บทประพันธ์ของ เอะโดะงะวะ รัมโปะ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ตอนที่ 1
คืนนั้นอากาศร้อนชื้นอยู่ในช่วงต้นเดือนกันยายน ผมนั่งจิบกาแฟกาแฟเย็นอยู่ที่ฮะกุไบเค็น คาเฟ่เจ้าประจำริมถนนใหญ่ครึ่งทางขึ้นเนิน D ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง กิจวัตรประจำวันคือนอนอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องเช่า พอเบื่อก็ออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยและแวะกินกาแฟซึ่งไม่ทำให้สิ้นเปลืองสักเท่าไร คาเฟ่ฮะกุไบเค็นนอกจากจะอยู่ข้างบ้านที่ผมเช่าห้องพักอยู่แล้ว ยังตั้งอยู่ตรงจุดที่ไม่ว่าจะเดินเล่นไปทางไหนเป็นต้องผ่านทุกครั้งไป ดังนั้นผมจึงเข้าออกจนเป็นเจ้าประจำ ผมนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งคือพอได้เข้าคาเฟ่ละก็ก้นงอกรากเลยทีเดียว ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยเจริญอาหารอยู่แล้วประกอบกับไม่ค่อยมีสตางค์ด้วย ก็เลยไม่สั่งอาหารฝรั่งที่เขาเสิร์ฟเป็นจาน ได้แต่นั่งจิบกาแฟถูก ๆ เติมแล้วเติมอีกสองสามครั้งนั่งนิ่ง ๆ อยู่ได้เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง นั่นไม่ใช่ว่าผมไปติดใจสาวเสิร์ฟหรือสนุกกับการพูดยั่วเย้าหยอกเล่นแต่อย่างใด แต่เพราะที่นั่นหรูและสบายกว่าห้องเช่าเป็นไหน ๆ คืนนั้นผมยึดโต๊ะด้านหน้าสุดที่หันออกไปทางถนนใหญ่เช่นเคยและนั่งจิบกาแฟเย็นพลางมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ผมใช้เวลาถึงสิบนาทีสำหรับกาแฟแก้วนั้น
เนิน D ที่คาเฟ่ฮะกุไบเค็นตั้งอยู่นั้น แต่เดิมเคยมีชื่อเสียงจากการเป็นย่านตุ๊กตาดอกเบญจมาศ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาพื้นที่เขตเมือง ถนนแคบ ๆ ที่ตัดขึ้นไปบนเนินได้ถูกขยายให้กว้างขึ้น ตอนที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นั้นเป็นช่วงที่เพิ่งขยายถนนได้ไม่นาน สองฝากถนนใหญ่จึงมีที่ว่างอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างดูเปลี่ยวไม่เหมือนกับปัจจุบันนี้สักนิดเดียว ฟากตรงข้ามกับ ฮะกุไบเค็นมีร้านหนังสือเก่าตั้งอยู่แทบจะเรียกได้ว่าประจันหน้ากัน ความจริงผมนั่งมองไปที่ร้านนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว ร้านหนังสือเก่าที่ตัวร้านเก่าซอมซ่ออยู่ห่างไกลกลางใจเมืองแห่งนี้ไม่ใช่ทัศนียภาพที่ชวนมอง แต่มันมีอะไรอย่างหนึ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษ นั่นก็คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้รู้จักกับผู้ชายท่าทางแปลกคนหนึ่งที่ฮะกุไบเค็น เขาชื่ออะเกะชิ โคะโงะโร เมื่อได้พูดคุยกันก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้แปลกและฉลาดด้วย ผมชอบตรงที่เขาเป็นแฟนนิยายนักสืบ วันก่อนชายผู้นี้บอกผมว่าผู้หญิงที่เขารู้จักดีนั้นตอนนี้ไปเป็นเมียร้านขายหนังสือเก่าร้านนี้ ผมเคยไปซื้อหนังสือที่นั่นสองสามครั้ง เท่าที่จำได้เมียเจ้าของร้านเป็นหญิงงามมีเสน่ห์อะไรสักอย่างที่ดึงดูดใจชาย ตอนกลางคืนหล่อนจะทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าร้านเสมอ และคืนนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น ผมมองเข้าไปในร้านซึ่งความจริงเป็นแค่ซอกเล็ก ๆ ช่องประตูกว้างราว 5 เมตรเท่านั้นแต่ก็ไม่เห็นใครสักคน ผมจ้องมองไปอย่างไม่ละสายตาคิดว่าอย่างไรเสียเธอก็ต้องออกมา
แต่เมียเจ้าของร้านก็ไม่ออกมาจนแล้วจนรอด ผมชักขี้เกียจรอและกำลังจะเบนสายตาไปที่ร้านนาฬิกาที่อยู่ข้าง ๆ นั้นเอง ผมเหลือบไปเห็นช่องลูกกรงบนบานประตูเลื่อนที่กั้นระหว่างร้านกับห้องข้างในปิดสนิทอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ...ประตูเลื่อนแบบที่ ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า “มุโซ” นี้ไม่ได้บุกระดาษทั้งบาน แต่เว้นส่วนกลางบานไว้เป็นช่องลับแลติดบานเลื่อนตีลูกกรงไม้ถี่ ๆ 2 ชั้นสำหรับเลื่อนเปิดปิด ช่องลับแลนั้นแหละที่ปิดอยู่...มีอะไรแปลก ๆ อย่างนี้ด้วยหรือ ร้านหนังสือเก่าเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกขโมย คนเฝ้าร้านนั้นถึงจะไม่ออกมานั่งหน้าร้านแต่ก็เฝ้าจับตาดูผ่านรอยแยกของบานประตูหรือช่องหน้าต่างที่ว่าออกมาจากห้องข้างใน แต่ตลกไหมที่ช่องลับแลนั้นตอนนี้ปิดสนิท ถ้าเป็นหน้าหนาวก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เพิ่งย่างเข้าเดือนกันยายนและคืนนี้ก็ร้อนอบอ้าวด้วย แค่ปิดประตูบานเลื่อนสนิทอย่างเดียวก็แปลกพออยู่แล้ว ผมคิดโน่นคิดนี่แล้วชักสงสัยว่าจะจะเกิดอะไรขึ้นที่ห้องด้านในของร้านหนังสือ จึงไม่อาจละสายตาออกมาได้
