บทประพันธ์ของ เอะโดะงะวะ รัมโปะ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ตอนที่ 2
ขั้นตอนการปฏิบัติงานของสารวัตรโคะบะยะชิคือ ขั้นแรกเขาค้นห้องด้านในซึ่งเป็นที่พบศพอย่างละเอียด แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสะดุดตาเขา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่คนร้ายอาจทำตกไว้หรือรอยเท้า ยกเว้นอย่างเดียว
“สวิตช์ไฟนี่มีลายนิ้วมือติดอยู่นะ” สารวัตรใช้แป้งฝุ่นอะไรสักอย่างสีขาว ๆ โรยลงบนสวิตช์ไฟที่ทำจากยางอีโบไนต์สีดำแล้วหันมาบอก “คิดถึงสภาพการณ์ก่อนหลังเกิดเหตุแล้ว คนร้ายเป็นคนปิดไฟแน่ ๆ และคนเปิดไฟก็ต้องเป็นคุณคนใดคนหนึ่ง ใครครับ” อะเคะชิตอบว่าเขาเอง
“ถ้าอย่างนั้น หลังจากนี้ต้องขอพิมพ์ลายมือของคุณเอาไว้ ส่วนหลอดไฟนี่เราจะถอดเอาไปทั้งอย่างนั้นอย่าให้ใครจับต้อง”
ว่าแล้วสารวัตรนักสืบก็ขึ้นบันไดไปชั้นสอง เขาหายเงียบไปนานพอดูและพอลงมาก็เดินดุ่ม ๆ ออกไปข้างนอกบอกว่าจะไปตรวจดูพื้นที่ในซอย แต่คิดว่าไม่ถึงสิบนาทีดีเขาก็เดินถือไฟฉายที่ดวงไฟยังสว่างอยู่กลับเข้ามาพร้อมกับชายหน้าตาท่าทางสกปรกคนหนึ่งวัยประมาณ 40 ปี ใส่เสื้อผ้าป่านคอกลมกับกางเกงสีกากีขมุกขมอมมอซอไปทั้งตัว
“จับรอยเท้าไม่ได้เลยครับ” นักสืบรายงาน “รอบ ๆ ประตูหลังด้านนี้ แดดคงส่องเข้ามาไม่ถึงเพราะพื้นดินเฉอะแฉะมาก มีรอยเกี๊ยะเหยียบทับกันยุ่งเหยิงไปหมด แยกไม่ออกเลยว่าเป็นของใคร” ว่าแล้วก็ชี้ไปทางชายคนที่พามาด้วย “นายคนนี้เป็นเจ้าของร้านไอศกรีมที่มุมตรอกหลังบ้าน หากคนร้ายหนีออกไปทางประตูหลัง นายคนนี้ก็จะต้องเห็นแน่เพราะตรอกนี้เป็นทางตันออกได้ทางเดียว นายตอบคำถามของฉันอีกครั้งหนึ่งนะ”
เจ้าของร้านไอศกรีมกับสารวัตรนักสืบถามตอบกันดังนี้
“ช่วงก่อนหลังสองทุ่มคืนนี้ มีใครเข้ามาหรือออกจากตรอกนี้บ้างไหม”
“ไม่มีสักคนเดียวขอรับ ตั้งแต่พลบค่ำไม่มีใครเดินผ่านไปมาแม้แต่แมวสักตัวเดียว” พ่อค้าไอศกรีมตอบด้วยความมั่นใจ
“กระผมขายไอศกรีมอยู่ปากตรอกนี้มานานเต็มทีแล้วขอรับ แต่ตอนกลางคืนคุณนายและคนที่ห้องแถวนี้แทบจะไม่ออกจากตรอกมา เพราะทางมันเฉอะแฉะเดินลำบาก แล้วก็มืดตึ๊ดตื๋อเลยขอรับ”
“ลูกค้าของนายไม่มีใครเข้ามาในตรอกนี้เลยรึ”
“ไม่มีขอรับ ทุกคนกินไอติมตรงหน้ากระผม พอกินเสร็จก็กลับกันไปทันที อันนี้ยืนยันได้เลยขอรับ”
เอาละ ถ้าเชื่อตามคำให้การของเจ้าของร้านไอศกรีม แม้คนร้ายจะหนีออกไปทางประตูด้านหลังแต่ก็ต้องไม่ออกไปทางตรอกซึ่งเป็นเส้นทางเดียวที่มีอยู่ และก็ต้องไม่ออกไปทางด้านหน้าร้านแน่นอน เพราะเราสองคนเฝ้ามองมาจากฮะกุไบเค็นอย่างไม่วางตา แล้วคนร้ายจะหนีไปทางไหนได้ สารวัตรโคะบะยะชิสันนิษฐานว่ามันอาจหลบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องแถวที่ขนาบข้างร้านหนังสือที่เกิดเหตุด้านใดด้านหนึ่ง หรือไม่ก็คนเช่าห้องแถวแถบนี้คนใดคนหนึ่งเป็นฆาตกรเสียเอง จะว่าคนร้ายออกไปทางหลังคาแล้วย่องหนีไปตามแนวหลังคาก็ไม่ใช่ เพราะได้ขึ้นไปตรวจชั้นบนอย่างถี่ถ้วนแล้วไม่เห็นร่องรอยใด ๆ ที่ผิดสังเกต หน้าต่างด้านหน้าที่ติดกรอบไม้ระแนงไว้แน่นหนาไม่มีรอยถูกเคลื่อนขยับแม้แต่น้อย ส่วนหน้าต่างด้านหลังนั้น หน้าร้อนอย่างนี้แทบทุกบ้านจะเปิดกว้างรับลม หลายคนชอบออกไปนอนกินลมบนดาดฟ้าซึ่งเป็นที่ตากผ้ากันด้วย จึงยากที่จะหนีออกไปโดยไม่มีใครเห็น
