บทประพันธ์ของ เอะโดะงะวะ รัมโปะ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ตอนที่ 3
ถอดรหัสคดี
วันหนึ่ง หลังจากคดีฆาตกรรมผ่านไปประมาณสิบวัน ผมได้ไปหาอะเกะชิ โคะโกะโรที่บ้าน คำสนทนาระหว่างอะเกะชิ กับผมในวันนั้น คงช่วยให้ผู้อ่านพอจะรู้ได้ว่าช่วง 10 วันเราสองคนทำอะไร คิดอะไรและได้ข้อสรุปอย่างไรบ้างเกี่ยวกับคดีนี้
ก่อนหน้านี้ ผมพบกับอะเกะชิที่คาเฟ่เท่านั้น และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมไปหาเขาที่บ้าน ซึ่งก็หาไม่ยากนักเพราะได้สอบถามมาก่อน ผมมาถึงหน้าร้านที่ดูเหมือนจะเป็นร้านขายบุหรี่ที่อะเกะชิบอก แล้วถามหญิงเจ้าของร้านว่าเขาอยู่หรือเปล่า
“อ๋อ อยู่เจ้าค่ะ กรุณารอสักครู่อิชั้นจะไปเรียกให้”
หล่อนบอกพลางเดินไปที่เชิงบันไดที่มองเห็นได้จากหน้าร้าน แล้วแหงนหน้าขึ้นไปเรียกอะเกะชิซึ่งเช่าห้องอยู่ชั้นบนเสียงดังลั่นบ้าน “เออ...” มีเสียงขานรับแปลก ๆ ตามมาด้วยเสียงขั้นบันไดถูกเหยียบดังเอี๊ยดอ๊าด พอเห็นหน้าผม อะเกะชิก็ร้องทักเสียงแปลก ๆ แล้วเรียกให้ผมตามขึ้นไปข้างบน ผมขึ้นบันไดตามเขาไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง แต่พอก้าวเข้าไปก็ต้องชะงักยืนขึงอยู่ตรงนั้นเพราะภาพที่เห็นมันช่างประหลาดล้ำ ถึงจะรู้ดีว่าอะเกะชิเป็นคนแปลกแค่ไหน แต่นี่มันยิ่งประหลาดขึ้นไปอีกเป็นล้นพ้น
มันก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าห้องขนาดสี่เสื่อครึ่งจะไม่ถูกถมด้วยหนังสือจนมิดไปแทบทุกตารางนิ้วเช่นนั้น นอกจากช่อง แคบ ๆ ตรงกลางห้องที่พอเหลือให้เห็นผิวเสื่อตะตะมินิดเดียวแล้ว นอกนั้นคือภูเขาหนังสือที่เกิดจากตั้งหนังสือซึ่งวางเลียบตามแนวฝาผนังทั้งสี่ด้านเหมือนทะนบกั้นน้ำสูงครือเพดานนั้น เรียงซ้อนเป็นตั้ง ๆ รุกล้อมพื้นที่เข้ามาตรงกลาง ห้องทั้งห้องไม่มีเครื่องเรือนหรืออะไรสักอย่างเดียว สงสัยเหมือนกันว่าจะนอนเข้าไปได้อย่างไร แล้วนี่คนสองคนคือเจ้าของห้องและแขกจะนั่งกันที่ไหน คนไม่คุ้นพื้นที่อย่างผมหากกระดิกตัวไม่ถูกจังหวะอาจโดนทะนบหนังสือพังทะลายลงมาทับกลบก็ได้
“แคบไปหน่อยนะคุณ เบาะรองนั่งก็ไม่มีเสียด้วย ขอโทษเถอะ หาหนังสือนิ่ม ๆ รองก้นนั่งไปก่อนก็แล้วกัน”
ผมแหวกกองหนังสือเข้าไปอย่างไม่มั่นใจนักจนในที่สุดก็หาที่นั่งได้ แต่เพราะยังตื่นตาตื่นใจอยู่จึงได้แต่มองไปรอบ ๆ
และขอถือโอกาสนี้พูดถึงอะเกะชิ โคะโกะโรแต่เพียงคร่าว ๆ ความจริงผมก็เพิ่งรู้จักและคบหากับเขาได้ไม่นาน ผมจึงไม่รู้เลยว่าชายผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำมาหากินอะไร และมีอะไรเป็นจุดมุ่งหมายในการดำรงชีวิต แต่ที่แน่ ๆ คือเป็นคนที่ไม่มีงานอาชีพเป็นหลักแหล่งซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นคนเร่ร่อนประเภทหนึ่ง จะว่าเป็นนักศึกษาก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าใช่ก็จะต้องเป็นนักศึกษาที่แปลกแหกคอกเกินกว่าครูบาอาจารย์จะเอาอยู่ ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินเขาบอกว่า “ผมกำลังค้นคว้าวิจัยมนุษย์” ซึ่งตอนผมไม่เข้าใจหรอกว่าเขาหมายถึงอะไร อย่างเดียวที่ผมแน่ใจคือเขามีความสนใจและรอบรู้เรื่องอาชญากรรมและการสืบสวนกว้างขวางไม่มีใครเทียมจนน่าพิศวง
อะเกะชิ โคะโกะโร อายุพอ ๆ กับผมคือคงไม่เกิน 25 รูปร่างค่อนข้างผอมสะโอดสะอง และอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าเวลาเดินเขาจะส่ายไหล่ไปมาจนเป็นนิสัย แต่นั่นไม่ใช่เป็นการวางท่าให้ดูโก้เก๋แต่อย่างใด ท่าเดินแปลก ๆ ของเขาทำให้นึกถึงคันดะ ฮะกุริว ศิลปินนักอ่านหนังสือประกอบการแสดงรุ่นที่ 5 ผู้มีแขนข้างหนึ่งพิการ ถ้าจะว่ากันตามจริง อะเกะชิมีบุคลิกหลายอย่างไม่ผิดอะไรกับฮะกุริวศิลปินเอกแห่งยุคผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือน้ำเสียง...สำหรับผู้อ่านที่ไม่เคยเห็นศิลปิน ฮะกุริวรุ่นที่ 5 ก็ขอให้นึกถึงหน้าคนรู้จักสักคนที่ถึงจะไม่รูปหล่อไปทุกกระเบียดนิ้วแต่ก็ดูดีมีไมตรีจิตและที่สำคัญคือฉลาดหลักแหลมระดับอัจฉริยะเลยทีเดียว...ทว่าอะเกะชิผมยาวกว่าและยุ่งเหยิงอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้นยังติดนิสัยเกาหัวเวลาพูดอะไรติดพันซึ่งทำให้ยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก ส่วนเครื่องแต่งกายนั้นดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เอาใจใส่เอาเสียเลย ชุดประจำตัวคือกิโมโนผ้าฝ้ายรัดด้วยแถบผ้าโอบิที่เก่าจนเนื้อนิ่มไม่ได้รูปทรง
“มีอะไรรึถึงได้อุตส่าห์มาหาผมถึงที่นี่ ตั้งแต่วันนั้นเราไม่ได้พบกันหลายวันเลยนะ
คดีฆาตกรรมที่เนิน D นั่นไปถึงไหนแล้วล่ะ ดูเหมือนตำรวจจะไม่ได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับคนร้ายเลยไม่ใช่รึ”
อะเกะชิร้องหน้าจ้องตาผม พูดพลางเกาหัวแกรก ๆ ตามนิสัย
“ความจริงที่ผมมาวันนี้ก็เพราะมีอะไรนิดหน่อยจะมาคุยกับคุณเรื่องนี้แหละ” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากลังเลอยู่นานว่าจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างไรดี
“ตั้งแต่วันนั้น ผมลองคิดพิจารณาความเป็นไปได้หลาย ๆ ทาง และไม่ใช่คิดอย่างเดียวนะ ผมยังไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุเหมือนนักสืบเลยด้วย และในที่สุดผมก็ได้ข้อสรุป จึงจะมารายงานให้คุณได้รับรู้ไว้ด้วย...”
