พีดี เฮ้าส์ฯ เผยแผนปลุกตลาดท้องถิ่นหนุนผู้ประกอบการ กทม.-ปริมณฑล ออก ตจว.ขยายตลาดธุรกิจรับสร้างบ้าน สร้างการรับรู้ในมาตรฐาน และแบรนด์ธุรกิจรับสร้างบ้าน พร้อมหั่นกำไรเพิ่มงบตลาดท้องถิ่น หวังดันยอดขายสาขาแฟรนไชส์เพิ่มเท่าตัว รองรับแผนการสร้างรายได้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ครึ่งปีหลังทุ่ม 40 ล้านบาท เจาะตลาดท้องถิ่น พร้อมออกสตาร์ทตามโรดแมป 5 ปี นำร่องปรับโฉมตราสินค้าใหม่ก่อนลุยเปิดสาขาในกลุ่ม AEC โชว์ผลงานQ1/59 โกยยอดขายกว่า 400 ล้านบาท
นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าห้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด กล่าวว่า การขยายตัวของตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบันยังคงผูกติดต่ออัตราการปรับตัวขึ้นลงของตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ทำให้ธุรกิจรับสร้างบ้านยังมีความเสี่ยงทางด้านรายได้ที่ไม่อาจรักษาให้มีอัตราการขยายตัว หรืออยู่ในระดับที่ดีได้ต่อเนื่อง ดังนั้น การขยายตลาดให้กว้าง และการสร้างการรับรู้ และน่าเชื่อถือของธุรกิจรับสร้างบ้านในกลุ่มผู้บริโภค จึงมีความสำคัญต่อการเติบโตที่ยั่งยืนของธุรกิจรับสร้างบ้านในอนาค
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน พีดี เฮ้าส์ฯ จึงยังเดินหน้าขยายสาขาในพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อให้บริการที่ครอบคลุมในทุกพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัมมีเป้าหมายว่าจะเปิดสาขาให้ครบ 50 สาขาทั่วประเทศตามแผนระยะยาว 5 ปี ทั้งในรูปแบบแฟรนไชส์ และรูปแบบการลงทุนเอง 100% ในพื้นที่ที่มีทำเลที่ดี และมีศักยภาพทั้งด้านกำลังซื้อ และการขยายตัวด้านที่อยู่อาศัย เพื่อผลักดันให้ยอดขายรวมของพีดี เฮ้าส์ฯ เป็นไปตามเป้าหมายที่ 2,500 ล้านบาท โดยปัจจุ พีดีเฮ้าส์ฯ มีสาขาเปิดให้บริการแล้ว 41 สาขา และในปีนี้จะมีการเปิดเพิ่มอีก 2-3 สาขา ซึ่งจะทำให้มีสาขาให้บริการที่ 42-43 สาขา และวางเป้าว่าจะมียอดขายที่1 ,400 ล้านบาท
“นโยบายการขายฐานตลาดของพีดี เฮ้าส์ฯ หลักๆ คือ การเปิดให้นักลงทุนที่สนใจเปิดธุรกิจแฟรนไชส์เข้ามาซื้อ และเปิดสาขาแฟรนไชส์ในพื้นที่ที่มีศักยภาพใหม่ๆ แต่หากไม่มีผู้สนใจเข้ามาลงทุน บริษัทจะตัดสินใจลงทุนเปิดสาขาในพื้นที่ศักยภาพ และมีการขยายตัวด้านที่อยู่อาศัยที่ดีในพื้นที่เอง 100% และหากมีนักลงทุนที่สนใจเข้ามาขอซื้อก็จะขายออกไปในรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งมีข้อดีคือ บริษัทสามารถเลือกทำเลที่มีศักยภาพ และกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนไปพร้อมๆ กับการขยายสาขาใหม่ได้ตามเป้าหมาย”
อย่างไรก็ตาม พีดีเฮ้าส์ฯ จะไม่ขายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ทั้งหมด 100% แต่จะรักษาสัดส่วนสาขาที่เป็นของตอนเอง 100% ไว้ที่ 20-30% เพื่อให้ได้ข้อมูตลาดใน 2 ด้าน คือ ได้ข้อมูลผ่านสาขาแฟรนไชส์ และสาขาที่เปิดโดยพีดี เฮ้าส์ฯ เพื่อนำข้อมูลทั้ง 2 ด้านมาประมวลผล ซึ่งจะทำให้ได้ขอ้มูลตลาดที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง
นายสิทธิพร กล่าวว่า สำหรับแผนการสร้างรายได้ในธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตแบบยั่งยืนในอนาคตนั้น พีดี เฮ้าส์ฯ จะพยายามผลักดันให้เกิดการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคต่อมาตรฐานการสร้างบ้านของธุรกิจรับสร้างบ้าน ไปพร้อมกับสร้างการรับรู้ในแบรนด์ พีดี เฮ้าส์ฯ โดยเน้นการสร้างความเข้าใจในธุรกิจ และคุณภาพงานก่อสร้าง ขณะเดียวกัน ก็จะมีการจัดแคมเปญ และทำตลาดผ่านสื่อท้องถิ่นให้มากขึ้น ซึ่งส่วนนี้จะช่วยผลักดันให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการแฟรนไชส์ พีดี เฮ้าส์ฯ มากขึ้น และเป็นการผลักดันยอดขายของสาขาเดิมเพื่มมากขึ้น ซึ่งจะให้ผลดีกว่าการมุ่งเปิดสาขาใหม่เพียงอย่างเดียว