เมื่อพูดถึงเมียร้านหนังสือเก่า ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินพวกสาวเสิร์ฟที่คาเฟ่นี้ซุบซิบกันแปลก ๆ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องเล่าลือกันมาปากต่อปากจากพวกเมีย ๆ และสาว ๆ ที่ล้อมวงนินทากันที่โรงอาบน้ำสาธารณะว่า “เมียร้านหนังสือเก่าสวยจะตายใช่ไหม แต่พอเปลือยกายอาบน้ำนะเธอ ไม่น่าเชื่อเลย เนื้อตัวมีรอยแผลเต็มไปหมด ต้องเป็นรอยถูกทุบตี ถูกข่วน แน่เลย ผัวเมียคู่นี้ดูเขาก็อยู่กินกันดีไม่เห็นมีปัญหาอะไร ตลกไหมล่ะพวกเธอ” อีกนางหนึ่งได้ยินดังนั้นก็สำทับทันที “ใช่ ๆ เมียร้านยะบุโซะบะ อะซะฮิยะ ที่อยู่ข้าง ๆ กันนั่นก็มีรอยแผลแบบนั้นเหมือนกัน ชั้นว่าต้องถูกใครทุบตีมาแน่ ๆ “...ครับ ข่าวลือเหล่านี้จะมีหมายความอย่างไรนั้น ผมไม่ได้สนใจลึกซึ้งอะไรนักคิดว่ามันก็คงเป็นฝีมือของพวกผัวนางนั่นแหละ แต่...แต่ผู้อ่านที่รัก มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซีครับ ผมมารู้ในภายหลังว่าข่าวซุบซิบที่คิดว่าไม่สำหลักสำคัญนั้น เกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องที่ผมจะเล่าทั้งหมดนี้เลยทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงนั่งจ้องไปที่จุดเดียวนั้นต่อไปราวสามสิบนาที เหมือนกับมีพรายกระซิบเตือนหรือว่าอะไรที่คอยสะกิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวินาทีที่ผมละสายตาจากจุดนั้นผมเลยไม่มองไปทางอื่น ขณะที่ผมกำลังอยู่ในอาการเช่นนั้น อะเกะชิ โคะโงะโร ชายที่ผมเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ก็เดินส่ายไหล่สไตล์ไม่เหมือนใครผ่านหน้าต่างที่ผมนั่งอยู่ เขาอยู่ในชุดกิโมโนแบบลำลองลายขีดเป็นเส้นหยาบ ๆ เช่นเคย พอเห็นผมเขายกมือทักทายแล้วเดินเข้ามาในร้าน สั่งกาแฟเย็นแล้วนั่งลงข้างผมหันหน้าออกไปทางหน้าต่างร้านเหมือนกัน พอเห็นผมจ้องมองไปที่จุดเดียวเขาก็มองตามไปที่ร้านหนังสือเก่าฝั่งตรงข้ามเช่นกัน และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือเขาแสดงความสนใจจริงจังจนไม่ละสายตาจากจุดที่จับจ้องอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
เราจ้องมองไปที่จุดเดียวกันไม่วางตาพลางคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่มีสาระอะไรเป็นพิเศษ ผมลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเราคุยเรื่องอะไรกันบ้าง ทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมจะเล่าด้วยก็เลยขอละเอาไว้ไม่พูดถึงในรายละเอียด แต่แน่ ๆ คือต้องเกี่ยวกับอาชญากรรมและการสืบสวน ลองฟังตัวอย่างดูก็ได้ อะเกชิบอกว่า “คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหม ที่จะมีคดีอาชญากรรมที่หาตัวคนร้ายไม่ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น ผมว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียว อย่างเช่นเรื่อง “ระหว่างทาง” ของทะนิซะกิ จุนอิชิโร ไงครับ อาชญากรรมแบบนั้นไม่มีทางหาคนร้ายพบแน่ นักประพันธ์ใช้พลังจินตนาการผูกโครงเรื่องได้แยบยลมาก โดยในที่สุดก็เขียนให้นักสืบหาตัวคนร้ายได้” ผมว่า “ไม่ครับ ผมไม่คิดอย่างนั้น ไม่มีอาชญากรรมคดีไหนที่นักสืบจะสืบไม่ได้หรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงหรือว่าในเชิงทฤษฎี เพียงแต่ว่าตำรวจในปัจจุบันนี้ไม่มีนักสืบผู้ยิ่งใหญ่อย่างในเรื่อง “ระหว่างทาง” เท่านั้นเอง” การสนทนาของเราก็ประมาณนี้ แต่แล้ว ณ วินาทีหนึ่ง เราสองคนหยุดพูดราวกับนัดกันไว้ เพราะเกิดเหตุการณ์ที่น่าสนใจขึ้นที่ร้านหนังสือเก่าซึ่งเราจ้องมองกันอยู่ไม่คลาดสายตาขณะคุยกัน
“คุณก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม” ผมกระซิบ เขาตอบทันที
“โจรขโมยหนังสือละมัง แต่แปลกนะ ตั้งแต่ผมเข้ามาที่นี่ คนนี้เป็นคนที่ 4 แล้ว”
“คุณเพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึง 30 นาทีเลย แล้วตั้ง 4 คนใน 30 นาทีนี่ตลกไปหน่อยนะ ผมเฝ้าดูร้านนี้ตั้งแต่ก่อนคุณมาอีก ราวชั่วโมงหนึ่งได้ ตรงนั้นมีประตูเลื่อนใช่ไหม ผมเห็นบานเลื่อนลูกกรงบนประตูนั่นปิดอยู่ก็เลยเฝ้าดูมาตลอด”
“คนในบ้านเขาออกไปข้างนอกกันละมัง”
“แต่ประตูเลื่อนนั่นไม่ได้เปิดออกสักครั้งเดียวเลยนะ หรือว่าจะออกทางประตูหลัง...แต่ไม่มีคนอยู่ตั้ง 30 นาทีนี่แปลกจริง ๆ นะ คุณว่าเราไปดูกันดีไหม”
“ก็ดี ถึงในบ้านจะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่อาจเกิดอะไรขึ้นข้างนอกก็เป็นได้”
ผมคิดอย่างสนุกว่านั่นอาจเป็นคดีอาชญากรรมขณะเดินออกจากคาเฟ่ คิดว่าอะเกะชิก็คงคิดอย่างเดียวกันเพราะดูเหมือนจะตื่นเต้นไม่น้อย
ร้านหนังสือเก่าแห่งนี้มีลักษณะอย่างที่เห็นกันทั่วไป คือพื้นร้านเป็นดินอัดแน่น ผนังห้องด้านซ้ายด้านขวาและด้านในที่ตรงกับประตูทางเข้าติดตั้งชั้นหนังสือสูงถึงเพดาน ด้านล่างของชั้นมีแท่นสำหรับเรียงหนังสือ กลางห้องมีแท่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่เหมือนเกาะกลางทะเลสำหรับไว้จัดเรียงหรือตั้งซ้อนหนังสือ ทางขวามือของชั้นหนังสือด้านในมีช่องแคบ ๆ แค่ประมาณ 3 ฟุตเป็นทางเข้าไปยังห้องด้านในซึ่งกั้นด้วยประตูเลื่อนบานหนึ่งที่ผมพูดถึงตั้งแต่แรก ตามปกติเจ้าของร้านหรือเมียของเขาจะนั่งอยู่บนชานแคบ ๆ บุด้วยเสื่อตะตะมิประมาณครึ่งเสื่อหน้าบานประตูเลื่อนนั้น ผมกับอะเกะชิเข้าไปจนถึงชานเสื่อตะตะมิแล้วตะโกนเรียกแต่ไม่มีคำตอบ ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่จริง ๆ ผมเลื่อนประตูออกนิดหนึ่้งแล้วมองเข้าไป ภายในห้องปิดไฟมืดแต่ก็ยังพอเห็นเหมือนมีคนล้มอยู่ตรงมุมห้อง ผมสงสัยจึงตะโกนเรียกเข้าไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงขานตอบ “ไม่เป็นไร เราขึ้นไปดูกันเถอะ”
เราสองคนเดินกึง ๆ เข้าไปในห้องด้านในของร้าน อะเกะชิเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ ทันทีที่ไฟสว่างขึ้นเราก็อุทานออกมาพร้อมกัน เมื่อเห็นร่างไร้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ตรงมุมห้อง
