xs
xsm
sm
md
lg

ผีนับจานกับวันหยุด

เผยแพร่:   โดย: โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์


ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


เกริ่นนำ

เมื่อญี่ปุ่นถึงฤดูร้อนคราใด เรื่องผีมักได้ทำหน้าที่สร้างความเสียวสันหลังเย็นวาบกันทุกปี สมัยก่อนไม่มีเครื่องปรับอากาศ หนึ่งในวิธีคลายร้อนคือการเล่าเรื่องผี ขนบแบบนี้มีมาแต่โบราณ เพราะหวังว่าอิทธิฤทธิ์ความน่ากลัวของผีคงจะพอทำให้ลืม ๆ ความร้อนชื้นไปได้บ้าง แต่สำหรับความร้อนปี 2561 นี้ หลายพื้นที่ในญี่ปุ่นมีอุณหภูมิสูงทำลายสถิติรอบหลายสิบปีไปแล้ว ด้วยความร้อนไม่ธรรมดา จึงน่าสงสัยว่าผีเองจะทนร้อนได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ครบจบกระบวนผี 3 เรื่องใหญ่ที่คนญี่ปุ่นยกไว้ในฐานะเรื่องเอก ครั้งนี้จึงขอนำเรื่อง “ผีนับจาน” มาเล่าสู่กันฟัง ชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ “บันโช ซาระ ยาชิกิ” (番町皿屋敷;Banchō Sara-yashiki) แปลตามตัวอักษรว่า “คฤหาสน์จานบันโช” (ส่วนอีก 2 เรื่องที่เคยเล่าไว้ ได้แก่ “โคมโบตั๋น” https://mgronline.com/japan/detail/9580000084146 และ “ผีโยะสึยะ” หรือ “ผียตสึยะ” https://mgronline.com/japan/detail/9600000082806)

เรื่องนี้แพร่หลายทั่วญี่ปุ่น มีการปรับเนื้อเรื่องให้แตกต่างออกไปหลายแบบ แต่คงไว้ซึ่งจุดสำคัญเกี่ยวกับจาน นำไปแสดงเป็นละครคาบูกิด้วย และมีฉบับหนึ่งซึ่งน่าสนใจคือการดัดแปลงสู่ “รากูโงะ” (落語;rakugo) อันเป็นศิลปะการเล่าเรื่องสนุกสานแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อฟังจบ ในที่นี้จะนำเสนอฉบับที่คนทั่วไปรู้จักซึ่งเริ่มเรื่องด้วยความไม่สมเหตุสมผลและความแค้นในใจหญิงสาวนางหนึ่ง และต่อด้วยเรื่องการปราบผีโดยวิธีง่าย ๆ กับเรื่องในแนวรากูโงะที่ให้อรรถรสต่างกันออกไป และหวังว่าจะช่วยบรรเทาร้อนได้บ้าง

ผีนับจาน

หลายร้อยปีมาแล้ว ณ คฤหาสน์ซามูไรตระกูลอาโอยามะผู้มั่งคั่ง หญิงงามนางหนึ่งนามว่าโอะคิกุกำลังประจงใช้มือซ้ายเปิดตู้กระจก เบื้องหน้ามีถ้วยโถโอชามเนื้อดีวางเรียงอยู่ละลานตา ลมหายใจนางช่างแผ่วยิ่งนัก เบากว่ายามปกติอย่างเห็นได้ชัด

จะอะไรเสียอีกเล่า ในตู้นี้ล้วนแต่เป็นของมีค่า ชีวิตนี้ทั้งชีวิต ต่อให้ก้มหน้าก้มตาทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็ไม่มีวันเสียหรอกที่จะได้เป็นเจ้าของภาชนะที่ทรงคุณค่าเพียงเพื่อเป็นอาหารตาเหล่านี้สักใบ นี่ดีแค่ไหนแล้วที่เจ้าบ้านไว้ใจให้มาเช็ดทำความสะอาดเครื่องลายครามเหล่านี้ บางชิ้นเป็นสีน้ำเงิน บางใบเป็นสีออกเขียว แต่ด้วยสายตาของสาวรับใช้อย่างนาง มองเท่าไรก็ไม่เห็นว่าจานชามพวกนี้จะมีค่าอะไรมากไปว่าภาชนะในครัว

