xs
xsm
sm
md
lg

สะดุดคำ “ลูกชายคุณมีอารมณ์ทางเพศรุนแรงไหม?” เมื่อสื่อญี่ปุ่นตกเป็นจำเลยสังคม เพราะหนุ่มหน้าหล่อวัยยี่สิบข่มขืนพนักงานโรงแรมวัยสี่สิบ!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์

ยูตะ ทะกะฮะตะ (ซ้าย) กับ ภาพขณะ อะสึโกะ ทะกะฮะตะ มารดาของยูตะแถลงข่าวขออภัยเรื่องลูกชาย (ขวา)
ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies


สะดุดคำ คือ มุมพิเศษซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก ที่ลงทุกวันจันทร์ มุมนี้จะเป็นการบอกเล่า ‘ความเคลื่อนไหว’ หรือ ‘สิ่งที่อยู่ในความสนใจ’ ของคนญี่ปุ่นตามโอกาสพิเศษผ่าน ‘คำสำคัญ’ หรือ ‘คำเด่น’ ในช่วงเวลา หรือฤดูกาลนั้น มีกำหนดนำเสนอเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถติดตามสิ่งที่เป็นปัจจุบัน หรือร่วมสมัยได้ในเวลาใกล้เคียงกับคนญี่ปุ่น อีกทั้งยังต้องการให้ผู้ที่เรียนหรือสนใจภาษาญี่ปุ่น ได้นำคำหลักและคำที่เกี่ยวข้องไปใช้พูดคุยกับคนญี่ปุ่นหากมีโอกาสเพื่อให้บทสนทนาน่าสนใจและมีชีวิตชีวา โดยได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อคนหรือคำญี่ปุ่นไว้ในระดับหนึ่งเพื่ออำนวยประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการค้นคว้าเพิ่มเติม อนึ่ง การถ่ายเสียงจากภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาไทยในทุกบทความอิงหลักการเขียนคำทับศัพท์ภาษาญี่ปุ่นของราชบัณฑิตยสถานเป็นหลักแม้ไม่ทั้งหมดก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องการใช้เสียงสั้นและเสียงยาวตามหลักภาษาญี่ปุ่น

เหตุเกิดเมื่อลูกชายหน้าหล่อวัยยี่สิบกว่า ต้องข้อกล่าวหาว่าข่มขืนพนักงานโรงแรมวัยสี่สิบ!

หนึ่งข่าวเกรียวกราวในญี่ปุ่นในช่วงไม่กี่วันมานี้ คือ ยูตะ ทะกะฮะตะ นักแสดงชาย อายุ 22 ปี ถูกตั้งข้อหาว่าข่มขืนพนักงานโรงแรม และอีกหนึ่งข่าวเกรียวกราวที่ตามมาติด ๆ คือ นักข่าวถามแม่ของยูตะออกอากาศว่า พอจะรู้ไหมว่า ‘อารมณ์ในเรื่องอย่างว่า’ ของลูกชายเป็นอย่างไร? ...ผู้เป็นแม่ก็ตอบให้ แต่นักข่าวได้คำประณามตามมาจากสังคมด้วยว่า ‘ล้ำเส้น’

เรื่องราวคราวนี้อาจไกลตัวคนไทยในแง่บุคคลที่ตกเป็นข่าว แต่เมื่อมองในแง่ของประเด็น ก็มีข้อคิดที่น่านำมาเปรียบเทียบกับสังคมไทย คือ เรื่องความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน

ก่อนจะไปถึงตรงนั้น มีข้อสังเกตด้านความเหมือนและความต่างบางประการที่น่าจะกล่าวไว้ เรื่องแรก คือ ข่าวบันเทิงคือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจได้ง่าย เรื่องนี้เป็นเหมือนกันทั้งญี่ปุ่นและไทย (ยกเว้นเรื่องการประกวดนางงาม ที่ญี่ปุ่นไม่นิยม) ต่อให้ถูกคนบางส่วนวิจารณ์ว่าไร้สาระ หรือเสียเวลาที่จะรับรู้ แต่ก็มียังคนอีกมากที่สนใจจะรู้ เพราะข่าวพวกนี้ตอบสนองสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ คือช่วยเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็น แล้วจะนำมานินทาหรือสรรเสริญนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สื่อมวลชนของญี่ปุ่น ทั้งโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ ต่างก็ให้พื้นที่กับข่าวบันเทิงเป็นล่ำเป็นสันและมีทุกวัน ซึ่งรวมถึงข่าวซุบซิบหยุมหยิม ดาราคนนั้นเป็นแฟนกับคนนี้ ดาราผู้หญิงแอบไปมีอะไรกับสามีชาวบ้าน เป็นต้น
ยูตะ ทะกะฮะตะ (แฟ้มภาพ)
ดังนั้น ในกรณี ยูตะ ทะกะฮะตะ (高畑裕太; Takahata, Yūta) ซึ่งเป็นข่าวคนบันเทิงก่ออาชญากรรม สื่อใหญ่ทุกแขนงจึงไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว และแน่นอนว่าข่าวจะไม่ดังเท่านี้ถ้ายูตะไม่ใช่ ‘เกโนจิง’ (芸能人;geinōjin) หรือ ‘คนในวงการบันเทิง’ และจะไม่ดังเท่านี้ถ้าไม่ใช่ลูกชายของนักแสดงหญิงรุ่นใหญ่ผู้มากความสามารถ และได้รับความชื่นชม ‘อะสึโกะ ทะกะฮะตะ’ (高畑淳子; Takahata, Atsuko)

อีกเรื่องหนึ่งคือ อาชีพสื่อสารมวลชนได้รับการนับหน้าถือตา ถ้ามองในระดับผิวเผิน จุดนี้ของญี่ปุ่นอาจดูเหมือนของไทย แต่ถ้ามองในรายละเอียดแล้ว ความแตกต่างที่เด่นชัดมาก คือ สถานะทางสังคมของนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ บุคลากรด้านนี้ของญี่ปุ่นได้รับความเคารพยำเกรงมากกว่าของไทยและได้เงินเดือนสูง เช่น นักข่าวหนังสือพิมพ์อายุ 39 ปี รายได้เฉลี่ยต่อปีคือ 8,460,000 เยน หรือราวเดือนละ 550,000 เยน บวกกับโบนัสอีกปีละ 1,800,000 เยน (สถิติปี 2557) ส่วนพนักงานเงินเดือนทั่วไป เช่น อายุ 38 ปี รายได้เฉลี่ยคือ 4 - 5 ล้านเยนต่อปี

ในขณะที่นักศึกษาสายสื่อสารมวลชนของไทยที่จบใหม่ ๆ ถ้าไม่รังเกียจการออกไปตะลอนหาข่าวโดยได้เงินเดือนไม่มากนักบวกกับความตื่นเต้นในสายงานและสิทธิพิเศษบางประการแล้ว ก็คงยินดีเข้าสู่เส้นทางอาชีพนี้ แต่ในญี่ปุ่น นี่ไม่ใช่อาชีพที่จะเข้าไปทำได้โดยมีแค่ใจรักเท่านั้น แต่ต้องสอบแข่งขันอย่างเข้มงวดกว่าจะได้งาน และนักสื่อสารมวลชนของญี่ปุ่นมีลักษณะความเป็นนักวิจัยอยู่ในตัว แม้แต่ผู้ประกาศข่าวก็ไม่ได้ทำแค่หน้าที่ออกโทรทัศน์อย่างเดียว แต่ส่วนใหญ่เป็นนักข่าวด้วย บางคนผลิตรายการและเขียนข่าวเองอีกต่างหาก และชั่วโมงการทำงานก็ยาวนานกว่าพนักงานบริษัททั่วไป นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ได้รับเงินเดือนสูง