“โห...เยี่ยมมากคุณ อยากฟังรายละเอียดมากเลย”
ผมตาไวพอที่จะจับความดูแคลนเจือความเชื่อมั่นในตัวเองแบบว่า...นายน่ะรึจะไปรู้อะไร...ที่วาบขึ้นมาในสายตาของเขาได้ถนัด และนั่นเป็นพลังกระตุ้นให้ใจผมที่กำลังลังเลอยู่นั้นกลับลุกขึ้นสู้ ผมเริ่มขยายความอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์ เขาสนิทกับสารวัตรโคะบะยะชิที่รับผิดชอบคดีนั้น ผมจึงได้รู้รายละเอียดทางด้านตำรวจผ่านทางนักหนังสือพิมพ์คนนี้ แต่ดูเหมือนตำรวจจะยังวางแผนสืบสวนกันไม่สำเร็จ แม้จะพยายามสืบหาหลักฐานกันอย่างไม่วางมือ แต่ก็จับจุดสำคัญไม่ได้เอาเลย สวิตช์ไฟที่ตำรวจเก็บเอาไปก็ไม่บอกอะไรสักอย่าง เพราะตรวจจนแน่ใจแล้วว่าลายมือที่ติดอยู่นั่นเป็นของคุณคนเดียว ตำรวจคิดว่าลายมือของคุณปิดบังลายมือคนร้ายจนหมด เรื่องมันเป็นเช่นนี้แหละ ผมเห็นว่าตำรวจกำลังตกที่นั่งลำบากก็เลยตั้งใจที่จะเข้าไปสืบให้มันจริงจังขึ้นจนได้ข้อสรุป คุณคิดซิว่าข้อสรุปของผมคืออะไร และทำไมผมถึงมาพูดกับคุณที่นี่ก่อนไปแจ้งตำรวจ
เรื่องนั้นพักไว้ก่อน ฟังนี่นะครับคือตั้งแต่วันเกิดเหตุผมจับความผิดสังเกตได้อย่างหนึ่ง คุณคงจำคำให้การของนักศึกษาสองคนเกี่ยวกับสีกิโมโนของคนร้ายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งบอกว่าสีขาวส่วนอีกคนบอกว่าสีดำ ตาของมนุษย์เรานั้นแม้จะบอกว่าเป็นคนตาไม่ดีสักแค่ไหน แต่การเห็นสีขาวกับดำกลับกันแบบนี้มันไม่แปลกหรือยังไง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตำรวจตีความเรื่องนี้ว่ายังไง แต่ผมคิดว่านักศึกษามองไม่ผิดทั้งสองคน คุณรู้ไหม นั่นเป็นเพราะคนร้ายใส่กิโมโนลายทางขาวสลับดำ...คือ กิโมโนแบบลำลองลายขีดเส้นดำหนา ๆ ในแนวตรงบนพื้นขาวที่ตามโรงแรมญี่ปุ่นจัดไว้ให้ใส่นั่นยังไง...แล้วทำไมคนหนึ่งเห็นเป็นสีดำคนหนึ่งเห็นเป็นสีขาวสะอาด ก็อย่างนี้นะ อย่างลืมว่านักศึกษาสองคนมองผ่านบานลับแลที่เป็นลูกกรง ดังนั้นในวินาทีที่คนหนึ่งมองไปนั้นซี่ลูกกรงบังลายขีดสีดำพอดีเราจึงเห็นเป็นสีขาว และจากมุมมองของอีกคนหนึ่ง ซี่ลูกกรงบังพื้นผ้าสีขาวพอดีจึงมองเห็นเป็นสีดำ มันอาจจะดูเป็นการบังเอิญอย่างประหลาดแต่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นไปได้ และกรณีเช่นนี้เราไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นได้
ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าคนร้ายใส่กิโมโนลายทางสีดำสลับขาว แต่เพียงเท่านั้นยังเพียงพอที่จะช่วยให้ตำรวจสามารถตีวงการสืบสวนให้แคบเข้ามาได้ หลักฐานที่สองคือลายนิ้วมือบนสวิตช์ไฟ ผมติดต่อผ่านทางเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ขอให้สารวัตรโคะบะยะชิตรวจสอบลายนิ้วมือบนสวิตช์ให้ละเอียดอีกครั้ง...ลายนิ้วมือของคุณนั่นแหละ...ผลจากการตรวจสอบทำให้ผมมั่นใจได้ในที่สุดว่าผมคิดไม่ผิดเลยจริง ๆ คุณมีแท่นฝนหมึกไหม ผมขอยืมหน่อย”
แล้วผมก็ทำการทดลองให้ดูตรงนั้น ขั้นแรกคือพอขอยืมแท่นฝนหมึกมาได้ผมก็เอานิ้วโป้งขวาจุ่มน้ำหมึกบาง ๆ ประทับลายนิ้วมือตนเองลงบนกระดาษที่เอาติดตัวมาด้วย ผมรอจนหมึกแห้งแล้วจึงใช้นิ้วเดิมจุ่มน้ำหมึก ตั้งใจเปลี่ยนทิศทางของนิ้วแล้วพิมพ์ทับลงไปบนรอยแรก จึงได้รอยนิ้วมือสองชั้นที่เหลื่อมล้ำกันอยู่อย่างชัดเจน
“ตำรวจตีความว่า ลายนิ้วมือของคนร้ายหายไปเพราะถูกลายนิ้วมือของคุณซ้อนทับ แต่คุณก็เห็นจากการทดลองนี้แล้วว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปไม่ได้ ตราบใดที่ลายนิ้วมือของคนเราประกอบด้วยเส้น ดังนั้นไม่ว่าจะกดนิ้วลงไปแรงเพียงใด ร่องรอยของลายนิ้วมือที่ประทับอยู่เดิม ก็ต้องเหลืออยู่ระหว่างเส้นลายนิ้วมือที่ประทับลงไปทีหลัง ถ้าลายนิ้วมือที่ประทับไว้ก่อนและหลังเหมือนกันทุกอย่างและประทับลงไปในแนวเดียวกันพอดีเส้นลายนิ้วมือก็จะทับกันสนิท เส้นลายนิ้วมือที่ประทับลงไปทีหลังก็จะซ่อนเส้นที่ประทับก่อนหน้าไว้ได้ แต่เรื่องแบบนั้นคงเป็นไปไม่ได้และถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ทำให้ข้อสรุปของผมเปลี่ยนไป
