ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์
Tokyo University of Foreign Studies
Tokyo University of Foreign Studies
เพิ่งทราบจากพระโอษฐ์ว่าทรงสนิทกัน
ญี่ปุ่นกับไทยมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน หนึ่งในนั้นที่ผมตระหนักเป็นครั้งแรกเมื่อได้มาใช้ชีวิตในญี่ปุ่นคือ ทั้งกษัตริย์ไทยและจักรพรรดิญี่ปุ่นองค์ปัจจุบันต่างก็เสด็จพระราชสมภพในเดือนธันวาคม เดือนสุดท้ายของปีจึงมีวันแห่งการเฉลิมฉลองที่สำคัญของชาวไทยคือวันที่ 5 ธันวาคม และในทำนองเดียวกัน วันสำคัญสำหรับคนญี่ปุ่นคือวันที่ 23 ธันวาคม แม้ว่าการฉลองของญี่ปุ่นไม่ใหญ่โตเหมือนของไทย แต่การได้เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิก็เป็นประเพณีที่มีมานานและสร้างความปีติแก่ประชาชนญี่ปุ่นจำนวนมาก ในโอกาสที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระจักรพรรดิกำลังจะเวียนมาถึง ซึ่งพระองค์จะมีพระชนมายุครบ 82 พรรษา ผมจึงขอมองย้อนเรื่องราวความสัมพันธ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นกับไทยในบางแง่มุมไว้ในพื้นที่นี้ด้วย
จักรพรรดิวงศ์ของญี่ปุ่นในขณะนี้สนิทชิดเชื้อกับราชวงศ์ของไทยในรัชกาลปัจจุบันมาหลายสิบปี ผมควรเล่าย้อนกลับไปหน่อยว่า อันที่จริงผมไม่เคยทราบมาก่อนว่าสองราชวงศ์ญี่ปุ่น-ไทยใกล้ชิดกัน จนกระทั่งได้มาญี่ปุ่นถึงได้ตระหนักในความจริงข้อนี้ และได้ทราบว่าไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบเป็นทางการเท่านั้น แต่เป็นความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นสหายที่รู้จักกันดีมาเนิ่นนานเลยทีเดียว
ตอนที่ได้ทราบคือเมื่อปี พ.ศ.2544 (ค.ศ. 2001) ผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยวาเซดะในฐานะนักศึกษาวิจัย กำลังเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโท วันหนึ่งในเดือนกันยายน เพื่อนผู้หญิงชาวญี่ปุ่นชวนไปเที่ยว “มหาวิทยาลัยกะกุชูอิง” ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เชื้อพระวงศ์ของญี่ปุ่นเข้าเรียนกันทุกพระองค์ แต่ถ้าเหตุผลมีแค่นั้น ผมก็ยังรู้สึกว่าไม่มีแรงดึงดูดเพียงพอให้ตัดสินใจไปด้วย และใจจริงคิดว่า “ไม่อยากไป” ด้วยซ้ำ
“ไปเถอะ ๆ ไม่ไกลจากวาเซด้าหรอก” เธอคะยั้นคะยอ เพื่อนคนนี้เคยเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดภาษาไทยได้ แม้บางคำอาจจะพูดไม่เหมือนคนไทย แต่ส่วนใหญ่ก็คล่อง และคนไทยฟังเข้าใจได้หมด
ก็จริงอย่างที่เธอว่า มหาวิทยาลัยกะกุชูอิงไม่ไกลจากวาเซดะ นั่งรถไฟไปแค่สถานีเดียวก็ถึง แต่ผมไม่อยากไปเพราะกังวลเรื่องการสอบ การเรียน และอะไรต่ออะไรอีกมากมายในชีวิตเนื่องจากมาถึงญี่ปุ่นได้เพียงครึ่งปี เธอคงจับสังเกตอะไรบางอย่างได้ จึงรีบอธิบายว่า
“ไปรับเสด็จพะเตปนะ ไปเถอะ ๆ”