หลังจากนั้นคณะสืบสวนก็จัดประชุมวางแนวทางปฏิบัติการและตกลงกันได้ในที่สุดว่าให้แยกย้ายกันออกไปตรวจสอบห้องแถวชุดนี้ที่มีประตูหน้าประตูหลังอยู่ในแนวเดียวกันซึ่งมีอยู่เพียง 11 หลังคาเรือนจึงไม่ยากเย็นเท่าไรนัก พร้อมทั้งตรวจสอบห้องแถวคูหาที่เกิดเหตุอีกครั้งตั้งแต่ใต้ถุนนอกชานจนถึงใต้หลังคา ทุกซอกทุกมุมโดยไม่ให้รอดสายตาไปได้ แต่ผลปรากฏว่า นอกจากจะไม่พบเบาะแสอะไรเลยแล้วยังมีเหตุที่ทำให้สันนิษฐานรูปคดีต่อไปได้ยากขึ้นอีกหลายเท่า นั่นก็คือเจ้าของร้านขนมที่อยู่ถัดไปเป็นหลังที่สองจากร้านหนังสือเก่าให้การว่า เขาขึ้นไปนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนดาดฟ้าตั้งแต่พลบค่ำมาจนถึงเมื่อกี้นี้เอง และตำแหน่งที่นายคนนี้นั่งอยู่นั้นอยู่ในระดับที่จะเห็นความเป็นไปในชั้นสองของร้านหนังสือเก่าได้ชัดเจนอย่างชนิดที่ไม่น่ามีอะไรรอดสายตาเขาไปได้หากเกิดอะไรขึ้น
ผู้อ่านทุกท่าน คดีนี้เริ่มสนุกเร้าใจขึ้นมาทุกทีแล้ว คนร้ายเข้ามาทางไหน หนีออกไปทางไหน ทางประตูหลังก็ไม่ใช่ ทางหน้าต่างชั้นบนก็ไม่ใช่ ทางหน้าบ้านก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ มันไม่ได้มีตัวตนมาตั้งแต่แรก หรือว่าหายตัวไปเหมือนควัน ความแปลกประหลาดไม่ได้มีแค่นั้น คำให้การของนักศึกษาสองคนที่สารวัตรโคะบะยะชิพามาพบเจ้าหน้าที่อัยการยิ่งน่าพิศวงขึ้นไปอีก ทั้งสองซึ่งเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมและเช่าห้องแถวอยู่ด้านหลังนั้น ท่าทางดูดีไม่เป็นคนเหลวไหลแต่คำให้การของพวกเขาทำให้คดีนี้เป็นปริศนาลึกลับขึ้นเป็นทวีคูณ
สองนักศึกษากับเจ้าหน้าที่อัยการถามตอบกันประมาณนี้
“พอดีกระผมมายืนอยู่หน้าร้านหนังสือเก่านี้ราวสองทุ่ม ขณะที่กำลังพลิกนิตยสารที่แท่นวางหนังสือออกอ่านอยู่นั้น กระผมได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังออกมาจากด้านในจึงเงยหน้าขึ้นทันทีแล้วมองไปที่ประตูบานเลื่อน ประตูปิดแต่ช่องลับแลตรงกลางบานเปิดอยู่ กระผมจึงมองลอดเข้าไปทันเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่แวบหนึ่ง เพราะชายคนนั้นปิดช่องลับแลในแทบจะวินาทีเดียวกันกับที่กระผมมองเข้าไป กระผมจึงไม่เห็นรายละเอียดอะไรเลย แต่ลักษณะของผ้าคาดเอวที่เห็นแวบหนึ่งนั้นทำให้กระผมแน่ใจว่าคน ๆ นั้นเป็นผู้ชายขอรับ”
“แล้วสังเกตเห็นอะไรที่นอกเหนือจากการเป็นผู้ชายบ้างไหม อย่างเช่นรูปร่าง หรือไม่ก็ลวดลายของกิโมโน”
“กระผมเห็นตั้งแต่เอวลงมาเพียงแวบเดียวเท่านั้นจึงไม่รู้ว่ารูปร่างอย่างไร ส่วนกิโมโนนั้นสีดำขอรับ บางทีอาจมีลายเส้นตรงถี่ ๆ ก็ได้ แต่เท่าที่กระผมเห็นนั้นเป็นสีดำไม่มีลวดลายอะไร” นักศึกษาอีกคนหนึ่งให้การว่า
“กระผมกับเพื่อนยืนอ่านหนังสืออยู่ด้วยกันขอรับ” นักศึกษาอีกคนหนึ่งให้การ “ได้ยินเสียงและเห็นบานช่องลับแลปิดเหมือนกัน แต่ชายคนนั้นใส่กิโมโนสีขาวแน่นอน สีขาวสะอาดไม่มีลายหรือดอกอะไรทั้งนั้นขอรับ”
“ไม่แปลกไปหน่อยรึ ไม่ใครก็ใครต้องมองผิดแน่ ๆ”