“ชุดนั้นน่ะ ได้มาจากจีน ร้อยปีจะทำได้สักชุด ช่างฝีมือแบบนี้หาไปเถอะ กี่ชาติถึงมีสักคน” อาโอยามะเคยอวดสรรพคุณชุดน้ำชาหยกให้ฟังทีหนึ่ง “แต่ไม่ว่าชุดไหน ๆ ก็ไม่มีค่าเท่าจานที่วางอยู่ตรงกลางนั่นหรอก”

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำสั้น ๆ ตอนที่รับรู้องค์ประกอบแห่งความมั่งคั่งของตระกูลนี้
“ก็เพราะมันหาค่าไม่ได้ไง ค่าสูงมากจนไม่อาจตีเป็นราคา”

คนฟังเหลือบตาขึ้นมองคนพูดหน่อยหนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจเฮือก พลางนึกว่านี่ถือเป็นบุญหรือเป็นบาปกันแน่ที่ได้อยู่ใกล้ ๆ วัตถุไร้ชีวิตที่มีค่าสูงกว่าชีวิตที่สูดลมหายใจเข้าออก

ครั้งนั้นเจ้าของเปิดตู้แล้วหยิบจานในชุดนั้นขึ้นมาหนึ่งใบ ใช้นิ้วไล้เบา ๆ แวบเดียว แล้วถอนออก เปลี่ยนมาใช้ลมจากปากเป่าฝุ่นที่เกาะอยู่แทน ราวกับเกรงว่าผิวจานจะระแคะระคายหากเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ไปสัมผัสถูกมันเข้า

“ไง ดูสิ” เขายื่นจานใบโตเขียนลายละเอียดยิบสีน้ำเงินไปตรงหน้าหญิงสาว “สิบใบ...ชุดนี้มีสิบใบ เป็นสมบัติประจำตระกูลเรา รักษากันมายิ่งชีวิตจากรุ่นสู่รุ่น ถือเป็นของมงคล ทำให้ตระกูลรุ่งเรืองยาวนาน นี่ข้าเห็นเจ้าเป็นคนเรียบร้อย ทำงานดี จะให้เจ้าดูแลตู้นี้ รวมทั้งจานชุดนี้ด้วย”

“เจ้าคะ?” หญิงสาวไม่เชื่อหูตัวเอง ตู้ทั้งใบนี่น่ะหรือที่หล่อนจะต้องรับผิดชอบ ได้โปรด...คิดใหม่เถิดนายท่าน “แต่อิฉัน...”
“ไม่ต้องแต่ มันไม่ใช่งานยาก สักเดือนนึงก็เปิดตู้ออกมาปัด ๆ ฝุ่น ก็แค่นั่นเอง แต่ต้องเบามือเข้าไว้นะ”

นายสั่งแค่นั้น และจากวันนั้นจนวันนี้ ได้เวลาหนึ่งเดือนพอดี ถึงคราวที่หล่อนจะต้องทำหน้าที่ โอะคิกุนอนไม่หลับกระสับกระส่ายมาตั้งแต่คืนก่อนหน้า ภาวนาขอให้ผ่านพ้นงานเล็ก ๆ ที่ใหญ่คับหัวใจนี้ไปให้ได้

นางเริ่มหยิบชิ้นอื่น ๆ ออกมาทำความสะอาดก่อน จนกระทั่งเหลือจานล้ำค่าสิบใบสุดท้ายที่วางเรียงอยู่ในตู้ใหญ่

โธ่ ลมอะไรกันหนอ มันถึงได้พัดพาความหนาวเย็นจับหัวจิตหัวใจเข้ามาในเรือนอย่างนี้ นี่เดือนพฤษภาคมเข้าไปแล้ว ทำไมยังหนาวอย่างนี้

นางค่อย ๆ ไล้ผ้าลงไปที่จานแต่ละใบ พอสำเร็จแต่ละใบ ความวิตกกังวลลดลงเรื่อย ๆ ...เจ็ดใบแล้ว แปดใบแล้ว ความอึดอัดคลายตัวเป็นลำดับ กังสดาลที่แขวนตรงประตูยังคงส่งเสียงใสกรุ๋งกริ๋งแว่วมา แต่ลมไม่ทำให้หนาวเหมือนเมื่อครู่แล้ว

