ทีโอเอ ระบุตลาดสีทาอาคารในปี 59 ยังไม่สดใส คาดมูลค่าตลาดลดลง 3-5% จากมูลค่าตลาดรวม 22,000 ล้านบาท เผยปรับโครงสร้างธุรกิจ รุกขยายพอร์ตเพิ่มสัดส่วนกลุ่มสินค้าที่ใช้ควบคู่กับสีทาอาคาร (NON-DECORATIVE) คาดขยับเพิ่มมาอยู่ที่ 40% พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “สีกันรั่วซึมดาดฟ้า หลังคารูฟซีล จากทีโอเอ” รองรับกลุ่มอาคาร ดึงกรุงเทพประกันภัย ประกันความเสียหาย วางเป้าขายทั้งปี 300 ล้านบาท ยันคงเป้าขายรวมทีโอเอที่ 16,000 ล้านบาท เติบโต 7% เศษ
นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำในธุรกิจสีของประเทศไทย กล่าวถึงภาพรวมตลาดสีทาอาคารในปี 2559 ว่า สถานการณ์ของตลาดยังมีแนวโน้มเติบลดลงประมาณ 3-5% หรือมูลค่าลดหายไปจากตลาดประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวมประมาณ 22,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดบนจะค่อนข้างนิ่ง แต่ตลาดล่างยังมีความโดดเด่น และมีความต้องการในการบริโภคอยู่ ซึ่งในส่วนของบริษัทฯ ได้พยายามจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง และหากสภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ผันผวนจนเกินไป บริษัทฯ จะพยายามหลีกเลี่ยงการปรับราคาให้นานมากที่สุด แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มาเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต มีความรวดเร็ว ลดการสูญเสีย จึงสามารถตรึงราคาขายสินค้าได้
นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างสายงานบริหาร ในส่วนของสายการตลาด ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน เพื่อบริหารงาน และเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย และเร็วขึ้น คือ ตลาดสีทาอาคาร และตลาดสินค้าที่ใช้ควบคู่กับสีทาอาคาร (NON-DECORATIVE) ซึ่งตลาดดังกล่าวมีแนวโน้มจะขยายตัวมากขึ้น โดยภายในระยะเวลา 4-5 ปี สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 40% ขณะที่สัดส่วนของสีทาอาคาร (DECORATIVE) จะปรับสัดส่วนจาก 70% ลงมาเท่า 60%
“จริงๆ แล้ว การปรับโครงสร้างการตลาดในคราวนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการทำงาน การดูแลตลาดต่างประเทศที่มีแนวโน้มเติบโต ขณะที่แนวโน้มตลาดสีทาอาคารลดลง การเข้ามาเน้นสินค้าที่ควบคู่กับสีทาอาคาร จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า เป็นการบริหารพอร์ต และการจัดการเรื่องความเสี่ยงด้วย”
ทั้งนี้ จากผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (54-58) พบว่า ที่อยู่อาศัยมีการก่อสร้างจำนวนมาก โดยโครงการแนวสูง คอนโดฯ จำนวนที่เกิดขึ้น 3,500 อาคาร ประเภท อพาร์ตเมนต์, หอพัก และแฟลต จำนวน 8,546 อาคาร และโครงการแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว จำนวน 830,2000 ยูนิต ทาวน์เฮาส์ จำนวน 186,850 ยูนิต และในส่วนของอาคารพาณิชย์ ในช่วง 5 ปี เกิดขึ้น 73,500 ยูนิต ซึ่งในส่วนหากพิจารณาในพื้นที่ดาดฟ้าจะมีพื้นที่ประมาณ 5.5 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) และหากนำราคาขายต่อ ตร.ม.ที่ 170 บาท ก็จะพบว่า ตลาดส่วนนี้จะมีมูลค่า 950 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“จากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคกับปัญหาที่อยู่อาศัยในช่วงหน้าฝน พบว่า ปัญหารั่วซึมเป็นปัญหาส่วนใหญ่ที่ผู้บริโภคมักพบเจอ โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารพาณิชย์ หรือตึกแถวเก่า บริเวณชั้นดาดฟ้า อันเนื่องมาจากปูนเสื่อมสภาพ และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทางบริษัทได้เปิดตัว “สีกันรั่วซึมดาดฟ้า หลังคารูฟซีล จาก ทีโอเอ” ซึ่งเป็นการพัฒนาสีมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ทุ่มงบประมาณการตลาดกว่า 50 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญใหม่ของสีกันรั่วซึมดาดฟ้า หลังคา รูฟซีล ซึ่งทีโอเอ เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 33% "
ทั้งนี้ ทีโอเอ ได้ร่วมกับบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบแคมเปญรับประกันหากพบปัญหาบ้านรั่วซึม รับเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท ทันที เพียงซื้อผลิตภัณฑ์สีกันรั่วซึมดาดฟ้า หลังคา รูฟซีล จากทีโอเอ ครบ 15,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ก.ย.59 โดยมีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี หลังจากลงทะเบียนรับสิทธิ คาดว่าการออกแคมเปญดังกล่าวจะช่วยดันยอดขายในครึ่งปีหลังได้ 170 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกสามารถทำได้ 130 ล้านบาท ทำให้ยอดขายของสีกันรั่วซึมดาดฟ้าทั้งปีได้ 300 ล้านบาท คิดเป็น 50% ของยอดขายในกลุ่มสินค้าเคมีภัณฑ์ก่อสร้างในปี 59 ที่วางเป้าไว้ที่ 600 ล้านบาท ซึ่งในแต่ละปีสามารถเพิ่มอัตราเติบโตได้ 25% ส่วนเป้ายอดขายรวมของทีโอเอ ในปีนี้ยังคงเป้าที่ 16,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 7% เศษ โดยในครึ่งปีแรกมียอดขายแล้ว 7,500 ล้านบาท.