“กระผมเห็นอย่างนั้นจริง ๆ มองไม่ผิดแน่ขอรับ”
“กระผมก็ไม่ได้พูดเท็จ”
คำให้การอันน่าพิศวงของนักศึกษาทั้งสองสื่อความหมายว่าอย่างไรนั้น ผู้อ่านที่ฉับไวกับเรื่องประเภทนี้คงจะนึกถึงอะไรบางอย่างกันบ้างแล้ว ความจริงผมก็นึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พวกเจ้าหน้าที่ศาลและตำรวจดูเหมือนจะไม่คิดลึกซึ้งนักตรงจุดนี้
จากนั้นไม่นาน เจ้าของร้านหนังสือเก่าผัวผู้ตายก็รีบกลับมาหลังได้รับแจ้งข่าวร้าย เขายังหนุ่มท่าทางเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวไม่สมกับอาชีพพ่อค้าหนังสือเก่า พอเห็นศพเมียก็น้ำตาร่วงเผาะแม้จะไม่สะอึกสะอื้นฟูมฟายแต่ก็แสดงให้เห็นอุปนิสัยความเป็นคนใจอ่อนได้เป็นอย่างดี สารวัตรโคะบะยะชิคอยให้เจ้าหนุ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้วจึงได้เริ่มสอบปากคำโดยมีเจ้าหน้าที่อัยการถามเสริมบางช่วงตอน แต่ทุกคนต้องผิดหวังเพราะเจ้าหนุ่มบอกว่านึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าใครที่น่าจะเป็นคนฆ่าเมียของเขา “เมียกระผมคนนี้ไม่เคยทำอะไรให้ใครอาฆาตแค้นมาก่อนเลยจริง ๆ ” เขาพูดพลางร่ำไห้ และหลังจากตรวจดูข้าวของในบ้านแล้ว เจ้าหนุ่มก็ยืนยันว่าไม่ใช่การกระทำของพวกย่องเบา คณะสืบสวนตรวจสอบประวัติของเจ้าหนุ่มพ่อค้าหนังสือเก่าและถิ่นที่อยู่เดิมของนางเมียผู้เสียชีวิตรวมทั้งรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วไม่พบปมประเด็นที่น่าสงสัยแต่อย่างใด และเนื่องจากการสืบสวนขั้นนี้ไม่เกี่ยวข้องมากนักกับแก่นแกนสำคัญของเรื่องราวที่จะได้ฟังกันต่อไป จึงขอละไว้ไม่กล่าวถึง สุดท้ายเมื่อสารวัตรนักสืบสอบถามเกี่ยวกับรอยแผลใหม่ ๆ ที่อยู่ตามเนื้อตัวของผู้ตาย ตอนแรกเจ้าหนุ่มมีท่าทางลังเลในอย่างมากที่จะตอบแต่ในที่สุดก็สารภาพว่ารอยแผลเหล่านั้นเกิดจากการกระทำของเขาเอง ส่วนเหตุผลนั้นไม่ว่าจะซักถามสักเท่าไรก็ได้แต่คำตอบที่คลุมเคลือไม่ได้ความชัดเจน อย่างไรก็ตามในเมื่อใคร ๆ ก็เป็นพยานรู้เห็นว่าเจ้าหนุ่มอยู่ที่ร้านแผงลอยขายหนังสือตลอดมาจนกระทั่งได้ข่าวเมียถูกฆ่า จึงไม่อาจตั้งข้อหาได้ว่าเป็นฆาตกร แม้รอยแผลเหล่านั้นอาจเกิดจากทารุณกรรมก็ตาม สารวัตรนักสืบก็คงคิดเช่นนั้นจึงไม่ได้ซักถามเจาะลึกลงไปอีก
การสืบสวนในคืนวันนั้นจบลงเพียงเท่านี้ เจ้าหน้าที่บันทึกชื่อที่อยู่ของเราสองคนและพิมพ์ลายนิ้วมือของอะเกะชิ กว่าเราจะได้กลับที่พัก เวลาก็ล่วงเลยไปถึงตีหนึ่งเศษ
ฆาตกรรมรายนี้เป็นคดีปริศนาลึกลับโดยแท้ อันจะเห็นได้จากการตรวจสอบอย่างเข้มงวดของตำรวจ รวมทั้งการที่พยานรู้เห็นเหตุการณ์ได้รับการขอร้องไม่ให้แพร่งพรายกระจายข่าว ยิ่งกว่านั้นผมมารู้ในภายหลังว่าคณะสืบสวนได้ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องในวันรุ่งขึ้น แต่แม้สารวัตรโคะบะยะชิจะพยายามระดมภูมิปัญญาสืบไปจนทั่วก็ไม่ได้เบาะแสแม้แต่น้อยนิด คดีจึงชะงักงันไม่คืบหน้าจากคืนวันเกิดเหตุ ส่วนพวกพยานก็ล้วนเป็นคนที่เชื่อถือได้ต่างปิดปากกันสนิทเลยทีเดียว คนที่อยู่อาศัยในห้องแถวทั้ง 11 ครัวเรือนไม่มีใครสักคนที่มีพฤติกรรมเป็นที่น่าสงสัย