“เมียเจ้าของร้านนี่” ผมพูดออกมาได้ในที่สุด “ดูเหมือนโดนบีบคอตายหรือไม่ใช่”
อะเกะชิเข้าไปข้าง ๆ และพิจารณาศพ “ไม่รอดแล้วละ ต้องแจ้งตำรวจด่วนเลย ผมจะไปที่โทรศัพท์อัตโนมัติเอง คุณเฝ้าไว้นะ เราอย่าเพิ่งบอกชาวบ้านละแวกนี้ดีกว่า เดี๋ยวหลักฐานต่าง ๆ จะถูกทำลายหมด”
อะเกะชิบอกเหมือนสั่ง ก่อนกระโจนออกไปจากร้านมุ่งไปยังโทรศัพท์อัตโนมัติที่อยู่ห่างออกไป 50 เมตร
ตามปกติถ้าเป็นการถกเถียงเรื่องคดีอาชญากรรมหรือการสืบสวน ผมจะต่อปากต่อคำอย่างไม่เป็นรองใครเหมือนกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จริงสด ๆ ร้อน ๆ จึงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองอย่างสำรวจตรวจตราไปทั่วห้อง
ห้องนี้เป็นห้องเดี่ยวขนาด 6 เสื่อตะตะมิ ด้านในทางขวามือเป็นระเบียงแคบ ๆ ไกลออกไปเป็นสวนกว้างประมาณ 6 ตารางเมตรและห้องสุขา ริมสวนทางด้านโน้นเป็นรั้วไม้กระดาน...นี่ยังเป็นหน้าร้อน ห้องจึงเปิดกว้างมองออกไปเห็นได้ทั่ว...ทางด้านซ้ายเป็นประตูเปิดออกไปยังห้องปูไม้กระดานขนาดประมาณสองเสื่อตะตะมิ มองเห็นที่อาบน้ำแคบ ๆ อยู่ติดกับทางออกด้านหลัง ประตูเลื่อนสูงแค่เอวที่อยู่ตรงนั้นปิดอยู่ ขวามือมีบานประตูเลื่อน 4 บานปิดอยู่เช่นกัน ข้างในเป็นบันไดขึ้นไปชั้นบนและที่เก็บของ นั่นเป็นแปลนมาตรฐานของห้องแถวถูก ๆ ที่เห็นอยู่ทั่วไป
ศพนอนอยู่ชิดผนังห้องด้านซ้าย ศีรษะเอียงพับไปทางด้านตัวร้าน ผมพยายามไม่เข้าไปข้างศพเพราะต้องการรักษาพื้นที่ให้อยู่ในสภาพเมื่อเกิดเหตุ และอีกอย่างหนึ่งเพราะรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ แต่ความที่ห้องแคบ ถึงคิดจะไม่มองแต่ตาก็แลไปจนได้ หญิงผู้ตายอยู่ในชุดกิโมโนแบบลำลองลายดอกล้มลงตายในท่าเกือบจะเรียบได้ว่านอนหงาย ชายกิโมโนถลกเปิดขึ้นมาถึงหัวเข่าเผยให้เห็นขาอ่อน แต่ไม่มีร่องรอยว่ามีการขัดขืนแต่อย่างใด รอยสีม่วงที่คอดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจนักดูเหมือนเป็นรอยถูกบีบเคล้น
ถนนใหญ่ด้านหน้าร้านมีคนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย ส่งเสียงพูดคุยกัน ดังขรมระคนกับเสียงลากเกี๊ยทรงสูงดังกราก ๆ เสียงคนเมาแผดเสียงร้องเพลงยอดนิยมดังก้องเหมือนตะโกน ดูเป็นโลกที่สันติสุขเหลือเกิน ขณะที่ในบ้านซึ่งมีประดูเลื่อนกั้นเอาไว้เพียงแผ่นเดียว ผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆ่าอย่างน่าอนาถ นี่กำลังประชดกันใช่ไหม ผมรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาอย่างประหลาดจนต้องนิ่งขึงไป
“เขาบอกจะมากเดี๋ยวนี้เลย” อะเกะชิวิ่งหอบกลับมา
“อ้อ เหรอ” ผมตอบราวกับการเปิดปากพูดเป็นหน้าที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง เราสองคนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรสักคำอยู่เป็นนาน
ไม่ช้าตำรวจในเครื่องแบบคนหนึ่งก็พาชายในชุดสากลก็มาถึง ผมมารู้ในภายหลังว่าคนในเครื่องแบบเป็นเจ้าหน้าที่ ฝ่ายกฎหมายของสถานีตำรวจ K ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเห็นได้จากหน้าตาท่าทางและสิ่งของที่ถือติดมือว่าเป็นแพทย์ตำรวจ เราช่วยกันเล่าเรื่องย่อ ๆ ของเหตุที่มาพบศพตั้งต้นให้เจ้าหน้าที่นิติกรรมฟัง เสร็จแล้วผมเสริมขึ้นว่า
“ตอนที่นายอะเกะชิคนนี้เข้ามาในคาเฟ่ บังเอิญผมดูนาฬิกาเลยรู้ว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งพอดี จึงคิดว่าบานประตูลูกกรงนั่นน่าจะถูกปิดราว ๆ สองทุ่มครับ ดังนั้นจึงเห็นชัดว่าอย่างน้อยประมาณ 2 ทุ่ม ต้องมีใครก็ตามที่เป็นคนเป็น ๆ คนหนึ่งอยู่ในห้องนี้ครับ”
ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายฟังคำให้การของเราและจดลงในสมุดบันทึกอยู่นั้น แพทย์ตำรวจชันสูตรศพเสร็จไปแล้วขั้นหนึ่งและรอให้เราพูดจบ พอได้จังหวะก็พูดขึ้นว่า
“ถูกบีบคอตายนะ ดูนี่ซิ ตรงที่เป็นสีม่วงนี่คือรอยนิ้วมือ และที่มีเลือดออกนี่ก็เพราะโดนเล็บจิก เมื่อดูจากรอยนิ้วโป้งที่ด้านขวาของคอจะเห็นได้ว่าถูกบีบด้วยมือขวา ครับและเธอน่าจะสิ้นใจไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่มีทางแก้ไขให้ฟื้นขึ้นมาได้แน่นอน”
“ถูกบีบกดลงมาจากด้านบนนะครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเอ่ยขึ้นหลังจากคิดแล้วคิดอีก “อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่าไม่มีการต่อสู้ขัดขืน...นั่นคงเป็นเพราะถูกจู่โจมอย่างฉับพลันทันที ด้วยกำลังแรงขั้นโหด”
แล้วหันมาถามเราว่าเจ้าของบ้านนี้อยู่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าเราสองคนไม่มีทางรู้ได้เลย อะเกะชิแก้ให้โดยเรียกเจ้าของร้านนาฬิกาที่อยู่ติดกันมาพบ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายกับเจ้าของร้านนาฬิกาถามตอบกันประมาณนี้
“เจ้าของบ้านนี้ไปไหนรู้ไหม”
“เจ้าของบ้านนี้ ไปออกร้านแผงลอยขายหนังสือเก่าทุกคืน ปกติถ้าไม่ถึงราวเที่ยงคืนก็ไม่กลับมาหรอกขอรับ”
“ไปออกร้านแผงลอยที่ไหนรึ”
“ที่ไปบ่อยดูเหมือนจะที่ฮิโระโคจิย่านอุเอะโนะนะขอรับ แต่คืนนี้จะไปออกร้านที่ไหนกระผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะขอรับ”
“ก่อนหน้านี้สักราวชั่วโมงนึง นายไม่ได้ยินเสียงอะไรบ้างหรือไง”
“เสียงอะไรหรือขอรับ"
“มันแน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือนาย ก็เสียงผู้หญิงกรีดร้องตอนถูกฆ่า เสียงต่อสู้....”
