จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
5
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อิซุมิยะมะ โทระโนะซุเกะ นักดาบแห่งย่านคะงุระซะกะเดินลอดซุ้มประตูบ้านเดินลอดประตูรั้วไม้กระดานทาสีดำเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์ไคชูที่ฮิงะวะเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ใครขอแบ่งปันแสงแห่งปัญญาจากนักปราชญ์ผู้เฒ่าผูัอุดมไปด้วยประสบการณ์มีความสำคัญต่อการเมืองของประเทศตั้งแต่ยุคสมัยของชาตินักรบซามุไรมาจนถึงยุคปฏิรูปประเทศเป็นรัฐสมัยใหม่เช่นในปัจจุบัน

คะสึไคชูผู้บุกเบิกการเดินเรือยุคใหม่ของญี่ปุ่นที่เคยผ่านชีวิตทรหดอดทนของลูกทะเลและผ่านประสบการณ์บนท้องทะเลมาแล้วอย่างโชกโชนทั้งในเขตน่านน้ำญี่ปุ่นและต่างแดน ยังอดไม่ได้ที่ระทึกใจไปกับเรื่องราวการเผชิญโชคอันผาดโผนที่จบลงด้วยเหตุฆาตกรรมของเรือโชริวมะรุครั้งนี้ เมื่อฟังนักดาบร่างใหญ่เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบผู้เฒ่าก็วางมีดเล่มน้อยที่ใช้คัดเลือดร้ายทิ้งตามวิธีบำบัดโรคแผนโบราณของตะวันตกลงกับที่ของมันแล้วถามขึ้นว่า
“เจ้าโทระ นางคินเมียคนดำน้ำที่ว่านั่นนะสวยไหม”
“เด็ดดวงเลยละขอรับ พวกนางดำน้ำปกติก็หน้าจืด ๆ บางคนก็ถึงขนาดดูไม่ได้ แต่นางนี่ถ้าให้อยู่ในกลุ่มนางดำน้ำสัก 10 คน เป็นต้องโดดเด่นเปล่งประกายออกมาทีเดียวเลยละขอรับ รูปร่างก็เต่งตึง ส่วนเว้าส่วนโค้งไม่มีที่ติ”
“เอาละพอได้แล้ว” ไคชูปราม แล้ววินิจฉัยรูปคดีว่าดังนี้
“กัปตันริเฮเป็นนักผจญภัยผู้กล้าหาญและทรนงในศักดิ์ศรี แม้จิตใจจะเข้มแข็งเพียงไรแต่ความเป็นชาติชายวัยฉกรรจ์ย่อมต้องหวั่นไหวไปกับความงามอันเย้ายวนแห่งสตรี ทั้งเมื่อได้เสพสุราอารมณ์ก็ย่อมผ่อนคลายเพริดแพร้วใคร่ที่จะเล่นสนุกไปกับใคร ๆ นี่ถ้ารู้สึกตัวถอยกลับออกมาสักก้าวหนึ่งก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ที่ไหนได้พอพวกที่มาร่วมดื่มในห้องกัปตัน อันมีเจ้าหนุ่มคิจินักดำน้ำกับนางเมีย ทะเกะโซนายเรือดำน้ำ และอิมะมุระล่ามประจำเรือกลับออกไปโดยพวกผู้ชายชวนกันไปดื่มต่อที่ห้องใหญ่กับลูกเรือนั้นเอง กามกิเลสก็เริ่มออกฤทธิ์เข้าคุมบังเหียนหันเหให้กัปตันริเฮลอบเข้าไปทำอะไร ๆ ในห้องส่วนตัวของนางคินอันเป็นจุดเริ่มต้นของวิบัติกรรม ทางด้านเจ้าหนุ่มคิจิผัวนางคินที่ไปดื่มต่อในห้องใหญ่ พอเมาได้ที่และพวกลูกเรือพูดถึงนางเมียของมันทำนองทะลึ่งตึงตัง เจ้าคิจิเป็นนักดำน้ำจิตใจอ่อนไหวไม่เข้าใจอารมณ์ตลกโปกฮาเถื่อนทะลึ่งของพวกลูกเรือจึงทนอยู่ได้ไม่นานจึงล่าถอยจากห้องใหญ่กลับห้อง และพอมาถึงหน้าห้องก็ประจันหน้ากับกัปตันริเฮที่กำลังเปิดประตูออกมาจากห้องพักของมันกับนางคิน ทางด้านเจ้าคิจินั้น ความที่มันนับถือกัปตันริเฮในฐานะผู้มีอำนาจเต็มบนเรือลำนี้และเป็นผู้นำที่ดีพร้อมปราศจากข้อบกพร่องอาจไม่คิดไปทางด้านร้ายในทันทีทันใด แต่กัปตันริเฮคงตกใจแทบสิ้นสติไปเลยทีเดียว ครั้นจะปล่อยให้เจ้าคิจิกลับเข้าไปในห้องความต้องแตกแน่ กัปตันคนดีจึงใช้ความฉลาดที่เหนือกว่ากลบเกลื่อนความน่าสงสัยที่ตรงนั้นแล้วล่อเจ้าหนุ่มขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วผลักมันตกทะเลไป นั่นคือเหตุการณ์ที่เจ้าคินตะลูกเรือที่แอบขึ้นไปเมาหลับอยู่บนดาดฟ้าลืมตาขึ้นมาเห็น ข้าเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลยไม่รู้รายละเอียดแต่สถานการณ์โดยทั่วไปคงไม่ผิดไปจากนี้หรอกนะเจ้าโทระ” ไคชูวินิจฉัยต่อ