หากคนปิดสวิตช์เป็นฆาตกร ลายนิ้วมือของมันจะต้องเหลือติดอยู่บนสวิตช์ ผมคิดว่าตำรวจคงมองไม่เห็นเส้นลายนิ้วมือที่ประทับอยู่ก่อนซึ่งเหลือติดอยู่ระหว่างเส้นลายนิ้วมือของคุณ จึงได้ไปตรวจดูด้วยตาตนเองแต่ก็ไม่พบร่องรอยเช่นนั้นเลยสักนิดเดียว นั่นหมายความว่าลายนิ้วมือที่ประทับอยู่บนสวิตช์นั้นเป็นของคุณคนเดียวทั้งเมื่อปิดไฟและเปิดขึ้นอีกครั้งในภายหลัง---ทำไมจึงไม่มีลายนิ้วมือของคนในร้านหนังสือเก่าติดอยู่เลยนั้นผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน บางทีเขาอาจเปิดไฟห้องนั้นทิ้งไว้ตลอด ไม่เคยปิดเลยก็เป็นได้
คุณฟังเรื่องที่ผมพูดมาทั้งหมดแล้วคงเข้าใจนะว่าหมายความว่ายังไง ผมคิดของผมอย่างนี้แหละ ผมสันนิษฐานว่าผู้ชายในชุดกิโมโนลายทางหยาบ ๆ ---อาจเป็นเพื่อนสมัยเด็กของหญิงผู้ตายและคงอกหัก---พอรู้ว่าเจ้าของร้านหนังสือเก่าออกไปเปิดแผงลอยขายหนังสือที่ตลาดนัดตอนกลางคืน จึงบุกเข้าไปฆ่าหล่อนระหว่างที่ผัวไม่อยู่ ที่ไม่มีเสียงร้องและร่องรอยการต่อสู้นั้นต้องเป็นเพราะหล่อนรู้จักชายผู้นั้นดีแน่นอน และเมื่อชายผู้นั้นฆ่าหล่อนได้ดังใจแล้วจึงปิดไฟเสียก่อนเร้นกายออกจากห้องเพื่อให้การพบศพล่าช้าออกไป แต่เขาก็พลาดจนได้เพราะไม่รู้ว่าบานช่องลับแลเปิดอยู่ มาสังเกตเห็นตอนจะกลับออกไปจึงตกใจแล้วเดินไปปิด ก็เผอิญเป็นเวลาเดียวกันกับที่นักศึกษาสองคนที่หน้าร้านมองเข้าไปเห็นเข้า จากนั้นคนร้ายก็แฝงกายออกมาจากห้อง พอออกมาแล้วเกิดฉุกคิดขึ้นได้ว่าตอนปิดไฟลายนิ้วมือของตนเองจะต้องติดอยู่กับสวิตช์แน่จะต้องลบออกให้หมด แต่จะลอบเข้าไปในห้องอีกครั้งแบบเดียวกับตอนเข้าไปนั้นคงไม่ได้เพราะเสี่ยงอันตรายมาก คนร้ายคิดอุบายแยบยลขึ้นมาได้คือเขาจะต้องเป็นคนพบเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้นเสียเอง เพราะการกดสวิตช์เปิดไฟด้วยมือตนเองนั้นนอกจากจะช่วยขจัดข้อสงสัยเรื่องลายนิ้วมือได้อย่างแนบเนียนมากแล้ว ยังไม่มีใครคิดเลยว่าคนพบศพจะเป็นฆาตกรไปได้ยังไง นับเป็นผลประโยชน์สองชั้นเลยทีเดียว ฆาตกรตัวจริงยืนมองการทำงานของตำรวจอย่างหน้าตาเฉยแถมยังกล้าให้การเป็นพยานเสียด้วย ผลของการสืบสวนเป็นไปตามที่เขาคาดคิด เวลาผ่านไปห้าวันก็แล้วสิบวันก็แล้วยังไม่เห็นมีใครมาจับกุมเขาเลย”
รู้ไหมว่าอะเกะชิ โคะโกะโรทำหน้าอย่างไรเมื่อได้ฟังเรื่องที่ผมพูด ผมคาดว่าสีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไประหว่างฟังหรือไม่ก็พูดขัดอะไรขึ้นมา แต่แปลกมากที่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย ถึงจะรู้ว่าเป็นคนเก็บความในใจได้ดีเพียงไร แต่นี่มันเยือกเย็นเกินไปเสียแล้ว อะเกะชิทำหน้าเฉยนิ่งฟังเงียบ ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ พลางเกาหัวที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วตามความเคยชิน ผมชำเลืองดูอิริยาบทของเขาด้วยความระอาใจว่าเจ้านี่จะยโสไปถึงไหน และพูดต่อไปถึงประเด็นสุดท้าย
“คุณคงอยากถามว่า แล้วฆาตกรเข้ามาทางไหนและออกไปทางไหน ใช่ครับถ้าประเด็นนี้ไม่ประจักษ์ชัดเจนขึ้นมาใครก็ไม่มีวันคลี่คลายปริศนาทั้งหมดได้ แต่โชคไม่ดีเลยสำหรับฆาตกรเพราะผมสืบเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่งแล้วด้วย ผลการสืบสวนของตำรวจในคืนนั้นคือไม่พบร่องรอยที่ฆาตกรหนีออกไปเลย แต่ตราบใดที่เกิดฆาตกรรมขึ้นมันก็ต้องมีการเข้าออกของฆาตกรเป็นธรรมดา ที่ไม่พบร่องรอยนั้นคิดได้อย่างเดียวคือมันแนบเนียนจนหลงหูหลงตาเจ้าหน้าที่ไปได้ ผมเห็นตำรวจก็พยายามกันอย่างหนักหนาสาหัสเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่สู้นักศึกษาตัวเล็ก ๆ อย่างผมยังไม่ได้
