สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ครั้งที่แล้วผมพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับคำคมในวรรณกรรมสามก๊กที่ถูกหยิบยกมาใช้ในภาคธุรกิจญี่ปุ่น ส่วนวันนี้ผมจะพูดต่ออีกสักนิดถึงตัวอย่างบุคลิกของตัวละครในวรรณกรรมสามก๊กที่ไม่ควรนำมาปฏิบัติในการทำงานกับองค์กรหรือบริษัทญี่ปุ่นครับ
เพื่อนๆ ที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นอาจจะพอนึกภาพเรื่องระบบและวัฒนธรรมองค์กรได้ ถ้าท่านใดนึกภาพไม่ออกให้คิดง่ายๆ ว่าระบบที่ต้องทำตามคำสั่งของหัวหน้า ทำงานเป็นทีม ลองย้อนอ่านได้ที่เรื่อง Salaryman “เขาว่า Salaryman ในบริษัทญี่ปุ่นคือ Gremlins(เกรมลินส์) ?” ครับ
วันนี้ผมจะยกเรื่องนี้มาพูดครับ 鶏肋(Keiroku) หมายความว่า "ซี่โครงไก่ " ครั้งที่โจโฉรบกับเล่าปี่ (ทีมขงเบ้ง) ก่อนหน้าที่เคยรบกันในครั้งก่อนๆ ก็สูสีกันมาตลอดแต่ครั้งนี้ดูเหมือนโจโฉจะเพลี่ยงพล้ำกว่ามากๆ คือทำท่าจะแพ้อยู่รอมร่อ โจโฉเองก็พอรู้ตัวแต่ก็ไม่ยอมง่ายๆ วันหนึ่งที่ค่ายของโจโฉทำซุปไก่ วันนั้นโจโฉเองก็เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจหลังจากกินซุปไก่แล้วก็เตรียมเข้านอนเอาแรง แฮหัวตุ้นนายทหารอารักขา (หลานของโจโฉด้วย) ก็เข้ามาถามว่ารหัสลับของคืนนี้จะให้ขานว่าอะไร โจโฉเองไม่ได้คิดอะไรนึกแต่ซี่โครงไก่ จึงบอกไปว่า 「ซี่โครงไก่」จากนั้นแฮหัวตุ้นนายทหารอารักขาจึงเอาเรื่องรหัสลับไปคุยกับ เอียวสิ้ว*
เอียวสิ้ว* เป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งของโจโฉ เป็นผู้ซึ่งมีความฉลาดมาก แต่ชอบใช้ความฉลาดแบบไม่คิดหรือไม่มีสตินัก คือคนฉลาดลุ่มลึกจริงๆ นอกจากมองสถานการณ์ออกแล้วต้องรู้ว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ แต่เอียวสิ้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เขาแสดงออกถึงความฉลาดของตนอย่างออกนอกหน้าเสมอ เขารับราชการกับโจโฉในตำแหน่งผู้ตรวจบัญชีทรัพย์สิน เป็นผู้ที่รู้เท่าทันโจโฉตลอดเวลา อีกอย่างเอียวสิ้วเองถือว่าเป็นครูคนหนึ่งของโจสิด บุตรชายคนที่ 3 ของโจโฉ โจสิดเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนเช่นเดียวกับเอียวสิ้วจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตอนที่โจโฉจะเลือกหนึ่งในบรรดาลูกๆ ขึ้นมาเป็นผู้นำก็ได้ทดสอบลูกๆ แต่ละคนอยู่ตลอด ก็มีโจสิดนี่เองที่แก้ปริศนาได้ทุกครั้งแต่ทุกครั้งที่ไขปริศนาได้นั้นล้วนมาจากความคิดของเอียวสิ้วทั้งสิ้น จึงเป็นอีกมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้โจโฉมีความระแวงใจเอียวสิ้วตลอดมา ...
