xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตนักเรียนไทยในญี่ปุ่น: "งานพิเศษ จักรยาน และเพื่อนร่วมโรงเรียน"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจาก https://airregi.jp/magazine/guide
คอลัมน์ "เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น" โดย "ซาระซัง"

สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน กลับมาพบกับเรื่องเล่าของชีวิตนักเรียนไทยในญี่ปุ่นต่อนะคะ ตามวีซ่าแล้วนักเรียนภาษาสามารถทำงานพิเศษได้ด้วย โดยต้องไปขออนุญาตจากสำนักตรวจคนเข้าเมืองก่อน พวกฉันบางคนเองก็ทำงานกันหลังเลิกเรียน และยังต้องทบทวนบทเรียนทุกวันด้วย แม้จะเหนื่อยมาก แต่ก็เป็นสีสันและรสชาติอย่างหนึ่งของชีวิตนักเรียนต่างชาติเหมือนกัน

น้องผู้หญิงคนหนึ่งทำงานร้านข้าวหน้าเนื้อที่มีสาขาทั่วประเทศ ในร้านมีกันอยู่แค่สองคน เธอเล่าว่าวัน ๆ ต้องคอยต้มเนื้อกับน้ำสุกิยากิทีละหม้อใหญ่ ๆ และรับลูกค้าไปพร้อมกัน เหนื่อยน่าดู น้องเขาตัวเล็กนิดเดียว แต่ก็ขยันและมีความอุตสาหะ จึงทำต่อไปเรื่อย ๆ

มีน้องผู้ชายซึ่งทำร้านอาหารไทยที่เจ้าของเป็นญี่ปุ่นด้วย ร้านนั้นนับว่าเป็นร้านเกรดดี อยู่ในย่านไฮโซ และลูกค้าเยอะมาก แต่เจ้าของเฮี้ยบน่าดู นอกจากจะคาดหวังการทำงานหนัก ต้องทำตามที่สั่งเป๊ะ ๆ แล้ว ยังติดกล้องวงจรปิดไว้คอยสอดส่องดูพนักงานร้านตลอดเวลาด้วย ทำให้พนักงานรู้สึกเหมือนโดนควบคุมอยู่ตลอดเวลา คนที่ทนบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้และลาออกไปก็มี ขนาดน้องเป็นคนใจเย็นและอารมณ์ดีแล้วก็ยังรู้สึกเครียด แต่กระนั้นความที่เขาขยันขันแข็ง อัธยาศัยดี และซื่อสัตย์ ก็ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของร้านให้ดูแลร้านแทนเสมอ

ภาพจาก http://baito-lounge.com/
น้องผู้ชายอีกคนเคยเล่าให้ฟังว่าทำงานร้านแฮมเบอร์เกอร์ เพื่อนร่วมงานต่างชาติทำชีสหล่นพื้นก็หยิบขึ้นมาโปะแฮมเบอร์เกอร์ต่อ น้องเห็นแล้วร้องเสียงหลงว่าทำอย่างนี้ได้อย่างไร แต่เพื่อนร่วมงานก็หน้าตาเฉยไม่สนใจ พอได้ยินว่ามีพนักงานร้านทำแบบนี้แล้ว ชักอยากให้เจ้าของร้านทุกแห่งมีกล้องวงจรปิดคอยสอดส่องจริง ๆ เลยนะคะ

วันหนึ่งระหว่างที่ฉันกำลังขี่จักรยานกลับหอ ก็เจอเพื่อนร่วมชั้นชาวฮ่องกงกลางทาง เห็นกำลังหน้ามุ่ยเดินดุ่ย ๆ อย่างเร่งรีบผิดสังเกตจึงถามว่าทำไมมาเดินอยู่ จักรยานไปไหน เขาก็บ่นอย่างหัวเสียว่า “ใครไม่รู้ขโมยจักรยานของผมไป นี่ผมกำลังจะไปทำงานพิเศษด้วย ไปทันรึเปล่าก็ไม่รู้”

“ไกลไหม” ฉันถาม เขาว่า “อีกประมาณสถานีกว่า ๆ”

ฉันมองดูนาฬิกาแล้วก็คิดว่าเขาคงไปไม่ทันแน่ แถมการไปสายในญี่ปุ่นก็เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเกินกว่าจะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ฉันเลยลงจากจักรยานแล้วให้เขาขี่ไปแทน เขามองหน้าฉันอย่างตกใจ “อ้าว แล้วเธอละ ไม่ต้องใช้จักรยานหรือ” ฉันบอกว่าวันนั้นไม่ต้องทำงานพิเศษ และไม่ได้ต้องรีบกลับบ้าน เขาขอบคุณก่อนจะขึ้นจักรยาน ขี่เต็มสปีดจากไปอย่างรวดเร็ว