อะไรกัน...เรื่องหญ้าปากคอกแค่นั้นก็ยังไม่สะดุดใจกันเลย ก่อนอื่นเราไม่ต้องสงสัยเพื่อบ้านใกล้เคียงได้แล้วเพราะตำรวจสืบสวนกันจนแน่ใจขนาดนั้นคงไม่พลาด ผมจึงคิดว่าฆาตกรรายนี้คงจะเดินผ่านไปในลักษณะที่ถึงใครจะเห็นก็ไม่รู้สึกว่านั่นคือคนร้าย และถึงจะมีคนเห็นเขาก็ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร คือคน ๆ นี้อาจใช้ประโยชน์จากจุดบอดในความระแวดระวังของคนเราที่ว่า---ตายังมีจุดบอดได้ การระมัดระวังนั้นถึงจะรอบคอบเพียงใดก็มีจุดบอดได้เหมือนกัน---ในการซ่อนตัวเขาเองเหมือนกับนักมายากลที่สามารถซ่อนของใหญ่ ๆ ต่อหน้าต่อตาคนดูก็เป็นได้ ตรงนี้แหละที่ผมจับตามองไปที่ร้านโซบะชื่ออะซะฮิยะที่อยู่ถัดคูหาข้างร้านหนังสือเก่าไปคูหาหนึ่ง”
ด้านขวาของร้านหนังสือเก่ามีร้านนาฬิกาและร้านขนมเรียงกันไปตามลำดับส่วนทางด้านซ้ายคือร้านถุงเท้าและร้านโซะบะ
“ผมไปที่ร้านโซะบะแล้วถามคนที่นั่นว่า เมื่อประมาณสองทุ่มของคืนเกิดเหตุมีผู้ชายสักคนมาขอเข้าห้องสุขาบ้างหรือเปล่า ร้านโซะบะอะซะฮิคุณคงรู้จัก ห้องสุขาอยู่บนพื้นดินอันแน่นระดับเดียวกับร้านอยู่ติดกับประตูหลัง ถ้าทำเป็นเดินไปห้องสุขาก็สามารถออกทางประตูหลังแล้วก็กลับเข้ามาได้โดยไม่มีพิรุธ---ร้านไอศกรีมที่อยู่ถึงมุมตรอกก็ไม่มีทางเห็นได้---และยิ่งเป็นร้านโซะบะด้วยแล้ว การขอเข้าห้องสุขาเป็นเรื่องธรรมดามาก ผมเข้าไปถามดูปรากฏว่าวันนั้นคุณนายไม่อยู่เหลือแต่ตาผัวเฝ้าร้านยิ่งเป็นโอกาสดีใหญ่ ช่างเป็นฤกษ์ดีเสียเหลือเกินใช่ไหมคุณ
จริงอย่างที่คาด เจ้าของร้านโซะบะอะซะฮีบอกว่ามีคนมาขอเข้าห้องน้ำในเวลาที่ผมบอกพอดี แต่น่าเสียดายที่เขาจำหน้าและลายเสื้อกิโมะโนะของชายคนนั้นไม่ได้เลย---ผมรีบรายงานเรื่องนี้ผ่านเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ไปยังสารวัตรโคะบะยะชิ และดูเหมือนสารวัตรจะเข้าไปตรวจสอบร้านโซะบะด้วยตนเอง แต่จากนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า---”
ผมหยุดนิดหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้อะเกะชิพูดอะไรบ้าง เพราะเห็นว่า ณ จุดนี้เขาน่าจะมีอะไรชี้แจงสักอย่าง แต่เขาก็ยังเกาหัวยุ่งเหยิงและอยู่ในอาการสงบเฉยเช่นเดิม จนผมต้องตัดสินใจเปลี่ยนท่าทีจากเดิมที่เป็นการพูดจาแบบให้เกียรติกันมาเป็นการพูดแบบตรงไปตรงมา
“อะเกะชิ คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม หลักฐานที่แน่นหนาบ่งชี้ไปที่ตัวคุณแล้วนะ พูดตามตรงจากส่วนลึกของหัวใจเลยว่าถึงยังไงผมก็ยังไม่ปักใจสงสัยคุณ แต่ในเมื่อหลักฐานมันพร้อมเพรียงถึงขนาดนี้ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ...ผมพยายามสืบว่าจะมีใครสักคนในห้องแถมชุดนั้นมีกิโมโนชุดลำลองลายขีดดำขาวเส้นหนา ๆ บ้างหรือไม่ แต่ก็ไม่มีสักคน มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะถึงจะเป็นกิโมะโนะแบบลำลองลายทางเหมือนกัน แต่คนที่ใส่กิโมโนลายทางชนิดที่ทาบพอดีกับลูกกรงช่องลับแลนั้นได้ก็ต้องดูแปลกสะดุดตาไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นกลอุบายเกี่ยวกับลายนิ้วมือก็ดี อุบายการขอเข้าห้องสุขาของร้านโซะบะก็ดี ล้วนแต่แยบยลแนบเนียน ชนิดที่ไม่มีใครสามารถคิดทำได้นอกจากนักวิชาการอาชญากรรมวิทยาอย่างคุณ ที่น่าสงสัยที่สุดคือ ทั้ง ๆ ที่คุณเองเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผู้ตาย แต่ตอนที่มีการสอบปากคำเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของหล่อน คุณได้แต่ยืนฟังอยู่ ข้าง ๆ โดยไม่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้เลย มันตลกอยู่นะ
เอาละ ทางรอดเดียวสำหรับคุณคือพยานหลักฐานที่จะยืนยันที่อยู่ของตอนเกิดเหตุ (Alibi) ซึ่งคุณไม่มีแน่นอน จำได้ไหมระหว่างกลับบ้านด้วยกันคืนนั้นผมถามคุณว่าก่อนมาที่คาเฟ่ฮะกุไบเค็นคุณอยู่ที่ไหน แล้วคุณบอกว่าเดินเล่นอยู่แถวนั้นราวชั่วโมงนึง ถึงจะมีคนเห็นคุณเดินอยู่แถวนั้นจริง แต่ระหว่างเดินอยู่คุณอาจหลบไปขอเข้าห้องสุขาที่ร้านโซะบะก็ได้ใครจะรู้ อะเกะชิ ผมพูดผิดตรงไหนบ้างหรือเปล่า ว่ายังไง ถ้าเป็นไปได้ขอฟังคำแก้ตัวของคุณสักหน่อยเถิด”
ผู้อ่านที่รัก เมื่อถูกผมต้อนเข้ามุมขนาดนี้แล้ว รู้ไหมว่า อะเกะชิ โคะโกะโร คนประหลาดผู้นี้ทำอย่างไร...