ผลจากการตรวจสอบถิ่นที่อยู่ของผู้ตายก็ไม่มีอะไรผิดแปลกชวนให้สงสัย และการที่สารวัตรโคะบะยะชิ ผู้ที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้นแล้วว่าเป็นนักสืบเอกที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วทุ่มเทภูมิปัญญาจนหมดสิ้นแล้วก็ยังไม่พบช่องทางที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดีนี้ได้นั้น เป็นข้อสรุปที่ไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้ว่าคดีนี้ลึกลับอย่างที่สุด เรื่องนี้ก็เหมือนกันที่ผมมารู้ในภายหลังว่าสวิตช์ไฟที่ทำจากยางอีโบไนต์สีดำซึ่งเป็นหลักฐานเดียวที่สารวัตรโคะบะยะชิเก็บเอาไปพิสูจน์นั้นไม่มีลายนิ้วมือคนอื่นอีกเลยนอกจากนอกจากของอะเกะชิ คงเป็นเพราะความตื่นตระหนกตอนคลำหาสวิชต์ไฟลายมือของอะเกะชิจึงติดเต็มไปหมด ทำให้สารวัตรสรุปว่าลายนิ้วมือของ อะเกะชิคงลบลายนิ้วมือของคนร้ายจนหมด
ผู้อ่านที่รัก คิดว่าเรื่องนี้คงทำให้บางท่านนึกถึงเรื่อง “คดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก” ของเอ็ดการ์ แอลลัน โป หรือเรื่อง “แถบผ้าลายจุด” ของ อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ คือคงเดากันว่าคนร้ายตัวจริงของคดีฆาตกรรมรายนี้อาจไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์พวกอุรังอุตัง หรืองูพิษอินเดีย เป็นต้น ความจริงผมเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะไม่คิดว่าจะมีสัตว์พวกนั้นอาศัยอยู่แถวเนิน D ในกรุงโตเกียว และที่สำคัญเป็นอันดับแรกคือมีพยานเห็นร่างของผู้ชายผ่านช่องลับแลบนประตูบานเลื่อน นอกจากนั้นถ้าเป็นสัตว์จำพวกลิงมันจะต้องทิ้งรอยเท้าเอาไว้แน่และคงไม่รอดพ้นสายตาผู้คนไปได้ อีกทั้งรอยนิ้วที่คอผู้ตายก็ยังเป็นของคนจริง ๆ หากถูกงูรัดรอยที่เหลืออยู่จะไม่ใช่ลักษณะนั้น
ระหว่างทางกลับที่พักอะเกะชิกับผมถกกันเกี่ยวกับเรื่องคดีด้วยความตื่นเต้นที่ยังคุกรุ่นอยู่ ประมาณว่า
“คุณรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคดี Rose Delacourt ในกรุงปารีส ที่เป็นต้นเรื่องของนิยายเรื่องคดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก ของโป และ เรื่องความลับห้องเหลือง ของกัสตง เลอรู ใช่ไหม ฆาตกรรมรายนั้นเป็นคดีลึกลับอย่างน่าอัศจรรย์จนเวลาผ่านไปกว่าร้อยปีแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถถอดรหัสปริศนานั้นได้ เหตุการณ์คืนนี้ทำให้ผมคิดถึงคดีนี้เลยรู้ไหม เหมือนกันมากตรงที่ฆาตกรหนีออกไปจากที่เกิดเหตุโดยไม่ทิ้งร่อยรอยเอาไว้ คุณว่าไหมล่ะ” อะเกะชิเปิดประเด็น
“ใช่ น่าพิศวงแท้ ๆ ว่ากันว่าคดีร้ายแรงอย่างที่พบในนิยายสืบสวนของฝรั่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในอาคารแบบญี่ปุ่น แต่ผมว่าไม่ใช่ เพราะเคยมีคดีทำนองนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ แล้วด้วย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่ก็อยากสืบเรื่องนี้ดูสักตั้ง”
สุดท้ายเราสองคนก็ลากันที่หน้าซอยหนึ่ง ผมจำภาพตอนนั้นได้ติดตา อะเกะชิในชุดกิโมโนหน้าร้อนแบบลำลองลายขีดเป็นเส้นตรงเด่นสะดุดตาขึ้นมาในความมืด เดินส่ายไหล่ตามแบบของเขาเลี้ยวมุมตรอกกลับไป