อ้อ...เธอหมายความว่าไปรับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผมจึงไปด้วยความรู้สึกที่มากกว่ายินดี เพราะรู้ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ได้เข้าเฝ้าฯ ในต่างแดน
วันที่ 19 กันยายน 2544 มหาวิทยาลัยกะกุชูอิงทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาการบริหารแด่พระองค์ ผมนั่งอยู่ในหอประชุมร่วมกับนักศึกษาชาวญี่ปุ่นคนอื่น ๆ ที่มาร่วมพิธีกันเนืองแน่น สมเด็จพระเทพฯ ประทับบนเวที มีล่ามผู้ชายใส่สูทนั่งเยื้องไปทางด้านหลังของพระองค์อยู่ไม่ห่างนัก ขณะที่ตัวแทนมหาวิทยาลัยกล่าวรายงาน ล่ามก็ทำหน้าที่ไป ผมนั่งอยู่ข้างล่าง ฟังภาษาญี่ปุ่นออกบ้างไม่ออกบ้าง ตอนนั้นวาดฝันอยู่ในใจว่า ต่อไปเราจะต้องเก่งภาษาญี่ปุ่นและเป็นล่ามให้ได้อย่างเขา เอาแค่แปลรู้เรื่องก็พอ ไม่ต้องถึงขนาดแปลถวายเชื้อพระวงศ์หรอก
นั่งนึกอะไรเพลินๆ ได้ไม่เท่าไรพิธีก็จบ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ออกจากหอประชุมไปแล้ว ทางมหาวิทยาลัยเปิดพื้นที่ให้สมเด็จพระเทพฯ ได้มีพระราชปฏิสันถารกับชาวไทย ผมคือหนึ่งในคนไทยกลุ่มนั้นซึ่งคงมีไม่ต่ำกว่า 30-40 คน ตอนนั้นไม่ได้นึกว่าสักวันจะได้มาเขียนเล่าความหลัง จึงไม่ได้บันทึกอะไรเป็นตัวอักษร สิ่งที่เล่าอยู่ตอนนี้ล้วนมาจากความทรงจำ
สมเด็จพระเทพฯ ไม่ทรงถือพระองค์เลย พระราชทานพระราชวโรกาสให้คนไทยทั้งกลุ่มขยับเข้าไปติดหน้าเวที ใกล้ชิดมาก พระองค์มีพระราชดำรัสอย่างเป็นกันเองในหลายๆ เรื่อง หนึ่งในนั้นที่ผมจำได้แม่นมีใจความว่า “มาญี่ปุ่นหลายทีแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นสักที...ส่วนทางญี่ปุ่น [ผมฟังไม่ถนัด แต่คาดว่าทรงหมายถึงเชื้อพระวงศ์ทางฝ่ายญี่ปุ่น โดยเฉพาะเจ้าชายฟุมิฮิโตะ เจ้าอะกิชิโนะ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 แห่งสมเด็จพระจักรพรรดิ และเป็นพระสหายของสมเด็จพระเทพฯ] ท่านเสด็จไทยบ่อย มาทีไรก็มักจะมีของเล่นน่ารักๆ มาฝากเป็นประจำ”
คำอื่นผมอาจจะจำคลาดเคลื่อนได้ แต่จำคำว่า “ของเล่น” ได้แม่นยำ และด้วยคำนี้จึงอนุมานได้ทันทีว่าราชวงศ์ของไทยกับญี่ปุ่นสนิทกันเป็นการส่วนตัวในระดับที่ไม่ธรรมดา คนวัยยี่สิบต้นๆ อย่างผมในตอนนั้นจึงเริ่มย้อนกลับไปสืบค้นเรื่องความสัมพันธ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นกับไทย และได้รู้เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันว่าปลานิลที่ตัวเองชอบกินแบบทอดจิ้มน้ำปลานั้น จริงๆ แล้วก็เป็นของนำเข้าจากญี่ปุ่น
จักรพรรดิญี่ปุ่นกับปลานิล