“อ้อ...ไม่ได้ยินอะไรเลยขอรับ”
ขณะที่นั่นนี่กันอยู่นั้น คนบ้านใกล้เรือนเคียงได้ยินข่าวก็พากันมา ชาวมุงที่เดินผ่านไปมาก็หยุดดู จนตอนนี้หน้าร้านหนังสือเก่าเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ในจำนวนนั้นมีเมียเจ้าของร้านขายถุงเท้ากิโมโนบ้านติดกันมาช่วยให้กำลังใจเจ้าของร้านนาฬิกา และให้การว่านางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเหมือนกัน
ระหว่างนั้นคนบ้านใกล้เรือนเคียงประชุมตกลงกันให้ส่งคนไปที่แผงลอยของเจ้าของร้านหนังสือเก่า
มีเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่ด้านหน้าแล้วคนหลายคนก็กรูกันเข้าไปในร้าน คนกลุ่มนี้เป็นพวกเจ้าหน้าที่ศาลซึ่งรีบรุดมายังที่เกิดเหตุหลังได้รับแจ้งจากตำรวจ กับผู้กำกับการสถานีตำรวจ K ที่บังเอิญมาถึงพร้อมกัน และสารวัตรโคะบะยะชิผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วว่าเป็นนักสืบอัจฉริยะแห่งยุคสมัย...แน่นอนว่าผมมารู้เรื่องอะไร ๆ เกี่ยวกับเขาในภายหลังจากเพื่อนที่เป็นนักข่าวสายกฎหมายที่รู้จักสารวัตรโคะบะยะชิผู้รับผิดชอบการสืบสวนคดีนี้เป็นอย่างดี...เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายที่มาถึงที่เกิดเหตุก่อนชี้แจงขั้นตอนของเหตุการณ์ต่อหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ที่มาใหม่ และเราสองคนก็ต้องให้ปากคำซ้ำอีกครั้ง
“ปิดประตูด้านหน้าเถอะ”
อยู่ ๆ ชายในชุดเสื้อนอกสีดำกางเกงขาวเหมือนพนักงานบริษัทระดับล่างคนหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังแล้วตรงไปปิดประตูร้าน เขาคือสารวัตรโคะบะยะชินั่นเอง เมื่อปิดกั้นชาวมุงให้พ้นหูพ้นตาแล้วสารวัตรก็เริ่มลงมือสืบสวนด้วยวิธีของเขาซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการโชว์เดี่ยว เขาเคลื่อนไหวไปมาตั้งแต่ต้นจนจบคนเดียวทำอย่างกับว่าไม่มีเจ้าหน้าที่อัยการและผู้กำกับการสถานีตำรวจอยู่ที่นั่น และคนอื่น ๆ เป็นเหมือนคนที่พากันมาชมการสืบสวนด้วยไหวพริบอันเฉียบไวของเขาเท่านั้น ขั้นแรกเขาเริ่มด้วยการชันสูตรศพโดยจับบริเวณรอบ ๆ คอผู้ตายด้วยความเอาใจใส่ใจเป็นพิเศษ เขาหันไปมองเจ้าหน้าที่อัยการแล้วบอกว่า
“รอยนิ้วนี่ไม่มีลักษณะพิเศษอะไร คือไม่ได้บ่งชี้อะไรมากไปกว่าการมีคนธรรมดาคนหนึ่งใช้มือขวากดลงไป”
ขั้นต่อไปเขาบอกให้ถอดเสื้อผ้าของศพออกทีหนึ่งก่อนเพื่อจะได้ตรวจดูร่างกายในสภาพเปลือยเปล่า ซึ่งเราที่จัดอยู่ในพวกผู้สังเกตการณ์ต้องถูกต้อนออกไปอยู่ในร้าน ราวกับจะมีการประชุมลับกัน ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าระหว่างนั้นมีการค้นพบอะไรบ้าง แต่คิดว่าพวกนั้นต้องพบรอยแผลสดที่มีอยู่ทั่วตัวของผู้ตายแน่นอน รอยแผลที่ผมได้ยินพวกหญิงเสิร์ฟในคาเฟ่ซุบซิบกันนั่นแหละ
ไม่นานการประชุมลับก็สลายตัว เราสองคนขอตัวไม่เข้าไปในห้องด้านใน แต่เดินไปที่ชานบุเสื่อตะตะมิตรงแนวเชื่อมต่อของห้องด้านในและตัวร้านแล้วชะโงกเข้าไปดูภายใน โชคยังดีที่เจ้าหน้าที่ไม่ตะเพิดเราออกไปและยอมให้เราอยู่ในที่เกิดเหตุจนจบ เหตุหนึ่งเพราะเราเป็นคนพบเหตุการณ์ และหลังจากนั้นยังต้องพิมพ์ลายนิ้วมือของอะเกะชิไว้เป็นหลักฐานด้วย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเราถูกกันตัวเอาไว้เอาไว้ต่างหาก สารวัตรโคะบะยะชิไม่ได้ปฏิบัติงานอยู่ภายในห้องด้านในเท่านั้น เขาเคลื่อนไหวในวงกว้างมากทั้งภายในบ้านและบริเวณรอบนอก เราสองคนที่ต้องอยู่นิ่ง ๆ กับที่จะล่วงรู้ความคืบหน้าของการสืบสวนได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะความประจวบเหมาะที่ว่าเจ้าหน้าที่อัยการซึ่งทำหน้าที่คุมพื้นที่เกิดเหตุเอาไว้นั้นไปไหนไม่ได้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้นทุกครั้งที่สารวัตรนักสืบเข้ามาหรือออกกไปเขาจะต้องรายงานผลการสืบสวนให้เจ้าหน้าที่อัยการทุกครั้งไป เพื่อที่จะได้บันทึกรายงานนั้นไว้เป็นข้อมูลสำหรับสรุปคำฟ้องคดีต่อไป แล้วมีหรือว่ารายงานเหล่านั้นจะรอดหูเราไปได้แม้แต่ประเด็นเดียว
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ตอนที่ 1
คืนนั้นอากาศร้อนชื้นอยู่ในช่วงต้นเดือนกันยายน ผมนั่งจิบกาแฟกาแฟเย็นอยู่ที่ฮะกุไบเค็น คาเฟ่เจ้าประจำริมถนนใหญ่ครึ่งทางขึ้นเนิน D ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง กิจวัตรประจำวันคือนอนอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องเช่า พอเบื่อก็ออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยและแวะกินกาแฟซึ่งไม่ทำให้สิ้นเปลืองสักเท่าไร คาเฟ่ฮะกุไบเค็นนอกจากจะอยู่ข้างบ้านที่ผมเช่าห้องพักอยู่แล้ว ยังตั้งอยู่ตรงจุดที่ไม่ว่าจะเดินเล่นไปทางไหนเป็นต้องผ่านทุกครั้งไป ดังนั้นผมจึงเข้าออกจนเป็นเจ้าประจำ ผมนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งคือพอได้เข้าคาเฟ่ละก็ก้นงอกรากเลยทีเดียว ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยเจริญอาหารอยู่แล้วประกอบกับไม่ค่อยมีสตางค์ด้วย ก็เลยไม่สั่งอาหารฝรั่งที่เขาเสิร์ฟเป็นจาน ได้แต่นั่งจิบกาแฟถูก ๆ เติมแล้วเติมอีกสองสามครั้งนั่งนิ่ง ๆ อยู่ได้เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง นั่นไม่ใช่ว่าผมไปติดใจสาวเสิร์ฟหรือสนุกกับการพูดยั่วเย้าหยอกเล่นแต่อย่างใด แต่เพราะที่นั่นหรูและสบายกว่าห้องเช่าเป็นไหน ๆ คืนนั้นผมยึดโต๊ะด้านหน้าสุดที่หันออกไปทางถนนใหญ่เช่นเคยและนั่งจิบกาแฟเย็นพลางมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ผมใช้เวลาถึงสิบนาทีสำหรับกาแฟแก้วนั้น