ทั้งนี้ เป้าหมายของการผลักดันยอดขายของแฟรนไชส์ต่อสาขาที่วางไว้ในอาคต คือ 70-80 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี หรือมียอดขายสูงขึ้นอีก 1 เท่าตัว จากเดิมที่ในปัจจุบันสาขาแฟรนไชส์มียอดขายต่อสาขาเฉลี่ยที่ 30-40 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม ในการผลักดันให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตนั้นจำเป็นต้องยอมลดกำไรลงเพื่อนำมาใช้ในการทำตลาดต่อสื่อท้องถิ่น และทำแคมเปญส่วนลดให้แก่ลูกค้าเพิ่มมาก ขณะเดียวกัน ก็พยายมกระต้นให้ผู้ประกอบการใน กทม.และปิมณฑลรายอื่นขยายตลาดออกไปในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรูปแบบการออกไปเปิดตลาดในต่างจังหวัดนั้น อาจจะไปในรูปแบบแฟรนไชส์ หรือไปภายใต้แบรนด์ของตนเอง ซึ่งขณะนี้เชื่อว่ามีหลายๆ รายกำลังฟอร์มทีม และรูปแบบการขยายตลาดในรูปแบบแฟรนไชส์อยู่หลายๆ ราย
“การยอมลดอัตรากำไรเพื่อเพิ่มงบทำตลาดขยายฐานลูกค้าในท้องถิ่นจะส่งผลดีต่อวอร์รูมยอดขายในอนาคต ซึ่งในระยะยาวจะทำให้บริษัทมีอำนาจในการต่อรองต่อซัปพลายเออร์วัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะทำให้ได้ส่วนลดราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย และจะส่งผลต่ออัตรากำไรที่ดีขึ้น”
นอกจากการขยายตลาดในประเทศด้วยการเปิดสาขาใหม่แล้ว ในช่วง 1-2 ปีนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายตลาดไปในประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดย 2 ประเทศที่อยู่ในการพิจารณาว่าจะมีการเปิดสาขาแฟรนไชส์ คือ ประเทศกัมพูชา และพม่า โดยคาดว่าประเทศพม่าน่าจะเป็นประเทศแรกที่จะมีการเปิดสาขา โดยระหว่างนี้อยู่ในช่วงการร่างสัญญา และจัดทำแบบบ้านเป็นฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อรองรับการเปิดสาขาในต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ก็รอความพร้อมของซัปพลายเออร์ที่เข้าไปขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้านด้วย เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในประเทศเพื่อบ้านสูงกว่าในประเทศกว่า 40% ซึ่งเชื่อว่าในช่วงที่บริษัทเข้าไปเปิดสาขาในประเทศเพื่อนบ้านจะเป็นช่วงเดียวกับที่ซัปพลายเออร์มีความพร้อมในการจัดส่งวัสดุให้บริษัทด้วย
นายสิทธิพร กล่าวถึงผลการดำเนินการในไรมาสแรก ว่า มียอดขายกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสัดส่วนรายได้จากภาคกลาง และกรุงเทพฯ ประมาณ 30% ภาคอีสาน 30% ภาคใต้ 27% ที่เหลือเป็นของภาคเหนือ อย่างไรก็ดี เห็นว่าความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภค และประชาชนทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.2559) มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งนี้ ประเมินจากปริมาณผู้บริโภคที่ติดต่อเข้ามา ณ สาขาที่มีอยู่ 41 แห่งทั่วประเทศ ยังมีความคึกคักใกล้เคียงกับไตรมาสแรก
สำหรับไตรมาส 2 ตลาดโดยรวมยังคงมีการแข่งขันด้านราคากันรุนแรง โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินกลยุทธ์การตลาดของปีนี้ซึ่งนอกจากการโฆษณา และประชาสัมพันธ์ภาพรวมของพีดีเฮ้าส์แล้ว บริษัทฯ ยังเน้นกลยุทธ์การตลาดท้องถิ่นโดยวางงบไว้ที่ 40 ล้านบาท เพื่อดำเนินกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปี รวมทั้งในครึ่งหลังเตรียมออกโปดักต์ใหม่ 8-10 แบบ ซึ่งอยู่ในระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพิ่มจากเมื่อต้นปีเปิดแบบบ้านใหม่ไปแล้ว 8 แบบ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา บริษัทได้ออกแคมเปญภายใต้ชื่อ “เย็นใจวันมหาสงกรานต์” เพื่อคืนกำไร และกระตุ้นการตัดสินใจลูกค้า คาดว่า 6 เดือนแรกจะสามารถปิดยอดขายได้ประมาณ 700 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ที่ 1,400 ล้านบาท นอกจากนี้ ในไตรมาสแรก บริษัทได้ทำการเปลี่ยนเครื่องหมายการค้า หรือโลโก้ใหม่ เพื่อต้องการจะสื่อสารแบรนด์พีดีเฮ้าส์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี เบื้องต้นประเทศที่พร้อมน่าจะเป็นพม่า ซึ่งขาดว่าจะมีความชัดเจนใน 2 ปี
“สำหรับสถานการณ์ตลาดรับสร้างโดยรวมยังมีโอกาสเติบโตโดยเฉพาะระดับราคา 2-4 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 40% ส่วนบ้านระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปเริ่มชะลอตัว ส่วนการที่ราคาเหล็กปรับตัวขึ้นเนื่องจากขาดตลาด แต่ไม่ส่งผลทำให้ต้นทุนบ้านแพงขึ้น ดังนั้น ราคาบ้านจึงไม่มีการปรับราคาในตอนนี้”