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ตอนที่ 3
ถอดรหัสคดี
วันหนึ่ง หลังจากคดีฆาตกรรมผ่านไปประมาณสิบวัน ผมได้ไปหาอะเกะชิ โคะโกะโรที่บ้าน คำสนทนาระหว่างอะเกะชิ กับผมในวันนั้น คงช่วยให้ผู้อ่านพอจะรู้ได้ว่าช่วง 10 วันเราสองคนทำอะไร คิดอะไรและได้ข้อสรุปอย่างไรบ้างเกี่ยวกับคดีนี้
ก่อนหน้านี้ ผมพบกับอะเกะชิที่คาเฟ่เท่านั้น และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมไปหาเขาที่บ้าน ซึ่งก็หาไม่ยากนักเพราะได้สอบถามมาก่อน ผมมาถึงหน้าร้านที่ดูเหมือนจะเป็นร้านขายบุหรี่ที่อะเกะชิบอก แล้วถามหญิงเจ้าของร้านว่าเขาอยู่หรือเปล่า
“อ๋อ อยู่เจ้าค่ะ กรุณารอสักครู่อิชั้นจะไปเรียกให้”
หล่อนบอกพลางเดินไปที่เชิงบันไดที่มองเห็นได้จากหน้าร้าน แล้วแหงนหน้าขึ้นไปเรียกอะเกะชิซึ่งเช่าห้องอยู่ชั้นบนเสียงดังลั่นบ้าน “เออ...” มีเสียงขานรับแปลก ๆ ตามมาด้วยเสียงขั้นบันไดถูกเหยียบดังเอี๊ยดอ๊าด พอเห็นหน้าผม อะเกะชิก็ร้องทักเสียงแปลก ๆ แล้วเรียกให้ผมตามขึ้นไปข้างบน ผมขึ้นบันไดตามเขาไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง แต่พอก้าวเข้าไปก็ต้องชะงักยืนขึงอยู่ตรงนั้นเพราะภาพที่เห็นมันช่างประหลาดล้ำ ถึงจะรู้ดีว่าอะเกะชิเป็นคนแปลกแค่ไหน แต่นี่มันยิ่งประหลาดขึ้นไปอีกเป็นล้นพ้น
มันก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าห้องขนาดสี่เสื่อครึ่งจะไม่ถูกถมด้วยหนังสือจนมิดไปแทบทุกตารางนิ้วเช่นนั้น นอกจากช่อง แคบ ๆ ตรงกลางห้องที่พอเหลือให้เห็นผิวเสื่อตะตะมินิดเดียวแล้ว นอกนั้นคือภูเขาหนังสือที่เกิดจากตั้งหนังสือซึ่งวางเลียบตามแนวฝาผนังทั้งสี่ด้านเหมือนทะนบกั้นน้ำสูงครือเพดานนั้น เรียงซ้อนเป็นตั้ง ๆ รุกล้อมพื้นที่เข้ามาตรงกลาง ห้องทั้งห้องไม่มีเครื่องเรือนหรืออะไรสักอย่างเดียว สงสัยเหมือนกันว่าจะนอนเข้าไปได้อย่างไร แล้วนี่คนสองคนคือเจ้าของห้องและแขกจะนั่งกันที่ไหน คนไม่คุ้นพื้นที่อย่างผมหากกระดิกตัวไม่ถูกจังหวะอาจโดนทะนบหนังสือพังทะลายลงมาทับกลบก็ได้
“แคบไปหน่อยนะคุณ เบาะรองนั่งก็ไม่มีเสียด้วย ขอโทษเถอะ หาหนังสือนิ่ม ๆ รองก้นนั่งไปก่อนก็แล้วกัน”
ผมแหวกกองหนังสือเข้าไปอย่างไม่มั่นใจนักจนในที่สุดก็หาที่นั่งได้ แต่เพราะยังตื่นตาตื่นใจอยู่จึงได้แต่มองไปรอบ ๆ
และขอถือโอกาสนี้พูดถึงอะเกะชิ โคะโกะโรแต่เพียงคร่าว ๆ ความจริงผมก็เพิ่งรู้จักและคบหากับเขาได้ไม่นาน ผมจึงไม่รู้เลยว่าชายผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำมาหากินอะไร และมีอะไรเป็นจุดมุ่งหมายในการดำรงชีวิต แต่ที่แน่ ๆ คือเป็นคนที่ไม่มีงานอาชีพเป็นหลักแหล่งซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นคนเร่ร่อนประเภทหนึ่ง จะว่าเป็นนักศึกษาก็ไม่น่าใช่ เพราะถ้าใช่ก็จะต้องเป็นนักศึกษาที่แปลกแหกคอกเกินกว่าครูบาอาจารย์จะเอาอยู่ ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินเขาบอกว่า “ผมกำลังค้นคว้าวิจัยมนุษย์” ซึ่งตอนผมไม่เข้าใจหรอกว่าเขาหมายถึงอะไร อย่างเดียวที่ผมแน่ใจคือเขามีความสนใจและรอบรู้เรื่องอาชญากรรมและการสืบสวนกว้างขวางไม่มีใครเทียมจนน่าพิศวง
อะเกะชิ โคะโกะโร อายุพอ ๆ กับผมคือคงไม่เกิน 25 รูปร่างค่อนข้างผอมสะโอดสะอง และอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่าเวลาเดินเขาจะส่ายไหล่ไปมาจนเป็นนิสัย แต่นั่นไม่ใช่เป็นการวางท่าให้ดูโก้เก๋แต่อย่างใด ท่าเดินแปลก ๆ ของเขาทำให้นึกถึงคันดะ ฮะกุริว ศิลปินนักอ่านหนังสือประกอบการแสดงรุ่นที่ 5 ผู้มีแขนข้างหนึ่งพิการ ถ้าจะว่ากันตามจริง อะเกะชิมีบุคลิกหลายอย่างไม่ผิดอะไรกับฮะกุริวศิลปินเอกแห่งยุคผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือน้ำเสียง...สำหรับผู้อ่านที่ไม่เคยเห็นศิลปิน ฮะกุริวรุ่นที่ 5 ก็ขอให้นึกถึงหน้าคนรู้จักสักคนที่ถึงจะไม่รูปหล่อไปทุกกระเบียดนิ้วแต่ก็ดูดีมีไมตรีจิตและที่สำคัญคือฉลาดหลักแหลมระดับอัจฉริยะเลยทีเดียว...ทว่าอะเกะชิผมยาวกว่าและยุ่งเหยิงอยู่เสมอ ยิ่งกว่านั้นยังติดนิสัยเกาหัวเวลาพูดอะไรติดพันซึ่งทำให้ยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก ส่วนเครื่องแต่งกายนั้นดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เอาใจใส่เอาเสียเลย ชุดประจำตัวคือกิโมโนผ้าฝ้ายรัดด้วยแถบผ้าโอบิที่เก่าจนเนื้อนิ่มไม่ได้รูปทรง
“มีอะไรรึถึงได้อุตส่าห์มาหาผมถึงที่นี่ ตั้งแต่วันนั้นเราไม่ได้พบกันหลายวันเลยนะ
คดีฆาตกรรมที่เนิน D นั่นไปถึงไหนแล้วล่ะ ดูเหมือนตำรวจจะไม่ได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับคนร้ายเลยไม่ใช่รึ”
อะเกะชิร้องหน้าจ้องตาผม พูดพลางเกาหัวแกรก ๆ ตามนิสัย
“ความจริงที่ผมมาวันนี้ก็เพราะมีอะไรนิดหน่อยจะมาคุยกับคุณเรื่องนี้แหละ” ผมเอ่ยขึ้นหลังจากลังเลอยู่นานว่าจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างไรดี
“ตั้งแต่วันนั้น ผมลองคิดพิจารณาความเป็นไปได้หลาย ๆ ทาง และไม่ใช่คิดอย่างเดียวนะ ผมยังไปตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุเหมือนนักสืบเลยด้วย และในที่สุดผมก็ได้ข้อสรุป จึงจะมารายงานให้คุณได้รับรู้ไว้ด้วย...”