ในโลกนี้ ประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์มีน้อยลง และในบรรดาประเทศเหล่านั้น ปัจจุบัน ญี่ปุ่นคือประเทศเดียวในโลกที่มี “จักรพรรดิ”, หรือ emperor ในภาษาอังกฤษ, หรือ “เท็นโน” (天皇;tennō) ในภาษาญี่ปุ่น คำถามที่หลายคนคงรู้สึกค้างคาใจคือ คำว่า “กษัตริย์” (ซึ่งภาษาไทยใช้เป็นคำแปลของ monarch และ king [ราชา]) กับ “จักรพรรดิ” (emperor) ต่างกันอย่างไร คำอธิบายง่ายที่สุดตามรูปศัพท์ภาษาอังกฤษคือ กษัตริย์ปกครองประเทศ ส่วนจักรพรรดิปกครองจักรวรรดิหรือสหภาพของรัฐต่างๆ ที่รวมกันเป็นอาณาจักรใหญ่ และในจักรวรรดิอาจจะมีประเทศโน้นประเทศนี้ ซึ่งแต่ละประเทศอาจมีกษัตริย์ปกครองอยู่ด้วย
ตามนัยนี้ “จักรพรรดิ” จึงส่อนัยว่า ‘ใหญ่’ กว่ากษัตริย์ แต่ในความเป็นจริง อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เช่น อังกฤษก็เคยครองสถานะ “จักรวรรดิอังกฤษ” แต่ก็ใช้คำว่า King (หรือ Queen) เรื่อยมา ส่วนญี่ปุ่น ตามประวัติศาสตร์อาจเคยเป็นจักรวรรดิในบางช่วงและไม่ใช่ในบางช่วง แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยังคงใช้คำว่า “จักรพรรดิ” มาตลอด ดังนั้น ทุกวันนี้ คำว่า “จักรพรรดิ” ของญี่ปุ่น ก็ไม่ได้ ‘ใหญ่’ หรือ ‘เล็ก’ กว่ากษัตริย์ของที่ไหน เป็นแค่การ ‘แล้วแต่จะเลือกใช้คำ’ และเป็นวาทกรรมที่ตกทอดมาจากประวัติศาสตร์ โดยสื่อถึงสถาบันกษัตริย์ทั่ว ๆ ไปเช่นเดียวกับประเทศอื่นในโลก
ในกรณีจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ตามขนบญี่ปุ่น การกล่าวถึงพระองค์จะไม่เอ่ยพระนาม และจะไม่เอ่ยถึงพระองค์ด้วยชื่อยุคสมัย แต่จะเอ่ยอย่างเป็นทางการว่า “จักรพรรดิรัชกาลปัจจุบัน” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “คินโจเท็นโน” (今上天皇; kinjō tennō)หรือคำที่พูดในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลายกว่าคือ “สมเด็จพระจักรพรรดิ” ซึ่งภาษาญี่ปุ่นพูดว่า “เท็นโนเฮกะ” (天皇陛下; tennō hēka) ด้วยขนบดังกล่าว สำหรับพระจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน สื่อมวลชนหรือประชาชนของญี่ปุ่นไม่เอ่ยพระนามเลย แต่สื่อภาษาอังกฤษและสื่อไทยมักจะเขียนว่า Emperor Akihito หรือ สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ นอกจากนี้ ในรัชกาลปัจจุบันซึ่งเรียกว่าสมัยเฮเซ (平成;Hēsē; ปีปัจจุบันคือเฮเซที่ 27) จะไม่เรียกว่าจักรพรรดิเฮเซ การเอ่ยถึงจักรพรรดิโดยใช้ชื่อสมัยจะกระทำเมื่อสิ้นสุดรัชกาลของพระองค์ไปแล้ว เช่น “จักรพรรดิ (แห่งยุค) เมจิ” เรียกว่า “เมจิเท็นโน” (明治天皇;Mēji Tennō), “จักรพรรดิ (แห่งยุค) โชวะ” เรียกว่า “โชวะเท็นโน” (昭和天皇;Shōwa Tennō)
“คินโจเท็นโน” ของญี่ปุ่นเสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ 2476 (ค.ศ. 1933) ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 125 แห่งญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2532 (ค.ศ. 1989) ต่อจากจักรพรรดิโชวะพระราชบิดา ขณะนั้นมีพระชนมายุ 55 พรรษา มากเป็นอันดับ 2 รองจากจักรพรรดิโคนิงซึ่งขึ้นครองราชย์ (ค.