“หลังจากนั้นกัปตันริเฮก็กลับห้องดื่มเหล้าที่เหลือย้อมใจจนหมดแล้วก็หลับพับไปกับเก้าอี้ นางคินเป็นหญิงฉลาดแม้จะเจ็บช้ำที่โดนกัปตันใช้กำลังข่มขืนนางก็ไม่เอาแต่นอนฟูมฟาย ฉวยฉมวกขึ้นมากระชับไว้กับมือย่องกริบไปที่ห้องกัปตัน พอเห็นกัปตันริเฮนอนหลับสนิทอยู่นางก็แทงด้วยฉมวกทีเดียวตายคาที่ หญิงดำน้ำญี่ปุ่นมีชื่อเรื่องการใช้ฉมวก เก่งขนาดถือฉมวกมือหนึ่งดำน้ำลงไปแทงปลาขึ้นมาได้ง่าย ๆ ไม่ผิดอะไรกับเวลาที่แกเอาตะเกียบคีบปลาเจ้าปากเลยละเจ้าโทระเอ๊ย เจ้ามะสึที่อยู่ห้องข้างกัปตันไม่ได้ยินเสียงนางคินออกจากห้องพักของตัวของนาง ลอบเข้าไปในห้องกัปตันริเฮ แทงเขาตายแล้วเปิดตู้เซฟขโมยไข่มุกเม็ดใหญ่กลับห้อง จึงนึกว่าเป็นการกระทำของผู้ชายที่เดินลงมาจากดาดฟ้า จนกระทั่งถึงวันนี้เจ้ามะสึยังฝังใจอยู่ว่าผู้ชายคนนั้นคือคิจิผัวนางคินเพราะมันไม่รู้ว่าเจ้านั่นถูกผลักลงทะเลไปแล้ว มันจึงเวียนไปค้นบ้านนางคินเวลาที่นางไม่อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหาไข่มุกใหญ่สองเม็ด เจ้ามะสึไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะได้ครองไข่มุกเม็ดใหญ่เกินกว่าไข่มุกใด ๆ ในตำนานที่เลอค่ากว่าอัญมณีทั้งปวงในโลกตะวันตก เพราะไข่มุกนั้นอยู่ในหอยมุกที่มันเก็บขึ้นมาจากท้องทะเลกับมือและอาจกลายเป็นตำนานไข่มุกของญี่ปุ่นในอนาคต”

โทระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่สังกัดคณะพรรคนักสืบชินจูโรใช้เวลาเล่าเรื่องการเผชิญโชคของ “โชริวมะรุ” ที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรมตั้งแต่ต้นจนจบและรับส่วนแบ่งภูมิปัญญาจากคะสึไคชู ตั้งแต่เช้าตรู่จนใกล้เที่ยงซึ่งเป็นเวลานัด ดีที่คฤหาสถ์ไคชูอยู่ไม่ไกลชิมบาชิจึงไปถึงทันเวลาอย่างเฉียดฉิวด้วยรถลาก พอดีกับที่คนอื่น ๆ ที่นัดไว้มากันพร้อมหน้าและกำลังเริ่มไต่สวนกันทำให้โทระไม่มีเวลาสอดแทรกคำวินิจฉัยจากดวงตาแห่งสมองของไคชูต่อที่ชุมนุม เพราะแค่นั่งลงเช็ดเหงื่อเขาก็ตอบโต้กันไปไกลแล้ว ชินจูโรหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก
“วันนี้มีนายอิมะมุระคนเดียวที่มาไม่ได้ ฉันจะอธิบายเหตุผลให้ทราบในภายหลัง แต่เขาได้ตอบคำถามเอาไว้ในกระดาษแผ่นนี้ซึ่งฉันจะใช้ประกอบในการสืบหาฆาตกรตัวจริงพร้อมกันไปกับคำให้การของทุกคน เข้าใจนะครับ”
นักสืบรูปงามก้มลงอ่านข้อความในกระดาษเป็นเชิงทบทวนอีกครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นถามนางคินว่า
“เมื่อวานนี้ที่หล่อนบอกว่าไม่มีผู้ชายเข้าไปในห้องของหล่อนในคืนวันเกิดเหตุนั้นน่ะ อ่านคำตอบของนายอิมะมุระแล้วดูเหมือนจะไม่จริง เพราะดูเหมือนว่านายอิมะมุระจะลอบเข้าไปในห้องหล่อนตอนสี่ทุ่ม จริงไหม”
นางคินตั้งท่าปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่เมื่อมองขึ้นไปเห็นสีหน้าอันสงบนิ่งที่ฉายแววว่าล่วงรู้ทุกสิ่งอย่างถ่องแท้ของชินจูโรและสัมผัสกับสายตาคมงามที่มองลงมาอย่างคาดคั้น นางก็คอตกหน้าแดงซ่านไปอึดใจหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นตอบว่า
“ใช่เจ้าค่ะ แต่ตอนแรกอิฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริง ๆ เพราะกำลังหลับสนิท มารู้สึกตัวว่าคนที่เข้ามานอนด้วยไม่ใช่ผัวก็เมื่ออยู่ในสภาพที่ไม่อาจดิ้นรนขัดขืนได้แล้ว จนกระทั่งบัดนี้อิฉันรู้แต่ว่าคนที่เข้ามาสวมรอยนอนกับอิฉันคืนนั้นเป็นชายแปลกหน้าที่ไม่ใช่เจ้าคิจิผัวอิฉัน เพิ่งมารู้เมื่อท่านบอกเดี๋ยวนี้เองเจ้าค่ะว่าคน ๆ นั้นคือนายอิมะมุระ”
ชินจูโรขัดขึ้นเมื่อนางคินทำท่าจะพูดอะไรต่อไป
“หล่อนรับแค่นี้พอแล้ว ฉันอยากรู้แค่ว่าเจ้ามะสึไม่ได้หูแว่วไปว่ามีคนเข้ามาในห้องหล่อน และทีนี้ฉันก็รู้แล้วว่าคนที่เข้ามาในห้องหล่อนคืนนั้นไม่ใช่เจ้าคิจิผัวหล่อนแต่เป็นนายอิมะมุระ คำตอบของนายอิมะมุระมีอยู่ตอนหนึ่งที่สำคัญมากคือ นายอิมะมุระสารภาพว่าเขาเป็นคนผลักเจ้าคิจิผัวหล่อนตกทะเลแล้วเดินกลับห้อง พอผ่านห้องกัปตันริเฮก็พบว่ากัปตันถูกฆ่าสิ้นใจตายอยู่แล้ว และตู้เซฟก็เปิดอ้าอยู่แล้วด้วย ที่เจ้ามะสึซึ่งอยู่ข้างห้องกัปตันไม่ได้ยินเสียงคนเข้ามาฆ่ากัปตันนั้นไม่แปลก ตอนที่นายอิมะมุระลงมาจากดาดฟ้านั้นกัปตันถูกฆ่าสิ้นใจตายไปแล้วและอยู่ในห้องกัปตันประมาณ 30 นาทีตรงตามที่เจ้ามะสึให้การเอาไว้ ที่อยู่นานขนาดนั้นก็เพราะมัวแต่หาเงื่อนงำของไข่มุกสำคัญเม็ดนั้นน่ะซี พอเห็นตู้เซฟเปิดอยู่เขาก็แน่ใจแล้วว่าต้องมีคนขโมยเอาไปก่อนแล้วแน่ เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่การพยายามสืบหาร่องรอยว่าใครเป็นคนขโมยไปซึ่งก็เป็นธรรมดาที่เขาจะคิดว่าฆาตกรคือคนขโมย ระหว่างที่นายอิมะมุระกำลังค้นโน่นค้นนี่หาหลักฐานเพื่อมัดตัวฆาตกรโจรกรรมอยู่นั้นเอง เขาก็ค้นพบสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อน นั่นก็คือ...