เนิน D ที่คาเฟ่ฮะกุไบเค็นตั้งอยู่นั้น แต่เดิมเคยมีชื่อเสียงจากการเป็นย่านตุ๊กตาดอกเบญจมาศ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาพื้นที่เขตเมือง ถนนแคบ ๆ ที่ตัดขึ้นไปบนเนินได้ถูกขยายให้กว้างขึ้น ตอนที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นั้นเป็นช่วงที่เพิ่งขยายถนนได้ไม่นาน สองฝากถนนใหญ่จึงมีที่ว่างอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างดูเปลี่ยวไม่เหมือนกับปัจจุบันนี้สักนิดเดียว ฟากตรงข้ามกับ ฮะกุไบเค็นมีร้านหนังสือเก่าตั้งอยู่แทบจะเรียกได้ว่าประจันหน้ากัน ความจริงผมนั่งมองไปที่ร้านนั้นมาตั้งแต่ต้นแล้ว ร้านหนังสือเก่าที่ตัวร้านเก่าซอมซ่ออยู่ห่างไกลกลางใจเมืองแห่งนี้ไม่ใช่ทัศนียภาพที่ชวนมอง แต่มันมีอะไรอย่างหนึ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษ นั่นก็คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้รู้จักกับผู้ชายท่าทางแปลกคนหนึ่งที่ฮะกุไบเค็น เขาชื่ออะเกะชิ โคะโงะโร เมื่อได้พูดคุยกันก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้แปลกและฉลาดด้วย ผมชอบตรงที่เขาเป็นแฟนนิยายนักสืบ วันก่อนชายผู้นี้บอกผมว่าผู้หญิงที่เขารู้จักดีนั้นตอนนี้ไปเป็นเมียร้านขายหนังสือเก่าร้านนี้ ผมเคยไปซื้อหนังสือที่นั่นสองสามครั้ง เท่าที่จำได้เมียเจ้าของร้านเป็นหญิงงามมีเสน่ห์อะไรสักอย่างที่ดึงดูดใจชาย ตอนกลางคืนหล่อนจะทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าร้านเสมอ และคืนนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น ผมมองเข้าไปในร้านซึ่งความจริงเป็นแค่ซอกเล็ก ๆ ช่องประตูกว้างราว 5 เมตรเท่านั้นแต่ก็ไม่เห็นใครสักคน ผมจ้องมองไปอย่างไม่ละสายตาคิดว่าอย่างไรเสียเธอก็ต้องออกมา
แต่เมียเจ้าของร้านก็ไม่ออกมาจนแล้วจนรอด ผมชักขี้เกียจรอและกำลังจะเบนสายตาไปที่ร้านนาฬิกาที่อยู่ข้าง ๆ นั้นเอง ผมเหลือบไปเห็นช่องลูกกรงบนบานประตูเลื่อนที่กั้นระหว่างร้านกับห้องข้างในปิดสนิทอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ...ประตูเลื่อนแบบที่ ผู้เชี่ยวชาญเรียกว่า “มุโซ” นี้ไม่ได้บุกระดาษทั้งบาน แต่เว้นส่วนกลางบานไว้เป็นช่องลับแลติดบานเลื่อนตีลูกกรงไม้ถี่ ๆ 2 ชั้นสำหรับเลื่อนเปิดปิด ช่องลับแลนั้นแหละที่ปิดอยู่...มีอะไรแปลก ๆ อย่างนี้ด้วยหรือ ร้านหนังสือเก่าเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการถูกขโมย คนเฝ้าร้านนั้นถึงจะไม่ออกมานั่งหน้าร้านแต่ก็เฝ้าจับตาดูผ่านรอยแยกของบานประตูหรือช่องหน้าต่างที่ว่าออกมาจากห้องข้างใน แต่ตลกไหมที่ช่องลับแลนั้นตอนนี้ปิดสนิท ถ้าเป็นหน้าหนาวก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เพิ่งย่างเข้าเดือนกันยายนและคืนนี้ก็ร้อนอบอ้าวด้วย แค่ปิดประตูบานเลื่อนสนิทอย่างเดียวก็แปลกพออยู่แล้ว ผมคิดโน่นคิดนี่แล้วชักสงสัยว่าจะจะเกิดอะไรขึ้นที่ห้องด้านในของร้านหนังสือ จึงไม่อาจละสายตาออกมาได้
เมื่อพูดถึงเมียร้านหนังสือเก่า ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินพวกสาวเสิร์ฟที่คาเฟ่นี้ซุบซิบกันแปลก ๆ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องเล่าลือกันมาปากต่อปากจากพวกเมีย ๆ และสาว ๆ ที่ล้อมวงนินทากันที่โรงอาบน้ำสาธารณะว่า “เมียร้านหนังสือเก่าสวยจะตายใช่ไหม แต่พอเปลือยกายอาบน้ำนะเธอ ไม่น่าเชื่อเลย เนื้อตัวมีรอยแผลเต็มไปหมด ต้องเป็นรอยถูกทุบตี ถูกข่วน แน่เลย ผัวเมียคู่นี้ดูเขาก็อยู่กินกันดีไม่เห็นมีปัญหาอะไร ตลกไหมล่ะพวกเธอ” อีกนางหนึ่งได้ยินดังนั้นก็สำทับทันที “ใช่ ๆ เมียร้านยะบุโซะบะ อะซะฮิยะ ที่อยู่ข้าง ๆ กันนั่นก็มีรอยแผลแบบนั้นเหมือนกัน ชั้นว่าต้องถูกใครทุบตีมาแน่ ๆ “...ครับ ข่าวลือเหล่านี้จะมีหมายความอย่างไรนั้น ผมไม่ได้สนใจลึกซึ้งอะไรนักคิดว่ามันก็คงเป็นฝีมือของพวกผัวนางนั่นแหละ แต่...แต่ผู้อ่านที่รัก มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซีครับ ผมมารู้ในภายหลังว่าข่าวซุบซิบที่คิดว่าไม่สำหลักสำคัญนั้น เกี่ยวข้องอย่างมากกับเรื่องที่ผมจะเล่าทั้งหมดนี้เลยทีเดียว