“โห...เยี่ยมมากคุณ อยากฟังรายละเอียดมากเลย”
ผมตาไวพอที่จะจับความดูแคลนเจือความเชื่อมั่นในตัวเองแบบว่า...นายน่ะรึจะไปรู้อะไร...ที่วาบขึ้นมาในสายตาของเขาได้ถนัด และนั่นเป็นพลังกระตุ้นให้ใจผมที่กำลังลังเลอยู่นั้นกลับลุกขึ้นสู้ ผมเริ่มขยายความอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์ เขาสนิทกับสารวัตรโคะบะยะชิที่รับผิดชอบคดีนั้น ผมจึงได้รู้รายละเอียดทางด้านตำรวจผ่านทางนักหนังสือพิมพ์คนนี้ แต่ดูเหมือนตำรวจจะยังวางแผนสืบสวนกันไม่สำเร็จ แม้จะพยายามสืบหาหลักฐานกันอย่างไม่วางมือ แต่ก็จับจุดสำคัญไม่ได้เอาเลย สวิตช์ไฟที่ตำรวจเก็บเอาไปก็ไม่บอกอะไรสักอย่าง เพราะตรวจจนแน่ใจแล้วว่าลายมือที่ติดอยู่นั่นเป็นของคุณคนเดียว ตำรวจคิดว่าลายมือของคุณปิดบังลายมือคนร้ายจนหมด เรื่องมันเป็นเช่นนี้แหละ ผมเห็นว่าตำรวจกำลังตกที่นั่งลำบากก็เลยตั้งใจที่จะเข้าไปสืบให้มันจริงจังขึ้นจนได้ข้อสรุป คุณคิดซิว่าข้อสรุปของผมคืออะไร และทำไมผมถึงมาพูดกับคุณที่นี่ก่อนไปแจ้งตำรวจ
เรื่องนั้นพักไว้ก่อน ฟังนี่นะครับคือตั้งแต่วันเกิดเหตุผมจับความผิดสังเกตได้อย่างหนึ่ง คุณคงจำคำให้การของนักศึกษาสองคนเกี่ยวกับสีกิโมโนของคนร้ายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งบอกว่าสีขาวส่วนอีกคนบอกว่าสีดำ ตาของมนุษย์เรานั้นแม้จะบอกว่าเป็นคนตาไม่ดีสักแค่ไหน แต่การเห็นสีขาวกับดำกลับกันแบบนี้มันไม่แปลกหรือยังไง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตำรวจตีความเรื่องนี้ว่ายังไง แต่ผมคิดว่านักศึกษามองไม่ผิดทั้งสองคน คุณรู้ไหม นั่นเป็นเพราะคนร้ายใส่กิโมโนลายทางขาวสลับดำ...คือ กิโมโนแบบลำลองลายขีดเส้นดำหนา ๆ ในแนวตรงบนพื้นขาวที่ตามโรงแรมญี่ปุ่นจัดไว้ให้ใส่นั่นยังไง...แล้วทำไมคนหนึ่งเห็นเป็นสีดำคนหนึ่งเห็นเป็นสีขาวสะอาด ก็อย่างนี้นะ อย่างลืมว่านักศึกษาสองคนมองผ่านบานลับแลที่เป็นลูกกรง ดังนั้นในวินาทีที่คนหนึ่งมองไปนั้นซี่ลูกกรงบังลายขีดสีดำพอดีเราจึงเห็นเป็นสีขาว และจากมุมมองของอีกคนหนึ่ง ซี่ลูกกรงบังพื้นผ้าสีขาวพอดีจึงมองเห็นเป็นสีดำ มันอาจจะดูเป็นการบังเอิญอย่างประหลาดแต่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นไปได้ และกรณีเช่นนี้เราไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นได้
ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าคนร้ายใส่กิโมโนลายทางสีดำสลับขาว แต่เพียงเท่านั้นยังเพียงพอที่จะช่วยให้ตำรวจสามารถตีวงการสืบสวนให้แคบเข้ามาได้ หลักฐานที่สองคือลายนิ้วมือบนสวิตช์ไฟ ผมติดต่อผ่านทางเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ขอให้สารวัตรโคะบะยะชิตรวจสอบลายนิ้วมือบนสวิตช์ให้ละเอียดอีกครั้ง...ลายนิ้วมือของคุณนั่นแหละ...ผลจากการตรวจสอบทำให้ผมมั่นใจได้ในที่สุดว่าผมคิดไม่ผิดเลยจริง ๆ คุณมีแท่นฝนหมึกไหม ผมขอยืมหน่อย”
แล้วผมก็ทำการทดลองให้ดูตรงนั้น ขั้นแรกคือพอขอยืมแท่นฝนหมึกมาได้ผมก็เอานิ้วโป้งขวาจุ่มน้ำหมึกบาง ๆ ประทับลายนิ้วมือตนเองลงบนกระดาษที่เอาติดตัวมาด้วย ผมรอจนหมึกแห้งแล้วจึงใช้นิ้วเดิมจุ่มน้ำหมึก ตั้งใจเปลี่ยนทิศทางของนิ้วแล้วพิมพ์ทับลงไปบนรอยแรก จึงได้รอยนิ้วมือสองชั้นที่เหลื่อมล้ำกันอยู่อย่างชัดเจน
“ตำรวจตีความว่า ลายนิ้วมือของคนร้ายหายไปเพราะถูกลายนิ้วมือของคุณซ้อนทับ แต่คุณก็เห็นจากการทดลองนี้แล้วว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปไม่ได้ ตราบใดที่ลายนิ้วมือของคนเราประกอบด้วยเส้น ดังนั้นไม่ว่าจะกดนิ้วลงไปแรงเพียงใด ร่องรอยของลายนิ้วมือที่ประทับอยู่เดิม ก็ต้องเหลืออยู่ระหว่างเส้นลายนิ้วมือที่ประทับลงไปทีหลัง ถ้าลายนิ้วมือที่ประทับไว้ก่อนและหลังเหมือนกันทุกอย่างและประทับลงไปในแนวเดียวกันพอดีเส้นลายนิ้วมือก็จะทับกันสนิท เส้นลายนิ้วมือที่ประทับลงไปทีหลังก็จะซ่อนเส้นที่ประทับก่อนหน้าไว้ได้ แต่เรื่องแบบนั้นคงเป็นไปไม่ได้และถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่ทำให้ข้อสรุปของผมเปลี่ยนไป
