตำหนิ สามารถพูดได้ว่าเป็นความสมบูรณ์แบบแห่งโลกจริงๆ คนดีๆ จากเราไปแต่ความทรงจำยังคงตราตรึง
ผมคิดว่าทุกคนย่อมมีความทรงจำ และกาลเวลามันก็ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน การที่เราได้หวนคิดทบทวนบ้าง หรือได้อ่านสิ่งที่เป็นเรื่องราวดีๆ เราก็จะได้มีแรงบันดาลใจ และรู้ว่าชีวิตนี้จงอย่าประมาท ไม่มีอะไรแน่นอน ความดีงามเท่านั้นที่จะอยู่ต่อไป ปีนี้ขอให้เพื่อนๆ ทุกคนมีความสุขสันต์และปลอดภัยนะครับ อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นปีอีกแล้ว มาถึงตอนนี้ทุกคนมีความปลอดภัยและสวัสดิภาพดี เป็นที่น่ายินดี พบกันใหม่ปีหน้า วันนี้สวัสดีครับ