เหลือใบสุดท้าย โอะคิกุแทบจะร้องเฮ้อออกมาอย่างโล่งอก นางหยิบจานขึ้นมา จังหวะเดียวกับที่เชือกห้อยกังสดาลขาดผึง ส่งมันทั้งพวงร่วงสู่พื้นฉับพลัน โอะคิกุหันขวับ จานในมือไถลหลุดตกกระแทกขอบตู้ที่ยื่นล้ำออกมา...แตก...จานแตกเป็นสามเสี่ยง

น้ำตาเอ่อท้นและล้นจากขอบ นับใหม่สิ นับใหม่ นี่ไม่ใช่ชุดนั้น ไม่ใช่ ต้องไม่ใช่แน่ ...แปด ...เก้า ใบที่สิบแตกอยู่ตรงหน้า โธ่...จะทำอย่างไรดี ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ แต่จะแก้ไขอย่างไรได้นอกจากรายงานเจ้านาย

“หา? เจ้าทำจานประจำตระกูลแตก? ข้าอุตส่าห์ไว้ใจให้ดูแลของสูงค่า ไปเอากิริยาซุ่มซ่ามมาแต่ไหน ต่อจากนี้ไปตระกูลข้าจะเป็นยังไง เจ้าสำเหนียกบ้างไหม!”
“อิฉัน อิฉันไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ อิฉันขอโทษ”
“ขอโทษแล้วจานมันจะกลับมาได้ไหม ได้เห็นดีกันแน่” พูดจบอาโอยามะก็ผลักโอะคิกุหงายหลังผึ่ง ยกเท้าขึ้นกำลังจะ... แต่แล้วนึกได้ ชะงักไว้แค่นั้น “เฮ้ย มีใครอยู่ไหมวะ ไปเอาดาบมา”
“หา? ท่าน นายท่านจะทำอะไรอิฉันเจ้าคะ อย่า อย่านะเจ้าคะ อิฉันกลัวแล้ว” นางหน้าซีดตัวสั่น พูดไปสะอื้นไป
“มานี่ ได้ดาบมาละ ลุกขึ้น! บอกให้ลุกขึ้นไง”
“จะ...เจ้าค่ะ” โอะคิกุค่อย ๆ ยันร่างขึ้น แข้งขาอ่อนแรงไปหมด
“ออกไปข้างนอก...ไป ไปที่บ่อน้ำ”

ครั้นนางค่อย ๆ เดินไปถึงบ่อน้ำข้างบ้านอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โดยมีดาบกำกับไล่หลัง ก็หันมาถามเจ้านายอารมณ์ร้อนว่า “จะให้อิฉันทำอะไรเจ้าคะ”
“โดดลงไป”
“เจ้าคะ? ไม่นะ อิฉันทำไม่ได้”
“จะลงไปเอง หรือจะให้ข้าจับโยนลงไป เลือกเอา”

น้ำในบ่อลึกไม่ได้มีสักเท่าไร ตกลงไปก็ไม่ถึงขั้นจมน้ำตาย อาโอยามะเห็นโอะคิกุลังเล จึงยกดาบขึ้นชี้ ปรี่เข้าใส่ ขู่บังคับให้นางหย่อนตัวเองลงไปสู่ก้นบ่อโทษฐานที่ทำจานของตระกูลแตกไปหนึ่งใบ

เมื่อหมดหนทางต่อรอง นางจึงค่อย ๆ ไต่ขึ้นขอบบ่อแล้วเกาะเชือกไถลตัวลงไป ปากพร่ำเพ้อขอความเมตตาอยู่ไม่ขาด

“ตายอยู่ในนั้นแหละ อย่าได้สะเออะขึ้นมาอีก! นังคนนี้”

แรก ๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนขอให้คนมาช่วย หนักเข้าเจ้าของเสียงหมดเรี่ยวแรง ได้สติบ้างไม่ได้สติบ้าง จนไร้เสียงเล็ดลอดออกมาในที่สุด วันเวลาผ่านไปเป็นแรมเดือน อากาศเข้าสู่หน้าร้อนเต็มตัว ไร้สุ้มเสียงอันใดจากบ่อน้ำแห่งนั้น ทุกคนลืมโอะคิกุไปหมด แต่ดูเหมือนนางยังไม่ลืม...นางมีเรื่องที่ยังลืมไม่ลง

ดึกสงัดในฤดูร้อน มีแสงสีฟ้าอ่อนส่องวาบ ๆ ลอยขึ้นมาอยู่เหนือปากบ่อ หรือว่านั่นคือดวงวิญญาณของโอะคิกุ? ต้องใช่แน่ ภาพหญิงสาวค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แปลก...เสียงจักจั่นเงียบสนิททั้ง ๆ ที่ในหน้าร้อนแบบนี้ต้องมีมาให้ได้ยินทุกปี และที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ มีเสียงอะไรบางอย่างดังแว่ว ๆ ผ่านอากาศ

หนึ่งใ...บ สองใ...บ สามใ...บ...