ไข่มุกเม็ดใหญ่ที่เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาแล้วนั้น ซุกซ่อนอยู่ในในช่องใต้ส้นรองเท้าของกัปตันริเฮผู้ตายนั้นเอง ส้นรองเท้าคงหลุดออกเมื่อกัปตันถีบขาออกไปอย่างแรงตอนถูกแทง นาย อิมะมุระพิจารณารองเท้าอย่างละเอียดจึงเข้าใจได้ว่ากัปตันริเฮคงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุเช่นนี้ จึงไปให้ช่างรองเท้าทำส้นรองเท้าสองชั้นเอาไว้เป็นช่องลับสำหรับซ่อนอัญมณีล้ำค่า ไข่มุกเม็ดใหญ่เป้งทั้งขาวและดำอยู่ในช่องลับใต้ส้นรองเท้าทั้งสองเม็ด นายอิมะมุระไม่ได้เก็บอัญมณีเลอค่าทั้งสองเม็ดใส่กระเป๋าตนเอง แต่กลับเก็บใส่ช่องลับใต้ส้นรองเท้าของผู้ตายปิดเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นเป็นพิรุธ เพราะถ้าเก็บไข่มุกสองเม็ดเอาไปครองแล้วเกิดถูกจับได้เขาจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมไปด้วยแน่นอน และคงคิดว่าจะมีเวลาย้อนกลับไปเอาได้เมื่ออะไร ๆ เรียบร้อยลงตัวแล้วในภายหลัง อิมะมุระดับเทียนออกมาที่เฉลียงแล้วงับประตูห้องกัปตันปิดไว้ แต่เอ๊ะ...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วนี่ กัปตันริเฮสิ้นชีพเสียแล้วอย่างนี้ไม่มีอะไรต้องกลัวเกรงกันอีก แล้วที่ฆ่าเจ้าคิจิหน้าโง่ก็เพราะหวังชิงนางไม่ใช่รึ นายอิมะมุระระงับใจที่ลิงโลดเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปจึงผลักประตูเข้าห้องนางคิน ทีนี้พอเสร็จกิจสมหวังและส่างเมาก็เกิดกลัวขึ้นมา แทนที่จะเข้าไปนอนในห้องตัวเองก็กลับทำหน้าตาเฉยเข้าไปในห้องใหญ่ที่ลูกเรือเมานอนกลิ้งหลับเงียบกันไปหมดแล้วหาที่ซุกหัวนอนหลับไป ผลสุดท้ายเมื่อเจ้ายะมะโตะพ่อครัวทำอวดดีตั้งตัวเป็นตัวแทนกัปตันเข้าไปยึดครองห้องส่วนตัวของกัปตันริเฮ นายอิมะมุระก็หมดโอกาสที่จะเข้าไปเอาไข่มุกเม็ดใหญ่จากส้นรองเท้ามาครอบครอง อัญมณีล้ำค่าที่ไม่มีผู้ใดในโลกนอกเหนือจากคณะพรรคบนเรือ“โชริวมะรุ” มีบุญพอที่จะได้เห็นก็กลับคืนสู่ท้องทะเลพร้อมกับศพของกัปตันริเฮที่จัดขึ้นอย่างสมเกียรติของลูกทะเลไปด้วยประการฉนี้”
ชินจูโรยิ้มน้อย ๆ ขณะกวาดสายตาไปยังกลุ่มคนที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้น แล้วว่า
“เอาละทุกคน คราวนี้เราก็รู้กันแล้วว่าคนฆ่ากัปตันริเฮไม่ได้ไข่มุกใหญ่สองเม็ดไปครองตามแผนฆ่ากัปตันเพื่อชิงไข่มุก เพราะไข่มุกไม่ได้อยู่ในตู้เซฟอย่างที่คิด ใครรู้บ้างว่าฆาตกรคิดยังไง ฆาตกรคิดหรือว่ามีใครเข้ามาขโมยเอาไปก่อนแล้ว ไม่มีทางแน่นอนเพราะตั้งแต่ได้ไข่มุกสองเม็ดใหญ่นั้นมากัปตันดูเหมือนจะไม่ได้ออกไปจากห้อง ใครก็ตามจึงไม่มีโอกาสเข้าไปขโมยได้โดยที่กัปตันไม่รู้สึกตัว ฆาตกรหัวขโมยคิดว่าถ้าไข่มุกไม่ได้อยู่ในตู้เซฟนั้นไม่ใช่ว่าถูกขโมย แต่มันไม่ได้อยู่ในนั้นมาตั้งแต่ต้น ฆาตกรได้ได้คิดดังนั้นตอนที่เปิดตู้เซฟแล้วไม่พบไข่มุก” แต่มันมาคิดทบทวนเมื่อใจเย็นขึ้นในภายหลังจนได้ข้อสรุปอย่างที่ฉันบอก”
นักสืบรูปงามยิ้มและมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง
“ตอนนี้เรารู้กันแล้วว่าไข่มุกสำคัญสองเม็ดกลับลงไปนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ทะเลแล้ว แต่จนถึงวันนี้ไม่มีใครรู้นอกจากนาย อิมะมุระคนเดียว หลังเกิดเหตุแม้แต่เจ้ายะมะโตะจอมอวดดีก็ยังหาไม่เจออย่างนี้ไข่มุกจะต้องถูกใครคนใดคนหนึ่งเอาไปซุกซ่อนไว้อย่างลึกลับที่สุดแน่นอน คนที่สรุปได้เช่นนี้ก็คือฆาตกรคนเดียว คือตอนที่เปิดตู้เซฟแล้วไม่เจอไข่มุกมันต้องคิดว่าไข่มุกจะต้องถูกซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในห้องกัปตันนั้นเอง