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ตอนที่ 2
ขั้นตอนการปฏิบัติงานของสารวัตรโคะบะยะชิคือ ขั้นแรกเขาค้นห้องด้านในซึ่งเป็นที่พบศพอย่างละเอียด แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสะดุดตาเขา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่คนร้ายอาจทำตกไว้หรือรอยเท้า ยกเว้นอย่างเดียว
“สวิตช์ไฟนี่มีลายนิ้วมือติดอยู่นะ” สารวัตรใช้แป้งฝุ่นอะไรสักอย่างสีขาว ๆ โรยลงบนสวิตช์ไฟที่ทำจากยางอีโบไนต์สีดำแล้วหันมาบอก “คิดถึงสภาพการณ์ก่อนหลังเกิดเหตุแล้ว คนร้ายเป็นคนปิดไฟแน่ ๆ และคนเปิดไฟก็ต้องเป็นคุณคนใดคนหนึ่ง ใครครับ” อะเคะชิตอบว่าเขาเอง
“ถ้าอย่างนั้น หลังจากนี้ต้องขอพิมพ์ลายมือของคุณเอาไว้ ส่วนหลอดไฟนี่เราจะถอดเอาไปทั้งอย่างนั้นอย่าให้ใครจับต้อง”
ว่าแล้วสารวัตรนักสืบก็ขึ้นบันไดไปชั้นสอง เขาหายเงียบไปนานพอดูและพอลงมาก็เดินดุ่ม ๆ ออกไปข้างนอกบอกว่าจะไปตรวจดูพื้นที่ในซอย แต่คิดว่าไม่ถึงสิบนาทีดีเขาก็เดินถือไฟฉายที่ดวงไฟยังสว่างอยู่กลับเข้ามาพร้อมกับชายหน้าตาท่าทางสกปรกคนหนึ่งวัยประมาณ 40 ปี ใส่เสื้อผ้าป่านคอกลมกับกางเกงสีกากีขมุกขมอมมอซอไปทั้งตัว
“จับรอยเท้าไม่ได้เลยครับ” นักสืบรายงาน “รอบ ๆ ประตูหลังด้านนี้ แดดคงส่องเข้ามาไม่ถึงเพราะพื้นดินเฉอะแฉะมาก มีรอยเกี๊ยะเหยียบทับกันยุ่งเหยิงไปหมด แยกไม่ออกเลยว่าเป็นของใคร” ว่าแล้วก็ชี้ไปทางชายคนที่พามาด้วย “นายคนนี้เป็นเจ้าของร้านไอศกรีมที่มุมตรอกหลังบ้าน หากคนร้ายหนีออกไปทางประตูหลัง นายคนนี้ก็จะต้องเห็นแน่เพราะตรอกนี้เป็นทางตันออกได้ทางเดียว นายตอบคำถามของฉันอีกครั้งหนึ่งนะ”
เจ้าของร้านไอศกรีมกับสารวัตรนักสืบถามตอบกันดังนี้
“ช่วงก่อนหลังสองทุ่มคืนนี้ มีใครเข้ามาหรือออกจากตรอกนี้บ้างไหม”
“ไม่มีสักคนเดียวขอรับ ตั้งแต่พลบค่ำไม่มีใครเดินผ่านไปมาแม้แต่แมวสักตัวเดียว” พ่อค้าไอศกรีมตอบด้วยความมั่นใจ
“กระผมขายไอศกรีมอยู่ปากตรอกนี้มานานเต็มทีแล้วขอรับ แต่ตอนกลางคืนคุณนายและคนที่ห้องแถวนี้แทบจะไม่ออกจากตรอกมา เพราะทางมันเฉอะแฉะเดินลำบาก แล้วก็มืดตึ๊ดตื๋อเลยขอรับ”
“ลูกค้าของนายไม่มีใครเข้ามาในตรอกนี้เลยรึ”
“ไม่มีขอรับ ทุกคนกินไอติมตรงหน้ากระผม พอกินเสร็จก็กลับกันไปทันที อันนี้ยืนยันได้เลยขอรับ”
เอาละ ถ้าเชื่อตามคำให้การของเจ้าของร้านไอศกรีม แม้คนร้ายจะหนีออกไปทางประตูด้านหลังแต่ก็ต้องไม่ออกไปทางตรอกซึ่งเป็นเส้นทางเดียวที่มีอยู่ และก็ต้องไม่ออกไปทางด้านหน้าร้านแน่นอน เพราะเราสองคนเฝ้ามองมาจากฮะกุไบเค็นอย่างไม่วางตา แล้วคนร้ายจะหนีไปทางไหนได้ สารวัตรโคะบะยะชิสันนิษฐานว่ามันอาจหลบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องแถวที่ขนาบข้างร้านหนังสือที่เกิดเหตุด้านใดด้านหนึ่ง หรือไม่ก็คนเช่าห้องแถวแถบนี้คนใดคนหนึ่งเป็นฆาตกรเสียเอง จะว่าคนร้ายออกไปทางหลังคาแล้วย่องหนีไปตามแนวหลังคาก็ไม่ใช่ เพราะได้ขึ้นไปตรวจชั้นบนอย่างถี่ถ้วนแล้วไม่เห็นร่องรอยใด ๆ ที่ผิดสังเกต หน้าต่างด้านหน้าที่ติดกรอบไม้ระแนงไว้แน่นหนาไม่มีรอยถูกเคลื่อนขยับแม้แต่น้อย ส่วนหน้าต่างด้านหลังนั้น หน้าร้อนอย่างนี้แทบทุกบ้านจะเปิดกว้างรับลม หลายคนชอบออกไปนอนกินลมบนดาดฟ้าซึ่งเป็นที่ตากผ้ากันด้วย จึงยากที่จะหนีออกไปโดยไม่มีใครเห็น