เสียงเย็น ๆ นั่นมันเสียงนับเลข ไม่สิ นั่นมันเสียงนับใบอะไรสักอย่าง

ผู้คนในละแวกนั้นแม้ปลูกบ้านอยู่ห่างกัน แต่ก็ได้ยินเหมือนกัน วันรุ่งขึ้นเริ่มมีคนถามไถ่กันถึงเสียงประหลาด แม้แต่คนรับใช้ในบ้านอาโอยามะก็ไม่เว้น เจ้านายเองก็ได้ยิน แต่นิ่งเงียบ พร้อมกับปรามให้คนในบ้านอยู่ในความสงบ ต่างคนต่างคาดเดาว่าเสียงนั้นดังมาจากทางไหน หลายคนบอกตรงกันว่าน่าจะดังมาจากทางบ่อน้ำที่ไม่มีผู้ใดเฉียดกรายไปใกล้มาเป็นเดือนแล้ว

ว่าแล้วทุกคนก็พลอยขนลุกไปตาม ๆ กันในช่วงวันแดดเปรี้ยงของเดือนสิงหาคม ในใจสรุปไปแล้วว่าอาจจะเป็นวิญญาณของโอะคิกุที่ถูกทิ้งให้ตายติดก้นบ่อ

กลางดึกคืนถัดมามีเสียงเช่นเดิมลอยมาอีก คราวนี้ผู้คนเงี่ยหูฟังอยู่ในบ้านตัวเองอย่างสงบ

เจ็ดใ...บ แปดใ...บ เก้าใ...บ

ไม่ครบสิบ! เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง แล้วจู่ ๆ ก็เกิดเสียงแหลมปรี๊ดโหยหวยปนสะอื้นดังไปทั่ว ชาวบ้านชาวช่องขวัญหนีดีฝ่อ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักแอะ

ครั้นผ่านไปสักพัก เสียงเดิมหวนกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ วนไปจนถึงเก้าแล้วกรีดร้อง ย้อนไปตั้งต้นใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเช่นนั้นติดกันทุกคืน จนผู้คนหวาดผวาไปทั่ว

* * * * *

อาโอยามะหวาดกลัวและกังวลเรื่องวิญญาณโอะคิกุเช่นกัน จึงไปปรึกษาเพื่อน

“อืม ข้าคิดดูแล้ว เข้าใจว่านางคงค้างคาใจและคั่งแค้น จึงออกมาหลอกหลอนแบบนี้ เดี๋ยวข้าจะลองใช้วิธีของข้าดู” เพื่อนให้คำปรึกษาเช่นนั้น

คืนถัดมา เพื่อนของอาโอยามะไปแอบอยู่ใกล้ ๆ บ่อน้ำ เมื่อถึงเวลาก็เป็นไปตามความคาดหมาย วิญญาณโอะคิกุปรากฏ นางเริ่มนับ...นับ...นับ จนถึงเก้าใบเช่นเคย

ทันใดนั้น ชายผู้แอบซุ่มอยู่รีบร้องตะโกนต่อให้ “สิบใบ!”

แล้วโอะคิกุก็หายวับ ไม่กลับมาปรากฏให้เห็นอีกเลย เพราะดวงวิญญาณหมดห่วงเรื่องจานไม่ครบ


* * * * *

มีชายใจกล้ากลุ่มหนึ่ง ไม่กลัวเสียงผีอย่างที่ชาวบ้านร้านตลาดกลัว จึงคิดจะไปแอบดูเสียให้รู้แล้วรู้รอดว่าผีนางนี้หน้าตาเป็นอย่างไร เพราะตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ได้ยินกิตติศัพท์ว่าโอะคิกุหน้าตาสะสวยไม่เบา

ว่าแล้วจึงตัดสินใจเด็ดขาด ตกดึก คนกลุ่มนี้พากันมุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำแห่งนั้น โดยซุ่มมองอยู่หลังต้นไม้ใกล้ ๆ พอได้เวลา ผีโอะคิกุก็ปรากฏออกมา แล้วเริ่มนับเหมือนเดิม