เมื่อมีคนพบศพกัปตันริเฮและมีการค้นหาไข่มุกในห้องนั้นกันอย่างละเอียดแต่ก็ไม่พบ นั่นหมายความว่าต้องมีใครเข้าไปในห้องกัปตันในช่วงเวลาระหว่างที่มันกลับไปจนถึงตอนที่มีคนพบศพ ซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากนายอิมะมุระคนเดียว นายนั่นเข้าไปในห้องกัปตันริเฮทันทีหลังจากที่ฆาจตกรกลับออกไปและอยู่ในนั้นนานถึง 30 นาที ทว่าฆาตกรไม่รู้ว่าคน ๆ นั้นคืออิมะมุระคิดว่าเป็นเจ้าคิจิผัวนางคิน ผลก็คือตั้งแต่กลับญี่ปุ่นบ้านนางคินถูกรื้อค้นครั้งใหญ่ ๆ ถึง 5 ครั้ง คนที่ไม่รู้ว่าคนที่เข้าไปค้นห้องกัปตันริเฮถึง 30 นาทีคือนายอิมะมุระ แต่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ้าคิจิผัวนางคินมีอยู่คนเดียว นั่นก็คือเจ้ามะสึคนนี้เอง”
คนที่ตะครุบตัวเจ้าคิโยะมะสึเอาไว้ได้ทันท่วงทีคือฮะนะโนะยะหนึ่งในคณะสืบสวนที่จ้องคุมเชิงอยู่ตลอดเวลา อิงงะ ฮะนะโนะยะ นักเขียนนวนิยายเริงรมย์ผู้ถูกมองจากเพื่อนร่วมคณะว่าเป็นนักสืบบ้านนอกสมัครเล่นเก่งเฉพาะการทำหน้าที่เป็นคนตะครุบตัวผู้ร้ายได้ทันการเสมอ ชินจูโรมองไปที่ฆาตกรแล้วพูดเสียงเนิบ ๆ ว่า
“ตอนที่พวกเขาแบ่งไข่มุกกัน เจ้าอ้างว่าแขนยังเหน็บชาอยู่เลยส่งนางเมียมารับไข่มุกแทน ไอ้อาการโรคน้ำหนีบนั่นน่ะเจ้าแกล้งทำมาตั้งแต่ต้นแล้วหรือมิใช่”
เจ้ามะสึตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ท่านขอรับ พอกระผมหยิบไข่มุกจากตัวหอยขึ้นมาดูเท่านั้นก็รู้สึกตัวเกร็งเป็นตะคริวขึ้นมาเหมือนเป็นโรคน้ำหนีบไม่มีผิด รู้สึกจิตใจโหวงเหวงเหมือนความเวทนาระคนสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูกจนในที่สุดก็เป็นลมล้มลงไปน่ะขอรับ อาการน้ำหนีบทุเลาลงด้วยการบำบัดราวสองวัน แต่กระผมแกล้งทำเป็นว่ามือเท้ายังเป็นเหน็บชายังไม่หายดีระหว่างนั้นก็เฝ้าหาจังหวะเข้าไปฆ่ากัปตันริเฮ เหมือนฝันร้ายขอรับ”
นั่นคือคำสารภาพของคิโยะมะสึนักดำน้ำผู้เก่งกาจแห่งคาบสมุทรด้านใต้ของนครหลวง
นางคินหันไปกล่าวขอบคุณนักสืบเอกรูปงาม
“ขอบพระคุณท่านมากนะเจ้าค่ะ ที่กรุณาทำให้นายอิมะมุระบ้าตัณหาคนนั้นสารภาพจนหมดเปลือก”
ชินจูโรฟังแล้วทำท่าเขิน ๆ
“อะไรกัน ฉันก็แค่ทำตรงข้ามกับเมื่อกี้ คือเขียนคำสารภาพของเจ้ามะสึขึ้นมา กดดันให้เขาเผยความจริงเท่านั้นแหละหล่อน วิธีนี้ดูเหมือนเขาจะห้ามใช้ตั้งแต่ปี 1948 แล้วละ เข้าใจนะ”
นักสืบรูปงามไม่ได้พูดออกมา เพราะฟังดูออกจะเป็นการย้อนอดีตสู่อนาคตอย่างไรชอบกลอยู่
*
คะสึไคชูฟังการถอดรหัสคดีไม่มุกสีเลือดที่โทระโนะซุเกะนำมาสาธยายให้ฟัง พยักหน้าช้า ๆ แล้วบอกว่า
“เกินคาดจริง ๆ ใครจะคิดว่านายอิมะมุระเป็นคนฆ่าเจ้าคิจิ และเจ้าหนุ่มคิโยะมะสึเป็นคนฆ่ากัปตันริเฮจริง เจ้ามะสึฆ่ากัปตันแล้วไม่พบไข่มุกในตู้เซฟ ส่วนนายอิมะมุระที่ฆ่าเจ้าคิจิเพื่อชิงนางคินและรู้ที่ซ่อนของไข่มุกก็เหลือเชื่อ ไม่มุกสองเม็ดรอดมือนายอิมะมุระมาได้แล้วกลับคืนไปสู่ท้องทะเลก็ยิ่งประหลาดขึ้นไปอีก เจ้ามะสึไม่ล่วงรู้ความแปลกประหลาดนี้ยังหลงงมงายว่าจะได้พบไข่มุกที่มันเก็บมาด้วยมือกลับคืน เฝ้ารื้อค้นบ้านนางคินจนถึงแก่หายนะก็เป็นเรื่องเกินคาด เท่าที่ข้าได้ยินได้ฟังมา อะไรที่เกี่ยวพันกับอัญมณีล้ำค่านั้นมักจะจบลงอย่างเกินคาดเหลือเชื่อเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่นั่นก็ยังไม่ประหลาดประหลาดเท่าการที่มนุษย์เราประเมินค่าเมล็ดทรายเคลือบมุกขนาดเท่าเม็ดลูกแก้วอุดจุกขวดน้ำมะเน็ดในตัวหอยผิวขรุขระน่าชังให้มีราคาล้ำค่าจนต้องแย่งชิงกันด้วยชีวิต ในโลกเรานี้ไม่มีอะไรที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างประหลาดมหัศจรรย์เท่าค่าของเงินอีกแล้ว โทระเอ๊ย...เจ้าจงเจียมตัวเจียมใจอยู่กับความยากจน อย่าทะเยอทะยานไปกับทรัพย์สินศฤงคารให้ลำบากแก่ตนไปเลย หากได้ยินว่ามีเหมืองเงินเหมืองทองอยู่ที่ไหนก็ระงับจิตใจไม่ให้เพริดแพร้วไปกับเขาเป็นดี”
คำเทศนานี้ฟังดูเกินคาดว่าจะเป็นของคะสึไคชู แต่โทระโนะซุเกะก็ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยใจเคารพที่ฝังใจอยู่เป็นทุน

แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
5
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อิซุมิยะมะ โทระโนะซุเกะ นักดาบแห่งย่านคะงุระซะกะเดินลอดซุ้มประตูบ้านเดินลอดประตูรั้วไม้กระดานทาสีดำเข้าไปในบริเวณคฤหาสน์ไคชูที่ฮิงะวะเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ใครขอแบ่งปันแสงแห่งปัญญาจากนักปราชญ์ผู้เฒ่าผูัอุดมไปด้วยประสบการณ์มีความสำคัญต่อการเมืองของประเทศตั้งแต่ยุคสมัยของชาตินักรบซามุไรมาจนถึงยุคปฏิรูปประเทศเป็นรัฐสมัยใหม่เช่นในปัจจุบัน
คะสึไคชูผู้บุกเบิกการเดินเรือยุคใหม่ของญี่ปุ่นที่เคยผ่านชีวิตทรหดอดทนของลูกทะเลและผ่านประสบการณ์บนท้องทะเลมาแล้วอย่างโชกโชนทั้งในเขตน่านน้ำญี่ปุ่นและต่างแดน ยังอดไม่ได้ที่ระทึกใจไปกับเรื่องราวการเผชิญโชคอันผาดโผนที่จบลงด้วยเหตุฆาตกรรมของเรือโชริวมะรุครั้งนี้ เมื่อฟังนักดาบร่างใหญ่เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบผู้เฒ่าก็วางมีดเล่มน้อยที่ใช้คัดเลือดร้ายทิ้งตามวิธีบำบัดโรคแผนโบราณของตะวันตกลงกับที่ของมันแล้วถามขึ้นว่า
“เจ้าโทระ นางคินเมียคนดำน้ำที่ว่านั่นนะสวยไหม”
“เด็ดดวงเลยละขอรับ พวกนางดำน้ำปกติก็หน้าจืด ๆ บางคนก็ถึงขนาดดูไม่ได้ แต่นางนี่ถ้าให้อยู่ในกลุ่มนางดำน้ำสัก 10 คน เป็นต้องโดดเด่นเปล่งประกายออกมาทีเดียวเลยละขอรับ รูปร่างก็เต่งตึง ส่วนเว้าส่วนโค้งไม่มีที่ติ”
“เอาละพอได้แล้ว” ไคชูปราม แล้ววินิจฉัยรูปคดีว่าดังนี้
“กัปตันริเฮเป็นนักผจญภัยผู้กล้าหาญและทรนงในศักดิ์ศรี แม้จิตใจจะเข้มแข็งเพียงไรแต่ความเป็นชาติชายวัยฉกรรจ์ย่อมต้องหวั่นไหวไปกับความงามอันเย้ายวนแห่งสตรี ทั้งเมื่อได้เสพสุราอารมณ์ก็ย่อมผ่อนคลายเพริดแพร้วใคร่ที่จะเล่นสนุกไปกับใคร ๆ นี่ถ้ารู้สึกตัวถอยกลับออกมาสักก้าวหนึ่งก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ที่ไหนได้พอพวกที่มาร่วมดื่มในห้องกัปตัน อันมีเจ้าหนุ่มคิจินักดำน้ำกับนางเมีย ทะเกะโซนายเรือดำน้ำ และอิมะมุระล่ามประจำเรือกลับออกไปโดยพวกผู้ชายชวนกันไปดื่มต่อที่ห้องใหญ่กับลูกเรือนั้นเอง กามกิเลสก็เริ่มออกฤทธิ์เข้าคุมบังเหียนหันเหให้กัปตันริเฮลอบเข้าไปทำอะไร ๆ ในห้องส่วนตัวของนางคินอันเป็นจุดเริ่มต้นของวิบัติกรรม ทางด้านเจ้าหนุ่มคิจิผัวนางคินที่ไปดื่มต่อในห้องใหญ่ พอเมาได้ที่และพวกลูกเรือพูดถึงนางเมียของมันทำนองทะลึ่งตึงตัง เจ้าคิจิเป็นนักดำน้ำจิตใจอ่อนไหวไม่เข้าใจอารมณ์ตลกโปกฮาเถื่อนทะลึ่งของพวกลูกเรือจึงทนอยู่ได้ไม่นานจึงล่าถอยจากห้องใหญ่กลับห้อง และพอมาถึงหน้าห้องก็ประจันหน้ากับกัปตันริเฮที่กำลังเปิดประตูออกมาจากห้องพักของมันกับนางคิน ทางด้านเจ้าคิจินั้น ความที่มันนับถือกัปตันริเฮในฐานะผู้มีอำนาจเต็มบนเรือลำนี้และเป็นผู้นำที่ดีพร้อมปราศจากข้อบกพร่องอาจไม่คิดไปทางด้านร้ายในทันทีทันใด แต่กัปตันริเฮคงตกใจแทบสิ้นสติไปเลยทีเดียว ครั้นจะปล่อยให้เจ้าคิจิกลับเข้าไปในห้องความต้องแตกแน่ กัปตันคนดีจึงใช้ความฉลาดที่เหนือกว่ากลบเกลื่อนความน่าสงสัยที่ตรงนั้นแล้วล่อเจ้าหนุ่มขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วผลักมันตกทะเลไป นั่นคือเหตุการณ์ที่เจ้าคินตะลูกเรือที่แอบขึ้นไปเมาหลับอยู่บนดาดฟ้าลืมตาขึ้นมาเห็น ข้าเองไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลยไม่รู้รายละเอียดแต่สถานการณ์โดยทั่วไปคงไม่ผิดไปจากนี้หรอกนะเจ้าโทระ” ไคชูวินิจฉัยต่อ