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงนั่งจ้องไปที่จุดเดียวนั้นต่อไปราวสามสิบนาที เหมือนกับมีพรายกระซิบเตือนหรือว่าอะไรที่คอยสะกิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในวินาทีที่ผมละสายตาจากจุดนั้นผมเลยไม่มองไปทางอื่น ขณะที่ผมกำลังอยู่ในอาการเช่นนั้น อะเกะชิ โคะโงะโร ชายที่ผมเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ก็เดินส่ายไหล่สไตล์ไม่เหมือนใครผ่านหน้าต่างที่ผมนั่งอยู่ เขาอยู่ในชุดกิโมโนแบบลำลองลายขีดเป็นเส้นหยาบ ๆ เช่นเคย พอเห็นผมเขายกมือทักทายแล้วเดินเข้ามาในร้าน สั่งกาแฟเย็นแล้วนั่งลงข้างผมหันหน้าออกไปทางหน้าต่างร้านเหมือนกัน พอเห็นผมจ้องมองไปที่จุดเดียวเขาก็มองตามไปที่ร้านหนังสือเก่าฝั่งตรงข้ามเช่นกัน และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือเขาแสดงความสนใจจริงจังจนไม่ละสายตาจากจุดที่จับจ้องอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
เราจ้องมองไปที่จุดเดียวกันไม่วางตาพลางคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่มีสาระอะไรเป็นพิเศษ ผมลืมไปแล้วว่าตอนนั้นเราคุยเรื่องอะไรกันบ้าง ทั้งยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมจะเล่าด้วยก็เลยขอละเอาไว้ไม่พูดถึงในรายละเอียด แต่แน่ ๆ คือต้องเกี่ยวกับอาชญากรรมและการสืบสวน ลองฟังตัวอย่างดูก็ได้ อะเกชิบอกว่า “คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหม ที่จะมีคดีอาชญากรรมที่หาตัวคนร้ายไม่ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น ผมว่ามีความเป็นไปได้สูงทีเดียว อย่างเช่นเรื่อง “ระหว่างทาง” ของทะนิซะกิ จุนอิชิโร ไงครับ อาชญากรรมแบบนั้นไม่มีทางหาคนร้ายพบแน่ นักประพันธ์ใช้พลังจินตนาการผูกโครงเรื่องได้แยบยลมาก โดยในที่สุดก็เขียนให้นักสืบหาตัวคนร้ายได้” ผมว่า “ไม่ครับ ผมไม่คิดอย่างนั้น ไม่มีอาชญากรรมคดีไหนที่นักสืบจะสืบไม่ได้หรอกครับ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงหรือว่าในเชิงทฤษฎี เพียงแต่ว่าตำรวจในปัจจุบันนี้ไม่มีนักสืบผู้ยิ่งใหญ่อย่างในเรื่อง “ระหว่างทาง” เท่านั้นเอง” การสนทนาของเราก็ประมาณนี้ แต่แล้ว ณ วินาทีหนึ่ง เราสองคนหยุดพูดราวกับนัดกันไว้ เพราะเกิดเหตุการณ์ที่น่าสนใจขึ้นที่ร้านหนังสือเก่าซึ่งเราจ้องมองกันอยู่ไม่คลาดสายตาขณะคุยกัน
“คุณก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม” ผมกระซิบ เขาตอบทันที
“โจรขโมยหนังสือละมัง แต่แปลกนะ ตั้งแต่ผมเข้ามาที่นี่ คนนี้เป็นคนที่ 4 แล้ว”
“คุณเพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึง 30 นาทีเลย แล้วตั้ง 4 คนใน 30 นาทีนี่ตลกไปหน่อยนะ ผมเฝ้าดูร้านนี้ตั้งแต่ก่อนคุณมาอีก ราวชั่วโมงหนึ่งได้ ตรงนั้นมีประตูเลื่อนใช่ไหม ผมเห็นบานเลื่อนลูกกรงบนประตูนั่นปิดอยู่ก็เลยเฝ้าดูมาตลอด”
“คนในบ้านเขาออกไปข้างนอกกันละมัง”
“แต่ประตูเลื่อนนั่นไม่ได้เปิดออกสักครั้งเดียวเลยนะ หรือว่าจะออกทางประตูหลัง...แต่ไม่มีคนอยู่ตั้ง 30 นาทีนี่แปลกจริง ๆ นะ คุณว่าเราไปดูกันดีไหม”
“ก็ดี ถึงในบ้านจะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่อาจเกิดอะไรขึ้นข้างนอกก็เป็นได้”
ผมคิดอย่างสนุกว่านั่นอาจเป็นคดีอาชญากรรมขณะเดินออกจากคาเฟ่ คิดว่าอะเกะชิก็คงคิดอย่างเดียวกันเพราะดูเหมือนจะตื่นเต้นไม่น้อย
ร้านหนังสือเก่าแห่งนี้มีลักษณะอย่างที่เห็นกันทั่วไป คือพื้นร้านเป็นดินอัดแน่น ผนังห้องด้านซ้ายด้านขวาและด้านในที่ตรงกับประตูทางเข้าติดตั้งชั้นหนังสือสูงถึงเพดาน ด้านล่างของชั้นมีแท่นสำหรับเรียงหนังสือ กลางห้องมีแท่นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าตั้งอยู่เหมือนเกาะกลางทะเลสำหรับไว้จัดเรียงหรือตั้งซ้อนหนังสือ ทางขวามือของชั้นหนังสือด้านในมีช่องแคบ ๆ แค่ประมาณ 3 ฟุตเป็นทางเข้าไปยังห้องด้านในซึ่งกั้นด้วยประตูเลื่อนบานหนึ่งที่ผมพูดถึงตั้งแต่แรก ตามปกติเจ้าของร้านหรือเมียของเขาจะนั่งอยู่บนชานแคบ ๆ บุด้วยเสื่อตะตะมิประมาณครึ่งเสื่อหน้าบานประตูเลื่อนนั้น ผมกับอะเกะชิเข้าไปจนถึงชานเสื่อตะตะมิแล้วตะโกนเรียกแต่ไม่มีคำตอบ ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่จริง ๆ ผมเลื่อนประตูออกนิดหนึ่้งแล้วมองเข้าไป ภายในห้องปิดไฟมืดแต่ก็ยังพอเห็นเหมือนมีคนล้มอยู่ตรงมุมห้อง ผมสงสัยจึงตะโกนเรียกเข้าไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงขานตอบ “ไม่เป็นไร เราขึ้นไปดูกันเถอะ”
เราสองคนเดินกึง ๆ เข้าไปในห้องด้านในของร้าน อะเกะชิเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ ทันทีที่ไฟสว่างขึ้นเราก็อุทานออกมาพร้อมกัน เมื่อเห็นร่างไร้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ตรงมุมห้อง
“เมียเจ้าของร้านนี่” ผมพูดออกมาได้ในที่สุด “ดูเหมือนโดนบีบคอตายหรือไม่ใช่”
อะเกะชิเข้าไปข้าง ๆ และพิจารณาศพ “ไม่รอดแล้วละ ต้องแจ้งตำรวจด่วนเลย ผมจะไปที่โทรศัพท์อัตโนมัติเอง คุณเฝ้าไว้นะ เราอย่าเพิ่งบอกชาวบ้านละแวกนี้ดีกว่า เดี๋ยวหลักฐานต่าง ๆ จะถูกทำลายหมด”