แฮหัวตุ้นงงกับรหัสลับมากว่าทำไมต้อง 「ซี่โครงไก่」 แต่เอียวสิ้วโชว์ฉลาดบอกกับแฮหัวตุ้นให้สั่งการแก่ทหารทั้งปวงให้เก็บข้าวของได้เลย เขาอ่านใจโจโฉออก โจโฉตัดสินใจถอนทัพแล้ว เพราะที่โจโฉบอกออกมาว่า 「ซี่โครงไก่」 นั้นก็เพราะว่า "ซี่โครงไก่ไม่มีเนื้อก็จริง ก็ยังนำมาทำเป็นน้ำซุปอร่อยได้ จะทิ้งไปก็เสียเปล่าน่าเสียดาย จะเอามาทานก็มีแค่เนื้อติดกระดูกนิดหน่อย " กล่าวคือหมายความว่า การรบในครั้งนี้ท่านโจโฉคิดที่จะถอนทัพแล้วแต่ก็ยังเสียดาย ทว่าอยู่ไปก็ไม่ชนะ นั่นเอง แฮหัวตุ้นทึ่งในความฉลาดของเอียวสิ้วมาก สามารถอ่านใจโจโฉออกทั้งหมด จึงสั่งการกันทันที
วันรุ่งขึ้นเมื่อโจโฉรู้ว่าทหารทั้งหมดเก็บข้าวของเตรียมถอนทัพโดยที่ตนไม่ได้ออกคำสั่งก็โกรธมาก เมื่อรู้ว่ามาจากเอียวสิ้วก็ยิ่งโมโห จึงสั่งประหารชีวิตเอียวสิ้วทันที โดยอ้างว่าเอียวสิ้วทำให้ทหารเสียขวัญ แถมทำการโดยพละการไม่ได้เป็นคำสั่งที่มาจากตน และโจโฉก็ออกนำทัพด้วยตนเองต่อแต่ปรากฏว่าโจโฉต้องอุบายของขงเบ้งจนกองทัพพ่ายแพ้และโจโฉก็ถูกทหารฝ่ายตรงข้ามยิงธนูเฉียดเข้าที่ปาก ทำให้พลัดตกจากหลังม้าและฟันหัก ปากคอบวมเป่ง เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ยอมพ่ายแพ้ถอยทัพในที่สุด หลังจากนั้นเขาก็ได้นึกถึงเอียวสิ้วและสำนึกว่าเอียวสิ้วคาดการณ์ถูกต้องจริงๆ โจโฉจึงจัดพิธีฝังศพอย่างสมเกียรติเพื่อทดแทนคุณของเอียวสิ้วในกาลต่อมา ..
การที่เอียวสิ้วมีความฉลาดเฉียวมากปัญญา ก็อาจจะเป็นจุดดีในระดับหนึ่ง แต่การใช้ปัญญาโดยขาดสติ อันเป็นที่มาของจุดจบชีวิตเช่นนี้เองเป็นหนึ่งตัวอย่างของบุคลิกลักษณะของบุคคลที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเข้ามาร่วมทีมทำงานกับบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรแบบญี่ปุ่นๆ โดยเฉพาะถ้ามีหัวหน้าเป็นญี่ปุ่นรุ่นเก่า เค้าจะไม่ชอบเลยกับลูกน้องเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นลูกน้องที่ฉลาดปราดเปรื่อง แต่มีลักษณะยโส ไม่กลัวใครหรือหัวแข็ง เถียงหรือแสดงสิ่งที่ตนเองคิดโดยพละการ มีความฉลาดแต่ขาดความเฉลียวไม่รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำจะอยู่ยากมากครับ
ในองค์กรแบบญี่ปุ่นนี้ส่วนใหญ่รับคำสั่งและทำตามนโยบายสั่งการมาเป็นทอดๆ จากนายสู่ลูกน้อง ดังนั้นบุคลิกกล้าแกร่งทำเกินคำสั่งนี่นายไม่ปลื้มครับ ไม่รู้ว่าใครทำงานในบริษัทญี่ปุ่นบ้างเป็นอย่างไรบ้างครับ
อีกตัวอย่างหนึ่งคือลักษณะบุคลิกของโจผี และโจสิด พี่น้องที่แย่งชิงกันเป็นใหญ่ อย่างที่บอกไปว่าโจสิดเป็นลูกรักผู้เป็นพ่อคือโจโฉ เพราะมีความเป็นเลิศทางกวีมาก อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โจผีเกิดความอิจฉาอยู่ลึกๆ เพราะโจผีไม่เก่งด้านกวีเลยกลับมีพรสวรรค์ทางการรบ การบริหารเมืองซะมากกว่า สุดท้ายตอนที่โจผีชิงบัลลังก์จากจักรพรรดิองค์เดิมเขากระทำอย่างเลือดเย็นมาก ขู่ฆ่าจักรพรรดิโดยบอกให้จักรพรรดิก้มขอชีวิตถึง18 หนสุดท้ายก็ฆ่าและปราบดาภิเษกเป็นปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์เว่ย พระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิเว่ยเหวินตี้ 曹魏文帝 ภาษาญี่ปุ่นเรียกพระเจ้าบุนเต 文帝 ( คันจิคำว่าบุนนี้แปลความเกี่ยวกับกวี บทความได้คือจักพรรดิ์แห่งกวี อาจโยงไปถึงเรื่องกวี ที่ลึกๆ แล้วอิจฉาน้องที่เป็นเลิศด้านกวี ) แม้ว่าพระเจ้าบุนเตจะบริหารดีทำให้บ้านเมืองเข้มแข็งขึ้นได้ (เพราะมีพรสวรรค์ด้านการทหารและปกครองมากกว่าน้องที่เป็นเลิศด้านกวี