“หลังจากนั้นกัปตันริเฮก็กลับห้องดื่มเหล้าที่เหลือย้อมใจจนหมดแล้วก็หลับพับไปกับเก้าอี้ นางคินเป็นหญิงฉลาดแม้จะเจ็บช้ำที่โดนกัปตันใช้กำลังข่มขืนนางก็ไม่เอาแต่นอนฟูมฟาย ฉวยฉมวกขึ้นมากระชับไว้กับมือย่องกริบไปที่ห้องกัปตัน พอเห็นกัปตันริเฮนอนหลับสนิทอยู่นางก็แทงด้วยฉมวกทีเดียวตายคาที่ หญิงดำน้ำญี่ปุ่นมีชื่อเรื่องการใช้ฉมวก เก่งขนาดถือฉมวกมือหนึ่งดำน้ำลงไปแทงปลาขึ้นมาได้ง่าย ๆ ไม่ผิดอะไรกับเวลาที่แกเอาตะเกียบคีบปลาเจ้าปากเลยละเจ้าโทระเอ๊ย เจ้ามะสึที่อยู่ห้องข้างกัปตันไม่ได้ยินเสียงนางคินออกจากห้องพักของตัวของนาง ลอบเข้าไปในห้องกัปตันริเฮ แทงเขาตายแล้วเปิดตู้เซฟขโมยไข่มุกเม็ดใหญ่กลับห้อง จึงนึกว่าเป็นการกระทำของผู้ชายที่เดินลงมาจากดาดฟ้า จนกระทั่งถึงวันนี้เจ้ามะสึยังฝังใจอยู่ว่าผู้ชายคนนั้นคือคิจิผัวนางคินเพราะมันไม่รู้ว่าเจ้านั่นถูกผลักลงทะเลไปแล้ว มันจึงเวียนไปค้นบ้านนางคินเวลาที่นางไม่อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหาไข่มุกใหญ่สองเม็ด เจ้ามะสึไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะได้ครองไข่มุกเม็ดใหญ่เกินกว่าไข่มุกใด ๆ ในตำนานที่เลอค่ากว่าอัญมณีทั้งปวงในโลกตะวันตก เพราะไข่มุกนั้นอยู่ในหอยมุกที่มันเก็บขึ้นมาจากท้องทะเลกับมือและอาจกลายเป็นตำนานไข่มุกของญี่ปุ่นในอนาคต”
โทระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่สังกัดคณะพรรคนักสืบชินจูโรใช้เวลาเล่าเรื่องการเผชิญโชคของ “โชริวมะรุ” ที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรมตั้งแต่ต้นจนจบและรับส่วนแบ่งภูมิปัญญาจากคะสึไคชู ตั้งแต่เช้าตรู่จนใกล้เที่ยงซึ่งเป็นเวลานัด ดีที่คฤหาสถ์ไคชูอยู่ไม่ไกลชิมบาชิจึงไปถึงทันเวลาอย่างเฉียดฉิวด้วยรถลาก พอดีกับที่คนอื่น ๆ ที่นัดไว้มากันพร้อมหน้าและกำลังเริ่มไต่สวนกันทำให้โทระไม่มีเวลาสอดแทรกคำวินิจฉัยจากดวงตาแห่งสมองของไคชูต่อที่ชุมนุม เพราะแค่นั่งลงเช็ดเหงื่อเขาก็ตอบโต้กันไปไกลแล้ว ชินจูโรหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อนอก
“วันนี้มีนายอิมะมุระคนเดียวที่มาไม่ได้ ฉันจะอธิบายเหตุผลให้ทราบในภายหลัง แต่เขาได้ตอบคำถามเอาไว้ในกระดาษแผ่นนี้ซึ่งฉันจะใช้ประกอบในการสืบหาฆาตกรตัวจริงพร้อมกันไปกับคำให้การของทุกคน เข้าใจนะครับ”
นักสืบรูปงามก้มลงอ่านข้อความในกระดาษเป็นเชิงทบทวนอีกครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นถามนางคินว่า
“เมื่อวานนี้ที่หล่อนบอกว่าไม่มีผู้ชายเข้าไปในห้องของหล่อนในคืนวันเกิดเหตุนั้นน่ะ อ่านคำตอบของนายอิมะมุระแล้วดูเหมือนจะไม่จริง เพราะดูเหมือนว่านายอิมะมุระจะลอบเข้าไปในห้องหล่อนตอนสี่ทุ่ม จริงไหม”
นางคินตั้งท่าปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่เมื่อมองขึ้นไปเห็นสีหน้าอันสงบนิ่งที่ฉายแววว่าล่วงรู้ทุกสิ่งอย่างถ่องแท้ของชินจูโรและสัมผัสกับสายตาคมงามที่มองลงมาอย่างคาดคั้น นางก็คอตกหน้าแดงซ่านไปอึดใจหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นตอบว่า
“ใช่เจ้าค่ะ แต่ตอนแรกอิฉันไม่รู้สึกตัวเลยจริง ๆ เพราะกำลังหลับสนิท มารู้สึกตัวว่าคนที่เข้ามานอนด้วยไม่ใช่ผัวก็เมื่ออยู่ในสภาพที่ไม่อาจดิ้นรนขัดขืนได้แล้ว จนกระทั่งบัดนี้อิฉันรู้แต่ว่าคนที่เข้ามาสวมรอยนอนกับอิฉันคืนนั้นเป็นชายแปลกหน้าที่ไม่ใช่เจ้าคิจิผัวอิฉัน เพิ่งมารู้เมื่อท่านบอกเดี๋ยวนี้เองเจ้าค่ะว่าคน ๆ นั้นคือนายอิมะมุระ”
ชินจูโรขัดขึ้นเมื่อนางคินทำท่าจะพูดอะไรต่อไป
“หล่อนรับแค่นี้พอแล้ว ฉันอยากรู้แค่ว่าเจ้ามะสึไม่ได้หูแว่วไปว่ามีคนเข้ามาในห้องหล่อน และทีนี้ฉันก็รู้แล้วว่าคนที่เข้ามาในห้องหล่อนคืนนั้นไม่ใช่เจ้าคิจิผัวหล่อนแต่เป็นนายอิมะมุระ คำตอบของนายอิมะมุระมีอยู่ตอนหนึ่งที่สำคัญมากคือ นายอิมะมุระสารภาพว่าเขาเป็นคนผลักเจ้าคิจิผัวหล่อนตกทะเลแล้วเดินกลับห้อง พอผ่านห้องกัปตันริเฮก็พบว่ากัปตันถูกฆ่าสิ้นใจตายอยู่แล้ว และตู้เซฟก็เปิดอ้าอยู่แล้วด้วย ที่เจ้ามะสึซึ่งอยู่ข้างห้องกัปตันไม่ได้ยินเสียงคนเข้ามาฆ่ากัปตันนั้นไม่แปลก ตอนที่นายอิมะมุระลงมาจากดาดฟ้านั้นกัปตันถูกฆ่าสิ้นใจตายไปแล้วและอยู่ในห้องกัปตันประมาณ 30 นาทีตรงตามที่เจ้ามะสึให้การเอาไว้ ที่อยู่นานขนาดนั้นก็เพราะมัวแต่หาเงื่อนงำของไข่มุกสำคัญเม็ดนั้นน่ะซี พอเห็นตู้เซฟเปิดอยู่เขาก็แน่ใจแล้วว่าต้องมีคนขโมยเอาไปก่อนแล้วแน่ เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่การพยายามสืบหาร่องรอยว่าใครเป็นคนขโมยไปซึ่งก็เป็นธรรมดาที่เขาจะคิดว่าฆาตกรคือคนขโมย ระหว่างที่นายอิมะมุระกำลังค้นโน่นค้นนี่หาหลักฐานเพื่อมัดตัวฆาตกรโจรกรรมอยู่นั้นเอง เขาก็ค้นพบสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อน นั่นก็คือ...