ภาพจาก https://netwadai.com/blog/
วันต่อมาฉันจึงเดินไปโรงเรียน ส่วนน้องขี่จักรยานเอื่อย ๆ อยู่ข้าง ๆ ถ้าจักรยานน้องฉันมีที่ซ้อน ฉันก็คงจะนั่งซ้อนไปด้วยยามพ้นสายตาประชาชีและตำรวจ (ไม่อย่างนั้นจะโดนตำรวจจับ) แต่ไม่มีที่ซ้อน ก็เลยต้องเดิน ฉันไม่ได้เดินไปโรงเรียนนานเลยกะเวลาไม่ค่อยถูก แถมรีบเดินเลยชักเหงื่อแตกรำไร ระหว่างทางโชคดีที่เจอเพื่อนสองสาวชาวไต้หวันขี่จักรยานมา พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของน้องฉัน แต่กลายมาเป็นเพื่อนฉันไปด้วย ฉันชอบพวกเธอมาก นิสัยดีและจริงใจ

“อ้าว เกิดอะไรขึ้น จักรยานไปไหน” หนึ่งในนั้นถามไถ่ ฉันเห็นจักรยานของเธอคนหนึ่งมีที่ให้ซ้อนท้ายได้ เลยออกอาการลิงโลดอย่างไม่ปิดบัง “กรี๊ดดด ขอฉันซ้อนท้ายด้วยคนสิ” เพื่อนบอก “ขึ้นมา ๆ” ฉันก็เลยโชคดีได้นั่งจักรยานไปโรงเรียน

จำได้ว่าช่วงแรก ๆ ที่เข้าโรงเรียนนี้ เคยเห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในโรงเรียนสอนสาวคนหนึ่งขี่จักรยาน ตอนนั้นฉันไม่รู้จักใครที่ขี่จักรยานไม่เป็น จึงแปลกใจที่เห็นคนโตแล้วเพิ่งหัดขี่จักรยาน ซึ่งเธอคนนั้นก็คือหนึ่งในสองสาวคู่นี้เอง มารู้ตอนหลังว่าบ้านเธออยู่บนภูเขา ชาวบ้านในละแวกนั้นจึงไม่ขี่จักรยานกัน

พอถึงโรงเรียน เข้าห้องมา หนุ่มฮ่องกงก็ยิ้มร่าส่งกุญแจจักรยานคืนให้ และบอกฉันว่าจอดจักรยานไว้ที่ไหน “ตกลงไปทันไหม” ฉันถาม “ทัน ๆ เกือบไปแน่ะ ขอบคุณมากนะที่ให้ยืม” พอรู้ว่าเขาไปทำงานทันก็ดีใจ ว่าแต่ดูเหมือนหลังจากนั้นเขาต้องไปซื้อจักรยานคันใหม่แทน เพราะโดนขโมยไปจริง ๆ

ส่วนฉันเองเคยโดน “ขโมยยืม” จักรยานไปค่ะ คือมีอยู่วันหนึ่งฉันจะไปเอาจักรยานแล้วพบว่ามันไม่อยู่ที่เดิม ฉันตกใจมาก นึกว่าโดนเข้าให้แล้ว และโทษตัวเองที่เลินเล่อ คือที่ตัวจักรยานจะมีที่ล็อกมาให้โดยไม่ต้องหาสายโซ่มาคล้องต่างหาก วันนั้นฉันคงเผลอลืมล็อคและปล่อยกุญแจคาจักรยานไว้ คงเพราะอย่างนี้จึงมีคนเอาจักรยานฉันไปใช้ได้ แต่ก็นับว่ายังโชคดีอยู่ เพราะวันต่อมาพอมาถึงโรงเรียนก็เจอจักรยานตัวเองจอดอยู่ที่ประจำ พร้อมกุญแจเสียบคาไว้ให้ เห็นแล้วก็งง แต่ก็รู้สึกขอบคุณที่ขโมยไม่เอาไปแล้วไปลับ นับแต่นั้นมาฉันก็ไม่เคยลืมล็อคจักรยานอีกเลย