“พับผ่าเอ๊ย สวยจริง ๆ ด้วย” ชายคนหนึ่งที่แอบอยู่กับเพื่อนเอ่ยชม
“เสียงก็เพราะ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นผีนะ หืม พี่จะ...” อีกคนเออออ
“อะไร! จะทำอะไร ข้ายังอยู่ทั้งคน”
“อึ๋ย แต่ถึงยังไงก็ผีว่ะ ข้าชักจะใจไม่ดี”
ห้าใ...บ
“ข้าก็เหมือนกัน ขนลุกไปหมดแล้ว ลมอะไรวะมันพัดมาตอนนี้”

หกใ...บ

พอสิ้นเสียงใบที่หก ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใด คนทั้งกลุ่มพร้อมใจกันเผ่นแน่บไม่เหลียวหลัง แต่ข่าวลือเรื่องความงามของผีโอะคิกุกระฉ่อนเสียงยิ่งกว่าตอนเป็น ๆ

มีคนไปซุ่มดูผีสาวกันอีกหลายระลอก พวกพ่อค้าแม่ขายไปตั้งแผงออกร้านกันคึกคัก บ่อผีกลายเป็นที่ทำมาค้าขายไปแล้ว ผีสาวกลายเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้ชมขึ้นมา

นางตรงต่อเวลา มาตรงเวลาเป๊ะทุกคืน ซื่อตรงต่อกิจวัตร บางทีก็สอดแทรกศิลปะลงไปด้วยการเอียงหน้าน้อย ๆ เหมือนเล่นกล้อง เสียดายที่สมัยโน้นกล้องยังไม่มี พอนับได้หก ผู้คนเตลิดแน่บ นางก็หายวับไป บางครั้งยังเกาหัวสงสัยว่าทำไมไม่รอต่อไปให้นับถึงเก้า การปรากฏกายกลายเป็นหน้าที่ นี่ถ้าเป็นคนคงต้องขอพักร้อนกันบ้างแล้ว แต่เปล่าเลย โอะคิกุยังเผยโฉมดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ

และแล้วพอเวลาผ่านไป เริ่มมีคนคิดว่า เอ๊ะ ทำไมจะต้องหนีตอนนางนับใบที่หกด้วยล่ะ ด้วยความที่ห้ามใจไม่ไหว อยากอยู่ต่อให้รู้ชัด คืนหนึ่งกลุ่มชายหนุ่มแห่กันไปซุ่มดูโอะคิกุอีก พร้อมกับนัดแนะกันว่าจะรอดูนางนับให้ถึงใบที่เก้าเลยเชียว

แปดใ...บ
กลุ่มชายหนุ่มชักใจไม่ดี นี่ถ้าครบเก้าแล้วผีอาละวาดขึ้นมา หน้าตาจะน่ากลัวขนาดไหน

เก้าใ...บ
เพื่อนฝูงทำตาปริบ ๆ หันมองหน้ากัน เหงื่อกาฬไหลย้อย เตรียมจะก้าวขา

สิบใ...บ
เอ๊ะ? ทำไมนับเกิน เพื่อนฝูงทำตาปริบ ๆ หันมองหน้ากัน เหงื่อกาฬยังไหลย้อย เตรียมจะก้าวขาอีก แต่ชะงักเมื่อได้ยิน

สิบเอ็ดใบ...สิบสองใบ...สิบสามใบ

ทุกคนงงกันหมด แต่ทำอะไรไม่ถูก ตัดสินใจว่าจะรอดูให้รู้ว่าจะนับไปถึงไหน คนดูคลายอิริยาบถ คนที่ย่อตัวอยู่ก็ยืดตัวขึ้น คนที่กอดอกก็ลดมือลง คนที่อยู่หลังต้นไม้ก็เขยิบออกมา

สิบแปดใบ

โอะคิกุหยุดนับแล้วนิ่งเงียบ ชายหนุ่มใจกล้าคนหนึ่งอดรนทนไม่ได้ จึงก้าวออกไปข้างหน้า ตะโกนถามว่า “ทำไมเจ้านับถึงสิบแปดล่ะ หา?”

“อิฉันนับทุกคืนแบบนี้ไม่ไหวแล้วจ้ะ พรุ่งนี้ว่าจะขอหยุด วันนี้เลยนับเผื่อ”


**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.mgronline.com



กำลังโหลดความคิดเห็น