รัฐบาลญี่ปุ่นหวังว่าชาวอังกฤษจะลงมติเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปต่อไป เนื่องจากญี่ปุ่นมีการลงทุนจำนวนมากในอังกฤษ และหากอังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป จะส่งผลปั่นป่วนต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก
ประชาชนในอังกฤษจะออกเสียงลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อตัดสินใจว่าอังกฤษจะอยู่กับสหภาพยุโรปต่อไป หรือถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป โดยนายกฯ ชินโซ อะเบะ ผู้นำญี่ปุ่นระบุว่า “หวังว่าอังกฤษจะเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งของสหภาพยุโรปต่อไป”
อังกฤษเป็นฐานสำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากในสหภาพยุโรป อีกทั้งเป็นที่หมายการลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 รองจาก สหรัฐฯ จีน และเนเธอร์แลนด์
สถานีโทรทัศน์ NHK รายงานว่า สถิติของกระทรวงการคลังญี่ปุ่น และธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่า การลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่นในอังกฤษอยู่ที่เกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อสิ้นปีที่แล้ว
เงินทุนของญี่ปุ่นร้อยละ 32 ลงไปที่ภาคการเงินการคลังและประกัน ส่วนเงินทุนร้อยละ 14 ไปที่ภาคการทำเหมือง ซึ่งรวมถึงโครงการก๊าซธรรมชาติและน้ำมันทะเลเหนือ
ความกังวลเรื่องอังกฤษจะถอนตัวจากสหภาพยุโรป ส่งผลให้เงินเยนแข็งค่าเป็นประวัติการณ์ โดยนักลงทุนในญี่ปุ่นต่างกังวลว่าหากอังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากที่ลงทุนในอังกฤษและยุโรป แต่จะทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วนหนัก
นายกฯ ชินโซ อะเบะ ยืนยันกับนายกฯ เดวิด คาเมรอน ของอังกฤษที่เข้าร่วมการประชุมชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ หรือ จี 7 ที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนที่แล้วว่า ญี่ปุ่นคาดหวังว่าอังกฤษจะเป็นสมาชิกที่เข้มแข็งของสหภาพยุโรปต่อไป
ผลการสำรวจพบว่า ชาวอังกฤษที่ต้องการให้ถอนตัวจากสหภาพยุโรป กับที่สนับสนุนให้อยู่กับสหภาพยุโรปต่อไป มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมาก แบบที่ไม่อาจจะชี้ขาดได้
ฝ่ายที่รณรงค์ให้อังกฤษอยู่กับสหภาพยุโรปต่อไป ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอนรวมอยู่ด้วย ยืนกรานว่า อังกฤษจะต้องเผชิญผลเสียหายร้ายแรงทางเศรษฐกิจ เนื่องจากปริมาณการส่งออกครึ่งหนึ่งของอังกฤษ เป็นการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป และว่า การถอนตัวจากสหภาพยุโรป อาจส่งผลเสียเช่นกันต่อการบริหารจัดการด้านความมั่นคงปลอดภัย
ด้านฝ่ายที่รณรงค์สนับสนุนให้อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป นายบอริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน และคนอื่น ๆ ระบุว่า สหภาพยุโรปกำหนดกฎระเบียบต่าง ๆ มากเกินไป ทั้งนี้ พวกเขาต้องการลดการเข้าเมืองจากยุโรป และยกเหตุผลขึ้นมาโต้แย้งว่า หลักการเดินทางไปมาอย่างเสรีของสหภาพยุโรป ทำให้จำนวนคนเข้าเมืองหลั่งไหลทะลักเข้าไปยังอังกฤษมากขึ้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งของอังกฤษ กล่าวว่า ผู้มีสิทธิออกเสียงมีจำนวนกว่า 46 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์.