คนญี่ปุ่นใช้จักรยานกันมาก แต่ก็ใช่ว่าจะเอาไปจอดตรงไหนก็ได้ อย่างบางทีนึกว่าจอดในซอยตามย่านร้านค้าที่ไม่ค่อยมีรถแล่นผ่าน และไม่กีดขวางทางเดินหรือรถเข้าออกแล้ว ก็น่าจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนใช่ไหมคะ แต่กระนั้นพื้นที่เหล่านี้ก็ยังมีการตีเส้นและเขียนเอาไว้ว่าห้ามจอดจักรยาน ดังนั้นหากจะจอดก็ต้องหาพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยเฉพาะซึ่งมีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน แต่แบบเสียเงินก็มักให้บริการฟรี 1-2 ชั่วโมงแรก น้องบางคนเคยไปจอดจักรยานในที่ห้ามจอดโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วโดนเทศบาลยกไป ต้องไปจ่ายค่าปรับกันวุ่นวายถึงจะได้จักรยานคืนมา

ภาพจาก http://tsutai.c-3.jp/305
เคยถามตำรวจว่าทำไมหลายที่ถึงห้ามจอดจักรยาน ทั้ง ๆ ที่มันก็ดูไม่น่าจะเป็นปัญหา เขาตอบว่าเพราะบางทีรถดับเพลิงมาแล้วจะเข้าไปในพื้นที่ต่าง ๆ มันเข้าไม่สะดวก เลยป้องกันไว้ไม่ให้เกิดปัญหา ฉันฟังแล้วถึงได้เข้าใจ ทำให้คิดได้ว่าเวลาไม่เกิดปัญหาให้เห็นต่อหน้า คนเราก็มักเอาตามความสะดวกและคิดเองเออเองว่า “ไม่เป็นไร” แต่จริง ๆ แล้วการไม่ประมาทและเคารพกฎระเบียบสามารถรักษาความปลอดภัย และช่วยชีวิตคนได้มากกว่าที่คิดเยอะเลย

ตอนฝนตก คนญี่ปุ่นมักจะขี่จักรยานโดยกางร่มด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งจับคันบังคับประคองไป เมื่อก่อนฉันเคยเห็นคนทำแบบนี้แล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจว่าขี่ได้อย่างไรโดยไม่ล้ม ตอนลองเองก็กล้า ๆ กลัว ๆ เหมือนกัน แต่ก็พบว่าไม่ได้ยากอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นถนนและทางเท้าในญี่ปุ่นจะเรียบแปล้ ไม่มีการที่พื้นจะเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือปูดขึ้นมาให้สะดุดล้มได้ จึงทำให้ขี่จักรยานได้ไม่ลำบากนัก

แต่ที่จริงการขี่จักรยานและกางร่มไปด้วยไม่ว่าจะถือเอาหรือใช้อุปกรณ์ยึดร่มไว้กับตัวจักรยาน รวมทั้งการขี่ไปใช้มือถือไป หรือเสียบหูฟังไปด้วย ต่างก็อันตราย และปัจจุบันถือว่าผิดกฎหมายด้วย ถ้าโดนจับก็จะถูกปรับไม่เกิน 5 หมื่นเยนเลยทีเดียว ที่มีกฎหมายแบบนี้ก็เพราะที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอุบัติเหตุมาหลายครั้งหลายหนแล้วน่ะค่ะ

บางคนเอาร่มเสียบไว้ที่ตัวจักรยานเผื่อไว้เวลาฝนตกจะได้กางร่มได้ แต่จริง ๆ ก็นับว่าอันตรายอยู่มาก เพราะถ้าขี่อยู่ แล้วเกิดร่มหรือคันจับร่มหลุดเข้าไปอยู่ในล้อคงเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ๆ น้องฉันเคยเกือบแย่เพราะร่มเข้าไปพันอยู่ในล้อแล้วดึงล้อสะดุดกึก ดีที่ไม่ได้ขี่บนถนนที่มีรถแล่นหรือขี่เร็ว ไม่งั้นคงอันตรายมาก ตั้งแต่นั้นมาก็เลยกำชับไม่ให้เอาร่มเสียบจักรยานอีก

ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุดนะคะ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.




"ซาระซัง" สาวไทยที่ถูกทักผิดว่าเป็นสาวญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ เรียนภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ชั้นประถม และได้พบรักกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย เป็น “สะใภ้ญี่ปุ่น” เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” ที่ MGR Online ทุกวันอาทิตย์.


กำลังโหลดความคิดเห็น