หากคนปิดสวิตช์เป็นฆาตกร ลายนิ้วมือของมันจะต้องเหลือติดอยู่บนสวิตช์ ผมคิดว่าตำรวจคงมองไม่เห็นเส้นลายนิ้วมือที่ประทับอยู่ก่อนซึ่งเหลือติดอยู่ระหว่างเส้นลายนิ้วมือของคุณ จึงได้ไปตรวจดูด้วยตาตนเองแต่ก็ไม่พบร่องรอยเช่นนั้นเลยสักนิดเดียว นั่นหมายความว่าลายนิ้วมือที่ประทับอยู่บนสวิตช์นั้นเป็นของคุณคนเดียวทั้งเมื่อปิดไฟและเปิดขึ้นอีกครั้งในภายหลัง---ทำไมจึงไม่มีลายนิ้วมือของคนในร้านหนังสือเก่าติดอยู่เลยนั้นผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน บางทีเขาอาจเปิดไฟห้องนั้นทิ้งไว้ตลอด ไม่เคยปิดเลยก็เป็นได้
คุณฟังเรื่องที่ผมพูดมาทั้งหมดแล้วคงเข้าใจนะว่าหมายความว่ายังไง ผมคิดของผมอย่างนี้แหละ ผมสันนิษฐานว่าผู้ชายในชุดกิโมโนลายทางหยาบ ๆ ---อาจเป็นเพื่อนสมัยเด็กของหญิงผู้ตายและคงอกหัก---พอรู้ว่าเจ้าของร้านหนังสือเก่าออกไปเปิดแผงลอยขายหนังสือที่ตลาดนัดตอนกลางคืน จึงบุกเข้าไปฆ่าหล่อนระหว่างที่ผัวไม่อยู่ ที่ไม่มีเสียงร้องและร่องรอยการต่อสู้นั้นต้องเป็นเพราะหล่อนรู้จักชายผู้นั้นดีแน่นอน และเมื่อชายผู้นั้นฆ่าหล่อนได้ดังใจแล้วจึงปิดไฟเสียก่อนเร้นกายออกจากห้องเพื่อให้การพบศพล่าช้าออกไป แต่เขาก็พลาดจนได้เพราะไม่รู้ว่าบานช่องลับแลเปิดอยู่ มาสังเกตเห็นตอนจะกลับออกไปจึงตกใจแล้วเดินไปปิด ก็เผอิญเป็นเวลาเดียวกันกับที่นักศึกษาสองคนที่หน้าร้านมองเข้าไปเห็นเข้า จากนั้นคนร้ายก็แฝงกายออกมาจากห้อง พอออกมาแล้วเกิดฉุกคิดขึ้นได้ว่าตอนปิดไฟลายนิ้วมือของตนเองจะต้องติดอยู่กับสวิตช์แน่จะต้องลบออกให้หมด แต่จะลอบเข้าไปในห้องอีกครั้งแบบเดียวกับตอนเข้าไปนั้นคงไม่ได้เพราะเสี่ยงอันตรายมาก คนร้ายคิดอุบายแยบยลขึ้นมาได้คือเขาจะต้องเป็นคนพบเหตุการณ์ฆาตกรรมนั้นเสียเอง เพราะการกดสวิตช์เปิดไฟด้วยมือตนเองนั้นนอกจากจะช่วยขจัดข้อสงสัยเรื่องลายนิ้วมือได้อย่างแนบเนียนมากแล้ว ยังไม่มีใครคิดเลยว่าคนพบศพจะเป็นฆาตกรไปได้ยังไง นับเป็นผลประโยชน์สองชั้นเลยทีเดียว ฆาตกรตัวจริงยืนมองการทำงานของตำรวจอย่างหน้าตาเฉยแถมยังกล้าให้การเป็นพยานเสียด้วย ผลของการสืบสวนเป็นไปตามที่เขาคาดคิด เวลาผ่านไปห้าวันก็แล้วสิบวันก็แล้วยังไม่เห็นมีใครมาจับกุมเขาเลย”
รู้ไหมว่าอะเกะชิ โคะโกะโรทำหน้าอย่างไรเมื่อได้ฟังเรื่องที่ผมพูด ผมคาดว่าสีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไประหว่างฟังหรือไม่ก็พูดขัดอะไรขึ้นมา แต่แปลกมากที่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย ถึงจะรู้ว่าเป็นคนเก็บความในใจได้ดีเพียงไร แต่นี่มันเยือกเย็นเกินไปเสียแล้ว อะเกะชิทำหน้าเฉยนิ่งฟังเงียบ ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ พลางเกาหัวที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วตามความเคยชิน ผมชำเลืองดูอิริยาบทของเขาด้วยความระอาใจว่าเจ้านี่จะยโสไปถึงไหน และพูดต่อไปถึงประเด็นสุดท้าย
“คุณคงอยากถามว่า แล้วฆาตกรเข้ามาทางไหนและออกไปทางไหน ใช่ครับถ้าประเด็นนี้ไม่ประจักษ์ชัดเจนขึ้นมาใครก็ไม่มีวันคลี่คลายปริศนาทั้งหมดได้ แต่โชคไม่ดีเลยสำหรับฆาตกรเพราะผมสืบเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่งแล้วด้วย ผลการสืบสวนของตำรวจในคืนนั้นคือไม่พบร่องรอยที่ฆาตกรหนีออกไปเลย แต่ตราบใดที่เกิดฆาตกรรมขึ้นมันก็ต้องมีการเข้าออกของฆาตกรเป็นธรรมดา ที่ไม่พบร่องรอยนั้นคิดได้อย่างเดียวคือมันแนบเนียนจนหลงหูหลงตาเจ้าหน้าที่ไปได้ ผมเห็นตำรวจก็พยายามกันอย่างหนักหนาสาหัสเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่สู้นักศึกษาตัวเล็ก ๆ อย่างผมยังไม่ได้