ไข่มุกเม็ดใหญ่ที่เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะหาแล้วนั้น ซุกซ่อนอยู่ในในช่องใต้ส้นรองเท้าของกัปตันริเฮผู้ตายนั้นเอง ส้นรองเท้าคงหลุดออกเมื่อกัปตันถีบขาออกไปอย่างแรงตอนถูกแทง นาย อิมะมุระพิจารณารองเท้าอย่างละเอียดจึงเข้าใจได้ว่ากัปตันริเฮคงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุเช่นนี้ จึงไปให้ช่างรองเท้าทำส้นรองเท้าสองชั้นเอาไว้เป็นช่องลับสำหรับซ่อนอัญมณีล้ำค่า ไข่มุกเม็ดใหญ่เป้งทั้งขาวและดำอยู่ในช่องลับใต้ส้นรองเท้าทั้งสองเม็ด นายอิมะมุระไม่ได้เก็บอัญมณีเลอค่าทั้งสองเม็ดใส่กระเป๋าตนเอง แต่กลับเก็บใส่ช่องลับใต้ส้นรองเท้าของผู้ตายปิดเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นเป็นพิรุธ เพราะถ้าเก็บไข่มุกสองเม็ดเอาไปครองแล้วเกิดถูกจับได้เขาจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมไปด้วยแน่นอน และคงคิดว่าจะมีเวลาย้อนกลับไปเอาได้เมื่ออะไร ๆ เรียบร้อยลงตัวแล้วในภายหลัง อิมะมุระดับเทียนออกมาที่เฉลียงแล้วงับประตูห้องกัปตันปิดไว้ แต่เอ๊ะ...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วนี่ กัปตันริเฮสิ้นชีพเสียแล้วอย่างนี้ไม่มีอะไรต้องกลัวเกรงกันอีก แล้วที่ฆ่าเจ้าคิจิหน้าโง่ก็เพราะหวังชิงนางไม่ใช่รึ นายอิมะมุระระงับใจที่ลิงโลดเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปจึงผลักประตูเข้าห้องนางคิน ทีนี้พอเสร็จกิจสมหวังและส่างเมาก็เกิดกลัวขึ้นมา แทนที่จะเข้าไปนอนในห้องตัวเองก็กลับทำหน้าตาเฉยเข้าไปในห้องใหญ่ที่ลูกเรือเมานอนกลิ้งหลับเงียบกันไปหมดแล้วหาที่ซุกหัวนอนหลับไป ผลสุดท้ายเมื่อเจ้ายะมะโตะพ่อครัวทำอวดดีตั้งตัวเป็นตัวแทนกัปตันเข้าไปยึดครองห้องส่วนตัวของกัปตันริเฮ นายอิมะมุระก็หมดโอกาสที่จะเข้าไปเอาไข่มุกเม็ดใหญ่จากส้นรองเท้ามาครอบครอง อัญมณีล้ำค่าที่ไม่มีผู้ใดในโลกนอกเหนือจากคณะพรรคบนเรือ“โชริวมะรุ” มีบุญพอที่จะได้เห็นก็กลับคืนสู่ท้องทะเลพร้อมกับศพของกัปตันริเฮที่จัดขึ้นอย่างสมเกียรติของลูกทะเลไปด้วยประการฉนี้”
ชินจูโรยิ้มน้อย ๆ ขณะกวาดสายตาไปยังกลุ่มคนที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้น แล้วว่า
“เอาละทุกคน คราวนี้เราก็รู้กันแล้วว่าคนฆ่ากัปตันริเฮไม่ได้ไข่มุกใหญ่สองเม็ดไปครองตามแผนฆ่ากัปตันเพื่อชิงไข่มุก เพราะไข่มุกไม่ได้อยู่ในตู้เซฟอย่างที่คิด ใครรู้บ้างว่าฆาตกรคิดยังไง ฆาตกรคิดหรือว่ามีใครเข้ามาขโมยเอาไปก่อนแล้ว ไม่มีทางแน่นอนเพราะตั้งแต่ได้ไข่มุกสองเม็ดใหญ่นั้นมากัปตันดูเหมือนจะไม่ได้ออกไปจากห้อง ใครก็ตามจึงไม่มีโอกาสเข้าไปขโมยได้โดยที่กัปตันไม่รู้สึกตัว ฆาตกรหัวขโมยคิดว่าถ้าไข่มุกไม่ได้อยู่ในตู้เซฟนั้นไม่ใช่ว่าถูกขโมย แต่มันไม่ได้อยู่ในนั้นมาตั้งแต่ต้น ฆาตกรได้ได้คิดดังนั้นตอนที่เปิดตู้เซฟแล้วไม่พบไข่มุก” แต่มันมาคิดทบทวนเมื่อใจเย็นขึ้นในภายหลังจนได้ข้อสรุปอย่างที่ฉันบอก”
นักสืบรูปงามยิ้มและมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง
“ตอนนี้เรารู้กันแล้วว่าไข่มุกสำคัญสองเม็ดกลับลงไปนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ทะเลแล้ว แต่จนถึงวันนี้ไม่มีใครรู้นอกจากนาย อิมะมุระคนเดียว หลังเกิดเหตุแม้แต่เจ้ายะมะโตะจอมอวดดีก็ยังหาไม่เจออย่างนี้ไข่มุกจะต้องถูกใครคนใดคนหนึ่งเอาไปซุกซ่อนไว้อย่างลึกลับที่สุดแน่นอน คนที่สรุปได้เช่นนี้ก็คือฆาตกรคนเดียว คือตอนที่เปิดตู้เซฟแล้วไม่เจอไข่มุกมันต้องคิดว่าไข่มุกจะต้องถูกซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในห้องกัปตันนั้นเอง เมื่อมีคนพบศพกัปตันริเฮและมีการค้นหาไข่มุกในห้องนั้นกันอย่างละเอียดแต่ก็ไม่พบ นั่นหมายความว่าต้องมีใครเข้าไปในห้องกัปตันในช่วงเวลาระหว่างที่มันกลับไปจนถึงตอนที่มีคนพบศพ ซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากนายอิมะมุระคนเดียว นายนั่นเข้าไปในห้องกัปตันริเฮทันทีหลังจากที่ฆาจตกรกลับออกไปและอยู่ในนั้นนานถึง 30 นาที ทว่าฆาตกรไม่รู้ว่าคน ๆ นั้นคืออิมะมุระคิดว่าเป็นเจ้าคิจิผัวนางคิน ผลก็คือตั้งแต่กลับญี่ปุ่นบ้านนางคินถูกรื้อค้นครั้งใหญ่ ๆ ถึง 5 ครั้ง คนที่ไม่รู้ว่าคนที่เข้าไปค้นห้องกัปตันริเฮถึง 30 นาทีคือนายอิมะมุระ แต่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเจ้าคิจิผัวนางคินมีอยู่คนเดียว นั่นก็คือเจ้ามะสึคนนี้เอง”
คนที่ตะครุบตัวเจ้าคิโยะมะสึเอาไว้ได้ทันท่วงทีคือฮะนะโนะยะหนึ่งในคณะสืบสวนที่จ้องคุมเชิงอยู่ตลอดเวลา อิงงะ ฮะนะโนะยะ นักเขียนนวนิยายเริงรมย์ผู้ถูกมองจากเพื่อนร่วมคณะว่าเป็นนักสืบบ้านนอกสมัครเล่นเก่งเฉพาะการทำหน้าที่เป็นคนตะครุบตัวผู้ร้ายได้ทันการเสมอ ชินจูโรมองไปที่ฆาตกรแล้วพูดเสียงเนิบ ๆ ว่า
“ตอนที่พวกเขาแบ่งไข่มุกกัน เจ้าอ้างว่าแขนยังเหน็บชาอยู่เลยส่งนางเมียมารับไข่มุกแทน ไอ้อาการโรคน้ำหนีบนั่นน่ะเจ้าแกล้งทำมาตั้งแต่ต้นแล้วหรือมิใช่”
เจ้ามะสึตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ท่านขอรับ พอกระผมหยิบไข่มุกจากตัวหอยขึ้นมาดูเท่านั้นก็รู้สึกตัวเกร็งเป็นตะคริวขึ้นมาเหมือนเป็นโรคน้ำหนีบไม่มีผิด รู้สึกจิตใจโหวงเหวงเหมือนความเวทนาระคนสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูกจนในที่สุดก็เป็นลมล้มลงไปน่ะขอรับ อาการน้ำหนีบทุเลาลงด้วยการบำบัดราวสองวัน แต่กระผมแกล้งทำเป็นว่ามือเท้ายังเป็นเหน็บชายังไม่หายดีระหว่างนั้นก็เฝ้าหาจังหวะเข้าไปฆ่ากัปตันริเฮ เหมือนฝันร้ายขอรับ”
นั่นคือคำสารภาพของคิโยะมะสึนักดำน้ำผู้เก่งกาจแห่งคาบสมุทรด้านใต้ของนครหลวง
นางคินหันไปกล่าวขอบคุณนักสืบเอกรูปงาม
“ขอบพระคุณท่านมากนะเจ้าค่ะ ที่กรุณาทำให้นายอิมะมุระบ้าตัณหาคนนั้นสารภาพจนหมดเปลือก”
ชินจูโรฟังแล้วทำท่าเขิน ๆ
“อะไรกัน ฉันก็แค่ทำตรงข้ามกับเมื่อกี้ คือเขียนคำสารภาพของเจ้ามะสึขึ้นมา กดดันให้เขาเผยความจริงเท่านั้นแหละหล่อน วิธีนี้ดูเหมือนเขาจะห้ามใช้ตั้งแต่ปี 1948 แล้วละ เข้าใจนะ”
นักสืบรูปงามไม่ได้พูดออกมา เพราะฟังดูออกจะเป็นการย้อนอดีตสู่อนาคตอย่างไรชอบกลอยู่
*
คะสึไคชูฟังการถอดรหัสคดีไม่มุกสีเลือดที่โทระโนะซุเกะนำมาสาธยายให้ฟัง พยักหน้าช้า ๆ แล้วบอกว่า
“เกินคาดจริง ๆ ใครจะคิดว่านายอิมะมุระเป็นคนฆ่าเจ้าคิจิ และเจ้าหนุ่มคิโยะมะสึเป็นคนฆ่ากัปตันริเฮจริง เจ้ามะสึฆ่ากัปตันแล้วไม่พบไข่มุกในตู้เซฟ ส่วนนายอิมะมุระที่ฆ่าเจ้าคิจิเพื่อชิงนางคินและรู้ที่ซ่อนของไข่มุกก็เหลือเชื่อ ไม่มุกสองเม็ดรอดมือนายอิมะมุระมาได้แล้วกลับคืนไปสู่ท้องทะเลก็ยิ่งประหลาดขึ้นไปอีก เจ้ามะสึไม่ล่วงรู้ความแปลกประหลาดนี้ยังหลงงมงายว่าจะได้พบไข่มุกที่มันเก็บมาด้วยมือกลับคืน เฝ้ารื้อค้นบ้านนางคินจนถึงแก่หายนะก็เป็นเรื่องเกินคาด เท่าที่ข้าได้ยินได้ฟังมา อะไรที่เกี่ยวพันกับอัญมณีล้ำค่านั้นมักจะจบลงอย่างเกินคาดเหลือเชื่อเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่นั่นก็ยังไม่ประหลาดประหลาดเท่าการที่มนุษย์เราประเมินค่าเมล็ดทรายเคลือบมุกขนาดเท่าเม็ดลูกแก้วอุดจุกขวดน้ำมะเน็ดในตัวหอยผิวขรุขระน่าชังให้มีราคาล้ำค่าจนต้องแย่งชิงกันด้วยชีวิต ในโลกเรานี้ไม่มีอะไรที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างประหลาดมหัศจรรย์เท่าค่าของเงินอีกแล้ว โทระเอ๊ย...เจ้าจงเจียมตัวเจียมใจอยู่กับความยากจน อย่าทะเยอทะยานไปกับทรัพย์สินศฤงคารให้ลำบากแก่ตนไปเลย หากได้ยินว่ามีเหมืองเงินเหมืองทองอยู่ที่ไหนก็ระงับจิตใจไม่ให้เพริดแพร้วไปกับเขาเป็นดี”
คำเทศนานี้ฟังดูเกินคาดว่าจะเป็นของคะสึไคชู แต่โทระโนะซุเกะก็ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยใจเคารพที่ฝังใจอยู่เป็นทุน