เพราะถ้าผู้ที่มีความสามารถด้านกวีขึ้นเป็นผู้นำก็อาจจะสร้างความเข้มแข็งให้เมืองไม่ได้ แต่ชาวเมืองก็จะ ทำแต่ร้องรำ Free style Rap Battle หรือถ้าน้องอีกคนที่ชอบสู้กับเสือขึ้นเป็นผู้นำเมืองนั้นก็อาจจะได้ฝึกการต่อสู้กับเสือกันทั้งเมืองก็ได้ครับ Free style Tiger Battle) แต่พระเจ้าบุนเตเขามีความเลือดเย็นมาก จิตใจแค้นฝังลึก เชื่อคำยุยง เช่นตอนที่นางสนมยุยงให้ฆ่าฮองเฮาของเขาเสีย เขาก็สั่งฆ่าแบบเลือดเย็น บุคคลิกแบบนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะกับการเป็นหัวหน้าในองค์กรแบบญี่ปุ่นครับ
สิ่งที่ผมยกตัวอย่างมานี้เป็นบุคลิกลักษณะจากวรรณกรรมอ้างอิงประวัติศาตร์ที่อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือเกือบจริงก็ได้แต่ลักษณะนิสัยของบุคคลแต่ละคนก็หลากหลาย การที่เราคิดวิเคราะห์และนำตัวอย่างจากประวัติศาสตร์มาเรียนรู้และแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นจึงเป็นสิ่งที่น่าทำ มีคำพูดข้อคิดว่า "คนที่ย่ำอยู่กับที่จะไม่คิดเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตนเองทำแม้จะผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คนฉลาดจะเรียนรู้จากประสบการณ์รอบตัวแล้วแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม " วันนี้สวัสดีครับ
เพื่อนๆ ที่ทำงานในบริษัทญี่ปุ่นอาจจะพอนึกภาพเรื่องระบบและวัฒนธรรมองค์กรได้ ถ้าท่านใดนึกภาพไม่ออกให้คิดง่ายๆ ว่าระบบที่ต้องทำตามคำสั่งของหัวหน้า ทำงานเป็นทีม ลองย้อนอ่านได้ที่เรื่อง Salaryman “เขาว่า Salaryman ในบริษัทญี่ปุ่นคือ Gremlins(เกรมลินส์) ?” ครับ
วันนี้ผมจะยกเรื่องนี้มาพูดครับ 鶏肋(Keiroku) หมายความว่า "ซี่โครงไก่ " ครั้งที่โจโฉรบกับเล่าปี่ (ทีมขงเบ้ง) ก่อนหน้าที่เคยรบกันในครั้งก่อนๆ ก็สูสีกันมาตลอดแต่ครั้งนี้ดูเหมือนโจโฉจะเพลี่ยงพล้ำกว่ามากๆ คือทำท่าจะแพ้อยู่รอมร่อ โจโฉเองก็พอรู้ตัวแต่ก็ไม่ยอมง่ายๆ วันหนึ่งที่ค่ายของโจโฉทำซุปไก่ วันนั้นโจโฉเองก็เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจหลังจากกินซุปไก่แล้วก็เตรียมเข้านอนเอาแรง แฮหัวตุ้นนายทหารอารักขา (หลานของโจโฉด้วย) ก็เข้ามาถามว่ารหัสลับของคืนนี้จะให้ขานว่าอะไร โจโฉเองไม่ได้คิดอะไรนึกแต่ซี่โครงไก่ จึงบอกไปว่า 「ซี่โครงไก่」จากนั้นแฮหัวตุ้นนายทหารอารักขาจึงเอาเรื่องรหัสลับไปคุยกับ เอียวสิ้ว*
เอียวสิ้ว* เป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งของโจโฉ เป็นผู้ซึ่งมีความฉลาดมาก แต่ชอบใช้ความฉลาดแบบไม่คิดหรือไม่มีสตินัก คือคนฉลาดลุ่มลึกจริงๆ นอกจากมองสถานการณ์ออกแล้วต้องรู้ว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ แต่เอียวสิ้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ เขาแสดงออกถึงความฉลาดของตนอย่างออกนอกหน้าเสมอ เขารับราชการกับโจโฉในตำแหน่งผู้ตรวจบัญชีทรัพย์สิน เป็นผู้ที่รู้เท่าทันโจโฉตลอดเวลา อีกอย่างเอียวสิ้วเองถือว่าเป็นครูคนหนึ่งของโจสิด บุตรชายคนที่ 3 ของโจโฉ โจสิดเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนเช่นเดียวกับเอียวสิ้วจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันตอนที่โจโฉจะเลือกหนึ่งในบรรดาลูกๆ ขึ้นมาเป็นผู้นำก็ได้ทดสอบลูกๆ แต่ละคนอยู่ตลอด ก็มีโจสิดนี่เองที่แก้ปริศนาได้ทุกครั้งแต่ทุกครั้งที่ไขปริศนาได้นั้นล้วนมาจากความคิดของเอียวสิ้วทั้งสิ้น จึงเป็นอีกมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้โจโฉมีความระแวงใจเอียวสิ้วตลอดมา ...