อะไรกัน...เรื่องหญ้าปากคอกแค่นั้นก็ยังไม่สะดุดใจกันเลย ก่อนอื่นเราไม่ต้องสงสัยเพื่อบ้านใกล้เคียงได้แล้วเพราะตำรวจสืบสวนกันจนแน่ใจขนาดนั้นคงไม่พลาด ผมจึงคิดว่าฆาตกรรายนี้คงจะเดินผ่านไปในลักษณะที่ถึงใครจะเห็นก็ไม่รู้สึกว่านั่นคือคนร้าย และถึงจะมีคนเห็นเขาก็ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร คือคน ๆ นี้อาจใช้ประโยชน์จากจุดบอดในความระแวดระวังของคนเราที่ว่า---ตายังมีจุดบอดได้ การระมัดระวังนั้นถึงจะรอบคอบเพียงใดก็มีจุดบอดได้เหมือนกัน---ในการซ่อนตัวเขาเองเหมือนกับนักมายากลที่สามารถซ่อนของใหญ่ ๆ ต่อหน้าต่อตาคนดูก็เป็นได้ ตรงนี้แหละที่ผมจับตามองไปที่ร้านโซบะชื่ออะซะฮิยะที่อยู่ถัดคูหาข้างร้านหนังสือเก่าไปคูหาหนึ่ง”
ด้านขวาของร้านหนังสือเก่ามีร้านนาฬิกาและร้านขนมเรียงกันไปตามลำดับส่วนทางด้านซ้ายคือร้านถุงเท้าและร้านโซะบะ
“ผมไปที่ร้านโซะบะแล้วถามคนที่นั่นว่า เมื่อประมาณสองทุ่มของคืนเกิดเหตุมีผู้ชายสักคนมาขอเข้าห้องสุขาบ้างหรือเปล่า ร้านโซะบะอะซะฮิคุณคงรู้จัก ห้องสุขาอยู่บนพื้นดินอันแน่นระดับเดียวกับร้านอยู่ติดกับประตูหลัง ถ้าทำเป็นเดินไปห้องสุขาก็สามารถออกทางประตูหลังแล้วก็กลับเข้ามาได้โดยไม่มีพิรุธ---ร้านไอศกรีมที่อยู่ถึงมุมตรอกก็ไม่มีทางเห็นได้---และยิ่งเป็นร้านโซะบะด้วยแล้ว การขอเข้าห้องสุขาเป็นเรื่องธรรมดามาก ผมเข้าไปถามดูปรากฏว่าวันนั้นคุณนายไม่อยู่เหลือแต่ตาผัวเฝ้าร้านยิ่งเป็นโอกาสดีใหญ่ ช่างเป็นฤกษ์ดีเสียเหลือเกินใช่ไหมคุณ
จริงอย่างที่คาด เจ้าของร้านโซะบะอะซะฮีบอกว่ามีคนมาขอเข้าห้องน้ำในเวลาที่ผมบอกพอดี แต่น่าเสียดายที่เขาจำหน้าและลายเสื้อกิโมะโนะของชายคนนั้นไม่ได้เลย---ผมรีบรายงานเรื่องนี้ผ่านเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ไปยังสารวัตรโคะบะยะชิ และดูเหมือนสารวัตรจะเข้าไปตรวจสอบร้านโซะบะด้วยตนเอง แต่จากนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า---”
ผมหยุดนิดหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้อะเกะชิพูดอะไรบ้าง เพราะเห็นว่า ณ จุดนี้เขาน่าจะมีอะไรชี้แจงสักอย่าง แต่เขาก็ยังเกาหัวยุ่งเหยิงและอยู่ในอาการสงบเฉยเช่นเดิม จนผมต้องตัดสินใจเปลี่ยนท่าทีจากเดิมที่เป็นการพูดจาแบบให้เกียรติกันมาเป็นการพูดแบบตรงไปตรงมา
“อะเกะชิ คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม หลักฐานที่แน่นหนาบ่งชี้ไปที่ตัวคุณแล้วนะ พูดตามตรงจากส่วนลึกของหัวใจเลยว่าถึงยังไงผมก็ยังไม่ปักใจสงสัยคุณ แต่ในเมื่อหลักฐานมันพร้อมเพรียงถึงขนาดนี้ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ...ผมพยายามสืบว่าจะมีใครสักคนในห้องแถมชุดนั้นมีกิโมโนชุดลำลองลายขีดดำขาวเส้นหนา ๆ บ้างหรือไม่ แต่ก็ไม่มีสักคน มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะถึงจะเป็นกิโมะโนะแบบลำลองลายทางเหมือนกัน แต่คนที่ใส่กิโมโนลายทางชนิดที่ทาบพอดีกับลูกกรงช่องลับแลนั้นได้ก็ต้องดูแปลกสะดุดตาไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นกลอุบายเกี่ยวกับลายนิ้วมือก็ดี อุบายการขอเข้าห้องสุขาของร้านโซะบะก็ดี ล้วนแต่แยบยลแนบเนียน ชนิดที่ไม่มีใครสามารถคิดทำได้นอกจากนักวิชาการอาชญากรรมวิทยาอย่างคุณ ที่น่าสงสัยที่สุดคือ ทั้ง ๆ ที่คุณเองเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผู้ตาย แต่ตอนที่มีการสอบปากคำเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของหล่อน คุณได้แต่ยืนฟังอยู่ ข้าง ๆ โดยไม่เอ่ยปากถึงเรื่องนี้เลย มันตลกอยู่นะ
เอาละ ทางรอดเดียวสำหรับคุณคือพยานหลักฐานที่จะยืนยันที่อยู่ของตอนเกิดเหตุ (Alibi) ซึ่งคุณไม่มีแน่นอน จำได้ไหมระหว่างกลับบ้านด้วยกันคืนนั้นผมถามคุณว่าก่อนมาที่คาเฟ่ฮะกุไบเค็นคุณอยู่ที่ไหน แล้วคุณบอกว่าเดินเล่นอยู่แถวนั้นราวชั่วโมงนึง ถึงจะมีคนเห็นคุณเดินอยู่แถวนั้นจริง แต่ระหว่างเดินอยู่คุณอาจหลบไปขอเข้าห้องสุขาที่ร้านโซะบะก็ได้ใครจะรู้ อะเกะชิ ผมพูดผิดตรงไหนบ้างหรือเปล่า ว่ายังไง ถ้าเป็นไปได้ขอฟังคำแก้ตัวของคุณสักหน่อยเถิด”
ผู้อ่านที่รัก เมื่อถูกผมต้อนเข้ามุมขนาดนี้แล้ว รู้ไหมว่า อะเกะชิ โคะโกะโร คนประหลาดผู้นี้ทำอย่างไร...