ด้วยสิ่งที่ดูเหมือนเป็นบารมีที่จะชี้นำสังคมผ่านข้อเขียนและความคิด ตลอดจนทรัพยากรสมองที่จะต้องเป็นคนหัวดีถึงจะทำงานด้านนี้ได้ จึงทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมของนักสื่อสารมวลชนในญี่ปุ่นเป็นที่ยำเกรงในสายตาประชาชนและเป็นอาชีพที่หลายคนใฝ่ฝัน และในความเป็นจริง สื่อมวลชนก็ทรงอิทธิพลต่อชีวิตของสังคมในแทบทุกด้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ทว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่รับประกันความประพฤติของสื่อทั้งหมด และจะเห็นได้ว่า ในไทยเอง หลาย ๆ ครั้งสื่อก็เป็นที่พึ่งให้ประชาชน แต่ก็มีอีกหลาย ๆ ครั้งที่สื่อถูกประชาชนตำหนิเพราะความประพฤติบางอย่าง เช่นเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นครั้งนี้
ยูตะ ทะกะฮะตะ (แฟ้มภาพ)
ย้อนมาดูกรณี นายยูตะ ทะกะฮะตะ ยูตะเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่กำลังเริ่มได้รับความนิยมกว้างขวางในช่วง 3 - 4 ปี มานี้ ด้วยหน้าตาหล่อเหลาและความสูงถึง 181 เซนติเมตร ส่วน อะสึโกะ ทะกะฮะตะ ผู้เป็นแม่ อยู่ในวงการมานานแล้ว ตอนนี้อายุ 61 ปี หากจะว่าไป อะสึโกะเป็นที่รู้จักกว้างขวางกว่า ข่าวใหญ่เกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่วันที่ 23 สิงหาคม กล่าวคือ ที่จังหวัดกุมมะ ทางเหนือของกรุงโตเกียว ยูตะถูกตำรวจจับกุมโดยถูกกล่าวหาว่าข่มขืนกระทำชำเราพนักงานโรงแรมอายุ 40 กว่าปีคนหนึ่ง และสารภาพกับตำรวจ โดยให้การว่า ‘เห็นผู้หญิง (คนนี้) แล้ว ระงับอารมณ์ไม่ได้ ขอยอมรับสิ่งที่ทำลงไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การวางแผนล่วงหน้า’

ตามขนบของญี่ปุ่น ปกติไม่มีการใช้คำว่า ‘นาย’, ‘นาง’, ‘นางสาว’ ประกอบกับชื่อของบุคคล แต่เมื่อบุคคลตกเป็น ‘ผู้ต้องสงสัย’ ก็จะได้รับคำต่อท้ายชื่อ (นามสกุล) มาทันที คือคำว่า ‘โยงิชะ’ (容疑者;yōgisha) เมื่อชื่อออกสื่อจึงเป็น ‘ทะกะฮะตะ - โยงิชะ’—ทะกะฮะตะผู้ต้องสงสัย หรือ ‘ยูตะ - โยงิชะ’—ยูตะผู้ต้องสงสัย (ใช้ชื่อต้นในบางกรณีเพื่อเลี่ยงความสับสนระหว่างแม่กับลูกซึ่งใช้นามสกุลเดียวกัน) ข่าวแพร่สะพัดทันที และเกิดกระแสวิจารณ์ทั้งในเชิงสงสัย โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ‘ดาราหนุ่มหน้าหล่ออายุ 22 ปี ข่มขืนผู้หญิงอายุ 40 กว่า?’ และในเชิงปกป้องที่ว่า ‘ข้อมูลยังไม่ชัดเจน ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร? อย่าเพิ่งฟังความข้างเดียว’ หรือแม้กระทั่ง ‘ยูตะมีอาการบกพร่องเชิงพัฒนาการหรือเปล่า’
อะสึโกะ ทะกะฮะตะ (แฟ้มภาพ)
อย่างไรก็ตาม เรื่องของคดีก็คงต้องให้ตำรวจสืบสวนหาความจริงกันต่อไป ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่ผลกระทบที่ตามมา คือ แม่ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะก็นิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ ต้องออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับลูกชาย และสิ่งที่น่าสังเกต คือ ตามวัฒนธรรมญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นยินดีขอโทษหากตัวเองมีส่วนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าทางกายหรือทางใจแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของตัวเองโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ด้วยแล้ว วัฒนธรรมญี่ปุ่นถือว่าถ้าลูกผิด พ่อแม่ย่อมมีส่วนรับผิดชอบด้วย