แฮหัวตุ้นงงกับรหัสลับมากว่าทำไมต้อง 「ซี่โครงไก่」 แต่เอียวสิ้วโชว์ฉลาดบอกกับแฮหัวตุ้นให้สั่งการแก่ทหารทั้งปวงให้เก็บข้าวของได้เลย เขาอ่านใจโจโฉออก โจโฉตัดสินใจถอนทัพแล้ว เพราะที่โจโฉบอกออกมาว่า 「ซี่โครงไก่」 นั้นก็เพราะว่า "ซี่โครงไก่ไม่มีเนื้อก็จริง ก็ยังนำมาทำเป็นน้ำซุปอร่อยได้ จะทิ้งไปก็เสียเปล่าน่าเสียดาย จะเอามาทานก็มีแค่เนื้อติดกระดูกนิดหน่อย " กล่าวคือหมายความว่า การรบในครั้งนี้ท่านโจโฉคิดที่จะถอนทัพแล้วแต่ก็ยังเสียดาย ทว่าอยู่ไปก็ไม่ชนะ นั่นเอง แฮหัวตุ้นทึ่งในความฉลาดของเอียวสิ้วมาก สามารถอ่านใจโจโฉออกทั้งหมด จึงสั่งการกันทันที
วันรุ่งขึ้นเมื่อโจโฉรู้ว่าทหารทั้งหมดเก็บข้าวของเตรียมถอนทัพโดยที่ตนไม่ได้ออกคำสั่งก็โกรธมาก เมื่อรู้ว่ามาจากเอียวสิ้วก็ยิ่งโมโห จึงสั่งประหารชีวิตเอียวสิ้วทันที โดยอ้างว่าเอียวสิ้วทำให้ทหารเสียขวัญ แถมทำการโดยพละการไม่ได้เป็นคำสั่งที่มาจากตน และโจโฉก็ออกนำทัพด้วยตนเองต่อแต่ปรากฏว่าโจโฉต้องอุบายของขงเบ้งจนกองทัพพ่ายแพ้และโจโฉก็ถูกทหารฝ่ายตรงข้ามยิงธนูเฉียดเข้าที่ปาก ทำให้พลัดตกจากหลังม้าและฟันหัก ปากคอบวมเป่ง เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ยอมพ่ายแพ้ถอยทัพในที่สุด หลังจากนั้นเขาก็ได้นึกถึงเอียวสิ้วและสำนึกว่าเอียวสิ้วคาดการณ์ถูกต้องจริงๆ โจโฉจึงจัดพิธีฝังศพอย่างสมเกียรติเพื่อทดแทนคุณของเอียวสิ้วในกาลต่อมา ..