หลังจากนั้นคณะสืบสวนก็จัดประชุมวางแนวทางปฏิบัติการและตกลงกันได้ในที่สุดว่าให้แยกย้ายกันออกไปตรวจสอบห้องแถวชุดนี้ที่มีประตูหน้าประตูหลังอยู่ในแนวเดียวกันซึ่งมีอยู่เพียง 11 หลังคาเรือนจึงไม่ยากเย็นเท่าไรนัก พร้อมทั้งตรวจสอบห้องแถวคูหาที่เกิดเหตุอีกครั้งตั้งแต่ใต้ถุนนอกชานจนถึงใต้หลังคา ทุกซอกทุกมุมโดยไม่ให้รอดสายตาไปได้ แต่ผลปรากฏว่า นอกจากจะไม่พบเบาะแสอะไรเลยแล้วยังมีเหตุที่ทำให้สันนิษฐานรูปคดีต่อไปได้ยากขึ้นอีกหลายเท่า นั่นก็คือเจ้าของร้านขนมที่อยู่ถัดไปเป็นหลังที่สองจากร้านหนังสือเก่าให้การว่า เขาขึ้นไปนั่งเป่าขลุ่ยอยู่บนดาดฟ้าตั้งแต่พลบค่ำมาจนถึงเมื่อกี้นี้เอง และตำแหน่งที่นายคนนี้นั่งอยู่นั้นอยู่ในระดับที่จะเห็นความเป็นไปในชั้นสองของร้านหนังสือเก่าได้ชัดเจนอย่างชนิดที่ไม่น่ามีอะไรรอดสายตาเขาไปได้หากเกิดอะไรขึ้น
ผู้อ่านทุกท่าน คดีนี้เริ่มสนุกเร้าใจขึ้นมาทุกทีแล้ว คนร้ายเข้ามาทางไหน หนีออกไปทางไหน ทางประตูหลังก็ไม่ใช่ ทางหน้าต่างชั้นบนก็ไม่ใช่ ทางหน้าบ้านก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ มันไม่ได้มีตัวตนมาตั้งแต่แรก หรือว่าหายตัวไปเหมือนควัน ความแปลกประหลาดไม่ได้มีแค่นั้น คำให้การของนักศึกษาสองคนที่สารวัตรโคะบะยะชิพามาพบเจ้าหน้าที่อัยการยิ่งน่าพิศวงขึ้นไปอีก ทั้งสองซึ่งเรียนอยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคอุตสาหกรรมและเช่าห้องแถวอยู่ด้านหลังนั้น ท่าทางดูดีไม่เป็นคนเหลวไหลแต่คำให้การของพวกเขาทำให้คดีนี้เป็นปริศนาลึกลับขึ้นเป็นทวีคูณ
สองนักศึกษากับเจ้าหน้าที่อัยการถามตอบกันประมาณนี้
“พอดีกระผมมายืนอยู่หน้าร้านหนังสือเก่านี้ราวสองทุ่ม ขณะที่กำลังพลิกนิตยสารที่แท่นวางหนังสือออกอ่านอยู่นั้น กระผมได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังออกมาจากด้านในจึงเงยหน้าขึ้นทันทีแล้วมองไปที่ประตูบานเลื่อน ประตูปิดแต่ช่องลับแลตรงกลางบานเปิดอยู่ กระผมจึงมองลอดเข้าไปทันเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่แวบหนึ่ง เพราะชายคนนั้นปิดช่องลับแลในแทบจะวินาทีเดียวกันกับที่กระผมมองเข้าไป กระผมจึงไม่เห็นรายละเอียดอะไรเลย แต่ลักษณะของผ้าคาดเอวที่เห็นแวบหนึ่งนั้นทำให้กระผมแน่ใจว่าคน ๆ นั้นเป็นผู้ชายขอรับ”
“แล้วสังเกตเห็นอะไรที่นอกเหนือจากการเป็นผู้ชายบ้างไหม อย่างเช่นรูปร่าง หรือไม่ก็ลวดลายของกิโมโน”
“กระผมเห็นตั้งแต่เอวลงมาเพียงแวบเดียวเท่านั้นจึงไม่รู้ว่ารูปร่างอย่างไร ส่วนกิโมโนนั้นสีดำขอรับ บางทีอาจมีลายเส้นตรงถี่ ๆ ก็ได้ แต่เท่าที่กระผมเห็นนั้นเป็นสีดำไม่มีลวดลายอะไร” นักศึกษาอีกคนหนึ่งให้การว่า
“กระผมกับเพื่อนยืนอ่านหนังสืออยู่ด้วยกันขอรับ” นักศึกษาอีกคนหนึ่งให้การ “ได้ยินเสียงและเห็นบานช่องลับแลปิดเหมือนกัน แต่ชายคนนั้นใส่กิโมโนสีขาวแน่นอน สีขาวสะอาดไม่มีลายหรือดอกอะไรทั้งนั้นขอรับ”