ในครั้งนี้ก็เช่นกัน อันดับแรก อะสึโกะ ทะกะฮะตะ แถลงขออภัยต่อสังคมที่ลูกชายได้สร้างความเดือดร้อนทางจิตใจให้แก่คนหมู่มาก แม้ว่าความจริงในเบื้องลึกยังไม่กระจ่างทั้งหมดก็ตาม และในฐานะแม่ อะสึโกะไม่หนี ไม่แถ แต่ออกมาแถลงข่าวและตอบคำถามเกี่ยวกับลูกชายตัวเองทั้งน้ำตา โดยยืนตั้งแต่ต้นจนจบรวมเวลา 64 นาทีต่อหน้านักข่าวและช่างภาพราว 300 คน เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม กระแสในอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ก็ชื่นชมเธอในฐานะแม่ แต่ในทางกลับกันก็มีคนบางส่วนมองอีกมุมว่า ‘เลี้ยงลูกยังไง ถึงได้กลายเป็นแบบนี้’

อะสึโกะก็คงพยายามเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดแล้ว แต่ก็คงรู้สึกผิดที่เลี้ยงลูกให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีตามครรลองของสังคมไม่ได้ และโดยส่วนตัว ผมคิดว่าการเลี้ยงดีก็ไม่ได้รับประกันว่าลูกจะดีได้ทุกเรื่อง เหมือนที่มีตัวอย่างให้เห็นมากมายในสังคมไทยจนมีสำนวนว่า ‘เลี้ยงได้แต่ตัว’ ซึ่งก็น่าเห็นใจคนเป็นแม่อยู่ไม่น้อย และในสังคมญี่ปุ่น ภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก หลังจากยูตะถูกจับ ก็เกิดการลงโทษทางสังคมขึ้นมาทันที ทั้งละครและรายการทีวีที่ยูตะเล่นก็ถูกทบทวนและระงับ แต่ไม่ใช่แค่นั้น งานโฆษณาของอะสึโกะผู้เป็นแม่เองก็ถูกพิจารณาใหม่ว่าจะทำอย่างไรดี

อันที่จริง คำให้การของยูตะที่ว่าเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้วบันดาลอารมณ์อัศจรรย์ ทำให้นึกถึงทฤษฎีการควบคุมตนเอง (self-control theory) ขึ้นมา ไม่ต้องมองไปถึงการคุมอารมณ์ทางเพศไม่อยู่ เอาแค่ในชีวิตประจำวัน ผมเชื่อว่า คงมีหลายท่านที่เคยได้ประสบพบเจอคนรอบตัวที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อาจจะเป็นเจ้านาย หรือเพื่อนร่วมงานก็แล้วแต่ คนประเภทนี้จะโวยวายปรอทแตกขึ้นมาทันทีด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือคำพูดสักคำที่ไม่เป็นแก่นสารอันใด นั่นคือความสามารถในควบคุมอารมณ์ของตนเองต่ำ

ทฤษฎีนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและเป็นพื้นฐานของผู้เรียนอาชญาวิทยา นักวิจัยไมเคิล อาร์. กอตต์เฟรดสัน (Michael R. Gottfredson) และ แทรวิส เฮิร์สชี (Travis Hirschi) ซึ่งพัฒนาทฤฎีนี้ขึ้นในทศวรรษ 1990 บอกว่า อาชญากรรมส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ก่อง่าย ไม่ต้องวางแผนนาน และแทบไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ระยะยาวต่อผู้ลงมือ พูดง่าย ๆ ก็คือ เกิดเพราะอารมณ์ชั่ววูบ