อะเกะชิบอกเหมือนสั่ง ก่อนกระโจนออกไปจากร้านมุ่งไปยังโทรศัพท์อัตโนมัติที่อยู่ห่างออกไป 50 เมตร
ตามปกติถ้าเป็นการถกเถียงเรื่องคดีอาชญากรรมหรือการสืบสวน ผมจะต่อปากต่อคำอย่างไม่เป็นรองใครเหมือนกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเผชิญหน้ากับเหตุการณ์จริงสด ๆ ร้อน ๆ จึงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองอย่างสำรวจตรวจตราไปทั่วห้อง
ห้องนี้เป็นห้องเดี่ยวขนาด 6 เสื่อตะตะมิ ด้านในทางขวามือเป็นระเบียงแคบ ๆ ไกลออกไปเป็นสวนกว้างประมาณ 6 ตารางเมตรและห้องสุขา ริมสวนทางด้านโน้นเป็นรั้วไม้กระดาน...นี่ยังเป็นหน้าร้อน ห้องจึงเปิดกว้างมองออกไปเห็นได้ทั่ว...ทางด้านซ้ายเป็นประตูเปิดออกไปยังห้องปูไม้กระดานขนาดประมาณสองเสื่อตะตะมิ มองเห็นที่อาบน้ำแคบ ๆ อยู่ติดกับทางออกด้านหลัง ประตูเลื่อนสูงแค่เอวที่อยู่ตรงนั้นปิดอยู่ ขวามือมีบานประตูเลื่อน 4 บานปิดอยู่เช่นกัน ข้างในเป็นบันไดขึ้นไปชั้นบนและที่เก็บของ นั่นเป็นแปลนมาตรฐานของห้องแถวถูก ๆ ที่เห็นอยู่ทั่วไป
ศพนอนอยู่ชิดผนังห้องด้านซ้าย ศีรษะเอียงพับไปทางด้านตัวร้าน ผมพยายามไม่เข้าไปข้างศพเพราะต้องการรักษาพื้นที่ให้อยู่ในสภาพเมื่อเกิดเหตุ และอีกอย่างหนึ่งเพราะรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ แต่ความที่ห้องแคบ ถึงคิดจะไม่มองแต่ตาก็แลไปจนได้ หญิงผู้ตายอยู่ในชุดกิโมโนแบบลำลองลายดอกล้มลงตายในท่าเกือบจะเรียบได้ว่านอนหงาย ชายกิโมโนถลกเปิดขึ้นมาถึงหัวเข่าเผยให้เห็นขาอ่อน แต่ไม่มีร่องรอยว่ามีการขัดขืนแต่อย่างใด รอยสีม่วงที่คอดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจนักดูเหมือนเป็นรอยถูกบีบเคล้น
ถนนใหญ่ด้านหน้าร้านมีคนเดินผ่านไปมาไม่ขาดสาย ส่งเสียงพูดคุยกัน ดังขรมระคนกับเสียงลากเกี๊ยทรงสูงดังกราก ๆ เสียงคนเมาแผดเสียงร้องเพลงยอดนิยมดังก้องเหมือนตะโกน ดูเป็นโลกที่สันติสุขเหลือเกิน ขณะที่ในบ้านซึ่งมีประดูเลื่อนกั้นเอาไว้เพียงแผ่นเดียว ผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆ่าอย่างน่าอนาถ นี่กำลังประชดกันใช่ไหม ผมรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาอย่างประหลาดจนต้องนิ่งขึงไป
“เขาบอกจะมากเดี๋ยวนี้เลย” อะเกะชิวิ่งหอบกลับมา
“อ้อ เหรอ” ผมตอบราวกับการเปิดปากพูดเป็นหน้าที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง เราสองคนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรสักคำอยู่เป็นนาน
ไม่ช้าตำรวจในเครื่องแบบคนหนึ่งก็พาชายในชุดสากลก็มาถึง ผมมารู้ในภายหลังว่าคนในเครื่องแบบเป็นเจ้าหน้าที่ ฝ่ายกฎหมายของสถานีตำรวจ K ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเห็นได้จากหน้าตาท่าทางและสิ่งของที่ถือติดมือว่าเป็นแพทย์ตำรวจ เราช่วยกันเล่าเรื่องย่อ ๆ ของเหตุที่มาพบศพตั้งต้นให้เจ้าหน้าที่นิติกรรมฟัง เสร็จแล้วผมเสริมขึ้นว่า
“ตอนที่นายอะเกะชิคนนี้เข้ามาในคาเฟ่ บังเอิญผมดูนาฬิกาเลยรู้ว่าเป็นเวลาสองทุ่มครึ่งพอดี จึงคิดว่าบานประตูลูกกรงนั่นน่าจะถูกปิดราว ๆ สองทุ่มครับ ดังนั้นจึงเห็นชัดว่าอย่างน้อยประมาณ 2 ทุ่ม ต้องมีใครก็ตามที่เป็นคนเป็น ๆ คนหนึ่งอยู่ในห้องนี้ครับ”
ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายฟังคำให้การของเราและจดลงในสมุดบันทึกอยู่นั้น แพทย์ตำรวจชันสูตรศพเสร็จไปแล้วขั้นหนึ่งและรอให้เราพูดจบ พอได้จังหวะก็พูดขึ้นว่า
“ถูกบีบคอตายนะ ดูนี่ซิ ตรงที่เป็นสีม่วงนี่คือรอยนิ้วมือ และที่มีเลือดออกนี่ก็เพราะโดนเล็บจิก เมื่อดูจากรอยนิ้วโป้งที่ด้านขวาของคอจะเห็นได้ว่าถูกบีบด้วยมือขวา ครับและเธอน่าจะสิ้นใจไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่มีทางแก้ไขให้ฟื้นขึ้นมาได้แน่นอน”
“ถูกบีบกดลงมาจากด้านบนนะครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายเอ่ยขึ้นหลังจากคิดแล้วคิดอีก “อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่าไม่มีการต่อสู้ขัดขืน...นั่นคงเป็นเพราะถูกจู่โจมอย่างฉับพลันทันที ด้วยกำลังแรงขั้นโหด”
แล้วหันมาถามเราว่าเจ้าของบ้านนี้อยู่ไหน ซึ่งแน่นอนว่าเราสองคนไม่มีทางรู้ได้เลย อะเกะชิแก้ให้โดยเรียกเจ้าของร้านนาฬิกาที่อยู่ติดกันมาพบ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายกับเจ้าของร้านนาฬิกาถามตอบกันประมาณนี้
“เจ้าของบ้านนี้ไปไหนรู้ไหม”
“เจ้าของบ้านนี้ ไปออกร้านแผงลอยขายหนังสือเก่าทุกคืน ปกติถ้าไม่ถึงราวเที่ยงคืนก็ไม่กลับมาหรอกขอรับ”
“ไปออกร้านแผงลอยที่ไหนรึ”
“ที่ไปบ่อยดูเหมือนจะที่ฮิโระโคจิย่านอุเอะโนะนะขอรับ แต่คืนนี้จะไปออกร้านที่ไหนกระผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะขอรับ”
“ก่อนหน้านี้สักราวชั่วโมงนึง นายไม่ได้ยินเสียงอะไรบ้างหรือไง”
“เสียงอะไรหรือขอรับ"
“มันแน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือนาย ก็เสียงผู้หญิงกรีดร้องตอนถูกฆ่า เสียงต่อสู้....”