“ไม่แปลกไปหน่อยรึ ไม่ใครก็ใครต้องมองผิดแน่ ๆ”
“กระผมเห็นอย่างนั้นจริง ๆ มองไม่ผิดแน่ขอรับ”
“กระผมก็ไม่ได้พูดเท็จ”
คำให้การอันน่าพิศวงของนักศึกษาทั้งสองสื่อความหมายว่าอย่างไรนั้น ผู้อ่านที่ฉับไวกับเรื่องประเภทนี้คงจะนึกถึงอะไรบางอย่างกันบ้างแล้ว ความจริงผมก็นึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่พวกเจ้าหน้าที่ศาลและตำรวจดูเหมือนจะไม่คิดลึกซึ้งนักตรงจุดนี้
จากนั้นไม่นาน เจ้าของร้านหนังสือเก่าผัวผู้ตายก็รีบกลับมาหลังได้รับแจ้งข่าวร้าย เขายังหนุ่มท่าทางเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวไม่สมกับอาชีพพ่อค้าหนังสือเก่า พอเห็นศพเมียก็น้ำตาร่วงเผาะแม้จะไม่สะอึกสะอื้นฟูมฟายแต่ก็แสดงให้เห็นอุปนิสัยความเป็นคนใจอ่อนได้เป็นอย่างดี สารวัตรโคะบะยะชิคอยให้เจ้าหนุ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้วจึงได้เริ่มสอบปากคำโดยมีเจ้าหน้าที่อัยการถามเสริมบางช่วงตอน แต่ทุกคนต้องผิดหวังเพราะเจ้าหนุ่มบอกว่านึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าใครที่น่าจะเป็นคนฆ่าเมียของเขา “เมียกระผมคนนี้ไม่เคยทำอะไรให้ใครอาฆาตแค้นมาก่อนเลยจริง ๆ ” เขาพูดพลางร่ำไห้ และหลังจากตรวจดูข้าวของในบ้านแล้ว เจ้าหนุ่มก็ยืนยันว่าไม่ใช่การกระทำของพวกย่องเบา คณะสืบสวนตรวจสอบประวัติของเจ้าหนุ่มพ่อค้าหนังสือเก่าและถิ่นที่อยู่เดิมของนางเมียผู้เสียชีวิตรวมทั้งรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วไม่พบปมประเด็นที่น่าสงสัยแต่อย่างใด และเนื่องจากการสืบสวนขั้นนี้ไม่เกี่ยวข้องมากนักกับแก่นแกนสำคัญของเรื่องราวที่จะได้ฟังกันต่อไป จึงขอละไว้ไม่กล่าวถึง สุดท้ายเมื่อสารวัตรนักสืบสอบถามเกี่ยวกับรอยแผลใหม่ ๆ ที่อยู่ตามเนื้อตัวของผู้ตาย ตอนแรกเจ้าหนุ่มมีท่าทางลังเลในอย่างมากที่จะตอบแต่ในที่สุดก็สารภาพว่ารอยแผลเหล่านั้นเกิดจากการกระทำของเขาเอง ส่วนเหตุผลนั้นไม่ว่าจะซักถามสักเท่าไรก็ได้แต่คำตอบที่คลุมเคลือไม่ได้ความชัดเจน อย่างไรก็ตามในเมื่อใคร ๆ ก็เป็นพยานรู้เห็นว่าเจ้าหนุ่มอยู่ที่ร้านแผงลอยขายหนังสือตลอดมาจนกระทั่งได้ข่าวเมียถูกฆ่า จึงไม่อาจตั้งข้อหาได้ว่าเป็นฆาตกร แม้รอยแผลเหล่านั้นอาจเกิดจากทารุณกรรมก็ตาม สารวัตรนักสืบก็คงคิดเช่นนั้นจึงไม่ได้ซักถามเจาะลึกลงไปอีก
การสืบสวนในคืนวันนั้นจบลงเพียงเท่านี้ เจ้าหน้าที่บันทึกชื่อที่อยู่ของเราสองคนและพิมพ์ลายนิ้วมือของอะเกะชิ กว่าเราจะได้กลับที่พัก เวลาก็ล่วงเลยไปถึงตีหนึ่งเศษ
ฆาตกรรมรายนี้เป็นคดีปริศนาลึกลับโดยแท้ อันจะเห็นได้จากการตรวจสอบอย่างเข้มงวดของตำรวจ รวมทั้งการที่พยานรู้เห็นเหตุการณ์ได้รับการขอร้องไม่ให้แพร่งพรายกระจายข่าว ยิ่งกว่านั้นผมมารู้ในภายหลังว่าคณะสืบสวนได้ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องในวันรุ่งขึ้น แต่แม้สารวัตรโคะบะยะชิจะพยายามระดมภูมิปัญญาสืบไปจนทั่วก็ไม่ได้เบาะแสแม้แต่น้อยนิด คดีจึงชะงักงันไม่คืบหน้าจากคืนวันเกิดเหตุ ส่วนพวกพยานก็ล้วนเป็นคนที่เชื่อถือได้ต่างปิดปากกันสนิทเลยทีเดียว คนที่อยู่อาศัยในห้องแถวทั้ง 11 ครัวเรือนไม่มีใครสักคนที่มีพฤติกรรมเป็นที่น่าสงสัย