การที่เอียวสิ้วมีความฉลาดเฉียวมากปัญญา ก็อาจจะเป็นจุดดีในระดับหนึ่ง แต่การใช้ปัญญาโดยขาดสติ อันเป็นที่มาของจุดจบชีวิตเช่นนี้เองเป็นหนึ่งตัวอย่างของบุคลิกลักษณะของบุคคลที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเข้ามาร่วมทีมทำงานกับบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรแบบญี่ปุ่นๆ โดยเฉพาะถ้ามีหัวหน้าเป็นญี่ปุ่นรุ่นเก่า เค้าจะไม่ชอบเลยกับลูกน้องเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นลูกน้องที่ฉลาดปราดเปรื่อง แต่มีลักษณะยโส ไม่กลัวใครหรือหัวแข็ง เถียงหรือแสดงสิ่งที่ตนเองคิดโดยพละการ มีความฉลาดแต่ขาดความเฉลียวไม่รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำจะอยู่ยากมากครับ
ในองค์กรแบบญี่ปุ่นนี้ส่วนใหญ่รับคำสั่งและทำตามนโยบายสั่งการมาเป็นทอดๆ จากนายสู่ลูกน้อง ดังนั้นบุคลิกกล้าแกร่งทำเกินคำสั่งนี่นายไม่ปลื้มครับ ไม่รู้ว่าใครทำงานในบริษัทญี่ปุ่นบ้างเป็นอย่างไรบ้างครับ
อีกตัวอย่างหนึ่งคือลักษณะบุคลิกของโจผี และโจสิด พี่น้องที่แย่งชิงกันเป็นใหญ่ อย่างที่บอกไปว่าโจสิดเป็นลูกรักผู้เป็นพ่อคือโจโฉ เพราะมีความเป็นเลิศทางกวีมาก อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โจผีเกิดความอิจฉาอยู่ลึกๆ เพราะโจผีไม่เก่งด้านกวีเลยกลับมีพรสวรรค์ทางการรบ การบริหารเมืองซะมากกว่า สุดท้ายตอนที่โจผีชิงบัลลังก์จากจักรพรรดิองค์เดิมเขากระทำอย่างเลือดเย็นมาก ขู่ฆ่าจักรพรรดิโดยบอกให้จักรพรรดิก้มขอชีวิตถึง18 หนสุดท้ายก็ฆ่าและปราบดาภิเษกเป็นปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์เว่ย พระนามว่า สมเด็จพระจักรพรรดิเว่ยเหวินตี้ 曹魏文帝 ภาษาญี่ปุ่นเรียกพระเจ้าบุนเต 文帝 ( คันจิคำว่าบุนนี้แปลความเกี่ยวกับกวี บทความได้คือจักพรรดิ์แห่งกวี อาจโยงไปถึงเรื่องกวี ที่ลึกๆ แล้วอิจฉาน้องที่เป็นเลิศด้านกวี ) แม้ว่าพระเจ้าบุนเตจะบริหารดีทำให้บ้านเมืองเข้มแข็งขึ้นได้ (เพราะมีพรสวรรค์ด้านการทหารและปกครองมากกว่าน้องที่เป็นเลิศด้านกวี เพราะถ้าผู้ที่มีความสามารถด้านกวีขึ้นเป็นผู้นำก็อาจจะสร้างความเข้มแข็งให้เมืองไม่ได้ แต่ชาวเมืองก็จะ ทำแต่ร้องรำ Free style Rap Battle หรือถ้าน้องอีกคนที่ชอบสู้กับเสือขึ้นเป็นผู้นำเมืองนั้นก็อาจจะได้ฝึกการต่อสู้กับเสือกันทั้งเมืองก็ได้ครับ Free style Tiger Battle) แต่พระเจ้าบุนเตเขามีความเลือดเย็นมาก จิตใจแค้นฝังลึก เชื่อคำยุยง เช่นตอนที่นางสนมยุยงให้ฆ่าฮองเฮาของเขาเสีย เขาก็สั่งฆ่าแบบเลือดเย็น บุคคลิกแบบนี้ก็ไม่ค่อยเหมาะกับการเป็นหัวหน้าในองค์กรแบบญี่ปุ่นครับ
สิ่งที่ผมยกตัวอย่างมานี้เป็นบุคลิกลักษณะจากวรรณกรรมอ้างอิงประวัติศาตร์ที่อาจจะเป็นเรื่องจริงหรือเกือบจริงก็ได้แต่ลักษณะนิสัยของบุคคลแต่ละคนก็หลากหลาย การที่เราคิดวิเคราะห์และนำตัวอย่างจากประวัติศาสตร์มาเรียนรู้และแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นจึงเป็นสิ่งที่น่าทำ มีคำพูดข้อคิดว่า "คนที่ย่ำอยู่กับที่จะไม่คิดเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตนเองทำแม้จะผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่คนฉลาดจะเรียนรู้จากประสบการณ์รอบตัวแล้วแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม " วันนี้สวัสดีครับ