“อ้อ...ไม่ได้ยินอะไรเลยขอรับ”
ขณะที่นั่นนี่กันอยู่นั้น คนบ้านใกล้เรือนเคียงได้ยินข่าวก็พากันมา ชาวมุงที่เดินผ่านไปมาก็หยุดดู จนตอนนี้หน้าร้านหนังสือเก่าเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ในจำนวนนั้นมีเมียเจ้าของร้านขายถุงเท้ากิโมโนบ้านติดกันมาช่วยให้กำลังใจเจ้าของร้านนาฬิกา และให้การว่านางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเหมือนกัน
ระหว่างนั้นคนบ้านใกล้เรือนเคียงประชุมตกลงกันให้ส่งคนไปที่แผงลอยของเจ้าของร้านหนังสือเก่า
มีเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่ด้านหน้าแล้วคนหลายคนก็กรูกันเข้าไปในร้าน คนกลุ่มนี้เป็นพวกเจ้าหน้าที่ศาลซึ่งรีบรุดมายังที่เกิดเหตุหลังได้รับแจ้งจากตำรวจ กับผู้กำกับการสถานีตำรวจ K ที่บังเอิญมาถึงพร้อมกัน และสารวัตรโคะบะยะชิผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วว่าเป็นนักสืบอัจฉริยะแห่งยุคสมัย...แน่นอนว่าผมมารู้เรื่องอะไร ๆ เกี่ยวกับเขาในภายหลังจากเพื่อนที่เป็นนักข่าวสายกฎหมายที่รู้จักสารวัตรโคะบะยะชิผู้รับผิดชอบการสืบสวนคดีนี้เป็นอย่างดี...เจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายที่มาถึงที่เกิดเหตุก่อนชี้แจงขั้นตอนของเหตุการณ์ต่อหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ที่มาใหม่ และเราสองคนก็ต้องให้ปากคำซ้ำอีกครั้ง
“ปิดประตูด้านหน้าเถอะ”
อยู่ ๆ ชายในชุดเสื้อนอกสีดำกางเกงขาวเหมือนพนักงานบริษัทระดับล่างคนหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังแล้วตรงไปปิดประตูร้าน เขาคือสารวัตรโคะบะยะชินั่นเอง เมื่อปิดกั้นชาวมุงให้พ้นหูพ้นตาแล้วสารวัตรก็เริ่มลงมือสืบสวนด้วยวิธีของเขาซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการโชว์เดี่ยว เขาเคลื่อนไหวไปมาตั้งแต่ต้นจนจบคนเดียวทำอย่างกับว่าไม่มีเจ้าหน้าที่อัยการและผู้กำกับการสถานีตำรวจอยู่ที่นั่น และคนอื่น ๆ เป็นเหมือนคนที่พากันมาชมการสืบสวนด้วยไหวพริบอันเฉียบไวของเขาเท่านั้น ขั้นแรกเขาเริ่มด้วยการชันสูตรศพโดยจับบริเวณรอบ ๆ คอผู้ตายด้วยความเอาใจใส่ใจเป็นพิเศษ เขาหันไปมองเจ้าหน้าที่อัยการแล้วบอกว่า
“รอยนิ้วนี่ไม่มีลักษณะพิเศษอะไร คือไม่ได้บ่งชี้อะไรมากไปกว่าการมีคนธรรมดาคนหนึ่งใช้มือขวากดลงไป”
ขั้นต่อไปเขาบอกให้ถอดเสื้อผ้าของศพออกทีหนึ่งก่อนเพื่อจะได้ตรวจดูร่างกายในสภาพเปลือยเปล่า ซึ่งเราที่จัดอยู่ในพวกผู้สังเกตการณ์ต้องถูกต้อนออกไปอยู่ในร้าน ราวกับจะมีการประชุมลับกัน ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าระหว่างนั้นมีการค้นพบอะไรบ้าง แต่คิดว่าพวกนั้นต้องพบรอยแผลสดที่มีอยู่ทั่วตัวของผู้ตายแน่นอน รอยแผลที่ผมได้ยินพวกหญิงเสิร์ฟในคาเฟ่ซุบซิบกันนั่นแหละ
ไม่นานการประชุมลับก็สลายตัว เราสองคนขอตัวไม่เข้าไปในห้องด้านใน แต่เดินไปที่ชานบุเสื่อตะตะมิตรงแนวเชื่อมต่อของห้องด้านในและตัวร้านแล้วชะโงกเข้าไปดูภายใน โชคยังดีที่เจ้าหน้าที่ไม่ตะเพิดเราออกไปและยอมให้เราอยู่ในที่เกิดเหตุจนจบ เหตุหนึ่งเพราะเราเป็นคนพบเหตุการณ์ และหลังจากนั้นยังต้องพิมพ์ลายนิ้วมือของอะเกะชิไว้เป็นหลักฐานด้วย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเราถูกกันตัวเอาไว้เอาไว้ต่างหาก สารวัตรโคะบะยะชิไม่ได้ปฏิบัติงานอยู่ภายในห้องด้านในเท่านั้น เขาเคลื่อนไหวในวงกว้างมากทั้งภายในบ้านและบริเวณรอบนอก เราสองคนที่ต้องอยู่นิ่ง ๆ กับที่จะล่วงรู้ความคืบหน้าของการสืบสวนได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะความประจวบเหมาะที่ว่าเจ้าหน้าที่อัยการซึ่งทำหน้าที่คุมพื้นที่เกิดเหตุเอาไว้นั้นไปไหนไม่ได้เลยตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้นทุกครั้งที่สารวัตรนักสืบเข้ามาหรือออกกไปเขาจะต้องรายงานผลการสืบสวนให้เจ้าหน้าที่อัยการทุกครั้งไป เพื่อที่จะได้บันทึกรายงานนั้นไว้เป็นข้อมูลสำหรับสรุปคำฟ้องคดีต่อไป แล้วมีหรือว่ารายงานเหล่านั้นจะรอดหูเราไปได้แม้แต่ประเด็นเดียว