ผลจากการตรวจสอบถิ่นที่อยู่ของผู้ตายก็ไม่มีอะไรผิดแปลกชวนให้สงสัย และการที่สารวัตรโคะบะยะชิ ผู้ที่ผมเกริ่นไว้ในตอนต้นแล้วว่าเป็นนักสืบเอกที่มีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วทุ่มเทภูมิปัญญาจนหมดสิ้นแล้วก็ยังไม่พบช่องทางที่จะนำไปสู่การคลี่คลายคดีนี้ได้นั้น เป็นข้อสรุปที่ไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้ว่าคดีนี้ลึกลับอย่างที่สุด เรื่องนี้ก็เหมือนกันที่ผมมารู้ในภายหลังว่าสวิตช์ไฟที่ทำจากยางอีโบไนต์สีดำซึ่งเป็นหลักฐานเดียวที่สารวัตรโคะบะยะชิเก็บเอาไปพิสูจน์นั้นไม่มีลายนิ้วมือคนอื่นอีกเลยนอกจากนอกจากของอะเกะชิ คงเป็นเพราะความตื่นตระหนกตอนคลำหาสวิชต์ไฟลายมือของอะเกะชิจึงติดเต็มไปหมด ทำให้สารวัตรสรุปว่าลายนิ้วมือของ อะเกะชิคงลบลายนิ้วมือของคนร้ายจนหมด
ผู้อ่านที่รัก คิดว่าเรื่องนี้คงทำให้บางท่านนึกถึงเรื่อง “คดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก” ของเอ็ดการ์ แอลลัน โป หรือเรื่อง “แถบผ้าลายจุด” ของ อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์ คือคงเดากันว่าคนร้ายตัวจริงของคดีฆาตกรรมรายนี้อาจไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์พวกอุรังอุตัง หรืองูพิษอินเดีย เป็นต้น ความจริงผมเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะไม่คิดว่าจะมีสัตว์พวกนั้นอาศัยอยู่แถวเนิน D ในกรุงโตเกียว และที่สำคัญเป็นอันดับแรกคือมีพยานเห็นร่างของผู้ชายผ่านช่องลับแลบนประตูบานเลื่อน นอกจากนั้นถ้าเป็นสัตว์จำพวกลิงมันจะต้องทิ้งรอยเท้าเอาไว้แน่และคงไม่รอดพ้นสายตาผู้คนไปได้ อีกทั้งรอยนิ้วที่คอผู้ตายก็ยังเป็นของคนจริง ๆ หากถูกงูรัดรอยที่เหลืออยู่จะไม่ใช่ลักษณะนั้น
ระหว่างทางกลับที่พักอะเกะชิกับผมถกกันเกี่ยวกับเรื่องคดีด้วยความตื่นเต้นที่ยังคุกรุ่นอยู่ ประมาณว่า
“คุณรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคดี Rose Delacourt ในกรุงปารีส ที่เป็นต้นเรื่องของนิยายเรื่องคดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก ของโป และ เรื่องความลับห้องเหลือง ของกัสตง เลอรู ใช่ไหม ฆาตกรรมรายนั้นเป็นคดีลึกลับอย่างน่าอัศจรรย์จนเวลาผ่านไปกว่าร้อยปีแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถถอดรหัสปริศนานั้นได้ เหตุการณ์คืนนี้ทำให้ผมคิดถึงคดีนี้เลยรู้ไหม เหมือนกันมากตรงที่ฆาตกรหนีออกไปจากที่เกิดเหตุโดยไม่ทิ้งร่อยรอยเอาไว้ คุณว่าไหมล่ะ” อะเกะชิเปิดประเด็น
“ใช่ น่าพิศวงแท้ ๆ ว่ากันว่าคดีร้ายแรงอย่างที่พบในนิยายสืบสวนของฝรั่งไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในอาคารแบบญี่ปุ่น แต่ผมว่าไม่ใช่ เพราะเคยมีคดีทำนองนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ แล้วด้วย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่ก็อยากสืบเรื่องนี้ดูสักตั้ง”
สุดท้ายเราสองคนก็ลากันที่หน้าซอยหนึ่ง ผมจำภาพตอนนั้นได้ติดตา อะเกะชิในชุดกิโมโนหน้าร้อนแบบลำลองลายขีดเป็นเส้นตรงเด่นสะดุดตาขึ้นมาในความมืด เดินส่ายไหล่ตามแบบของเขาเลี้ยวมุมตรอกกลับไป