คนที่ควบคุมตัวเองได้ต่ำ โดยธรรมชาติแล้วเป็นพวกขาดความอ่อนไหวต่อผู้อื่น ชอบเสี่ยง และไม่เพียงแต่เป็นสาเหตุของการก่ออาชญากรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุของบุคลิกภาพบกพร่องในการเข้ากับผู้อื่น และมีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาในการคบคน การแต่งงาน และมีโอกาสหันไปพึ่งยาเสพติดได้ง่ายด้วย สาเหตุอยู่ที่การเลี้ยงดู ได้แก่ พ่อแม่ไม่ดูแลเอาใจใส่ต่อลูก ไม่มีเวลาสำหรับลูก ไม่ได้คำนึงว่าพฤติกรรมของลูกไม่เหมาะสม ไม่ลงโทษลูก ลักษณะเช่นนี้อาจเกิดในวัยเด็กจนถึงอายุประมาณ 8 ขวบ ถ้าในช่วง 8 - 10 ขวบ ไม่มีลักษณะเช่นนั้นแล้ว ก็มีแนวโน้มว่าการควบคุมตัวเองได้ต่ำอาจจะไม่เกิดขึ้น เมื่อเติบโตก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่ควบคุมอารมณ์ได้ อารมณ์ไม่แปรปรวนง่าย และกำราบได้เมื่อเกิดอารมณ์วูบวาบ
อะสึโกะ ทะกะฮะตะ ขออภัยเรื่องลูกชายผ่านบล็อกของตน
และคงด้วยมุมมองตามทฤษฎีนี้ที่มีต่อยูตะกระมัง นักข่าวถึงได้ถามคนเป็นแม่ว่า

ถ: “เคยมีกรณีที่เขาสกัดกั้นความประพฤติทางเพศไม่ได้ หรือเบรกการกระทำของตัวเองไม่อยู่ หรืออะไรทำนองนั้นบ้างไหม” (Yomiuri TV)
ต: “ด้านที่ดิฉันเห็น คือด้านที่แสดงออกมาภายในครอบครัวเท่านั้นค่ะ ตอนนี้ลองนึกดูถึงจุดนั้น ก็ไม่เห็นด้านที่ถูกกล่าวถึงค่ะ”

ถ: “จับสังเกตอะไรได้บ้างเกี่ยวกับอุปนิสัยทางเพศของยูตะผู้ต้องสงสัย” (Fuji TV)
ต: “ในฐานะที่มีลูกชายคนเดียว คิดว่าก็ปกติดีค่ะ”

ถ: “อย่างเช่น มีอารมณ์ทางเพศรุนแรง? รสนิยมทางเพศ? อะไรทำนองนั้น” (Fuji TV)
ต: “คือไม่เคยรู้สึกว่าลูกชายมีรสนิยมทางเพศผิดปกติแต่อย่างใดค่ะ”

ลูกทำผิด แล้วถามแม่ว่า “ลูกชายมีอารมณ์ทางเพศรุนแรงไหม” ออกสื่อ?

ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าเป็นสื่อมวลชนไทยจะกล้าถามแบบนี้ไหม แต่ที่แน่ๆ คือ นักข่าวญี่ปุ่นถูกวิจารณ์อย่างมากถึงความไม่เหมาะสม

สื่อมวลชนได้รับการขนานนามว่าเป็นฐานันดรที่ 4 อยู่ในสถานะที่ชี้นำสังคมได้ และมีเสรีภาพในการนำเสนอ แต่บางทีก็ควรใส่ใจความรู้สึกของผู้รับให้มากๆ เช่นกัน ถ้ายูตะควบคุมอารมณ์ตนเองได้ต่ำ ก็น่าคิดอยู่เหมือนกันว่าคนถามคำถามแบบนี้ควบคุมได้สูงแค่ไหน?

**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุก ๆ วันจันทร์ ทาง www.manager.co.th

กำลังโหลดความคิดเห็น