ศ. 770-781) ขณะที่มีพระชนมายุ 62 พรรษา คินโจเท็นโนเป็นนักวิจัยด้านมีนวิทยา (ศาสตร์ที่เกี่ยวกับปลา) พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์ของไทยมาช้านาน ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดปรากฏอยู่ในหนังสือ “รอยยิ้มเชื่อมใจ 120 ไทย-ญี่ปุ่น” ซึ่งออกโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียวเนื่องในโอกาสสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นครบ 120 ปี ข้อความส่วนหนึ่งในหน้า 61 คือ
“เจ้าฟ้าชายมกุฎราชกุมารอากิฮิโต (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ผู้ทรงเชี่ยวชาญเรื่องปลา ได้ทรงเลือกสรรลูกพันธุ์ปลาแท้จำนวน 50 ตัว ส่งมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2508 เนื่องจากทรงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงกำลังหาพันธุ์ปลาที่เลี้ยงง่ายขยายพันธุ์เร็ว และสามารถอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำตามธรรมชาติของไทยได้ทุกภาค เพื่อแก้ปัญหาประชาชนไทยขาดโปรตีนเนื้อสัตว์ราคาย่อมเยา”
ต้นกำเนิดของเรื่องนี้คือ มกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ (明仁;Akihito) เคยเสด็จฯ เยือนไทยเมื่อปี พ.ศ.2507 และทรงทราบจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าชาวเขาเผ่าม้งขาดแหล่งโปรตีน พระองค์จึงทูลเกล้าฯ ถวายพันธุ์ปลา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทดลองเลี้ยงปลาชนิดนั้นในวังสวนจิตรลดาเพื่อศึกษาจนได้ผลดี และได้พระราชทานให้กรมประมงนำไปเลี้ยง ก่อนจะเผยแพร่สู่ประชาชนต่อไป ปลาชนิดนั้นได้ชื่อดังที่หนังสือเล่มเดียวกันอธิบายว่า “...พร้อมกับพระราชทานชื่อปลาว่า ‘ปลานิล’ ซึ่งเป็นภาษาบาลีสันสกฤตแปลว่า ‘ดำ’ อันมาจากลักษณะเฉพาะของปลาที่มีบั้งพาดขวางลำตัวสีดำ มีครีบสีน้ำเงินประจุดขาว”
สำหรับชื่อปลานิล บางครั้งอาจจะพบข้อมูลในอินเทอร์เน็ตจากหลายแหล่ง (เข้าใจว่าอ้างต่อๆ กันมา) ระบุว่าปลานิลได้ชื่อเช่นนั้นเพราะแหล่งกำเนิดเดิมอยู่ที่แม่น้ำ Nile (ไนล์) ในประเด็นนี้ ผมคงทำได้แต่เพียงนำเสนอข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในมือเท่านั้นและโดยส่วนตัวเชื่อข้อความจากสถานทูตมากกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องชื่อปลานิลนี้ ยังกลายเป็นเรื่องเล่าทางฝั่งญี่ปุ่นอีกว่า ประชาชนเชื้อสายจีนในไทยซาบซึ้งในพระกรุณาของมกุฎราชกุมาร จึงเขียนชื่อปลาด้วยตัวอักษรจีนหรืออักษรคันจิของญี่ปุ่นว่า仁魚โดยใช้อักษรตามพระนามของพระองค์ การเขียนว่า 仁魚 นั้น เขียนตัวอักษรได้ แต่ยังไม่มีการกำหนดคำอ่านเป็นภาษาญี่ปุ่นที่แน่ชัด จึงเป็นการอ่านทับศัพท์ภาษาไทยด้วยสำเนียงญี่ปุ่นว่า “ปุรานิง” (หมายถึง ปลานิล) เมื่อพิจารณาที่มาก็จะพบว่า พระนามอะกิฮิโตะเขียนด้วยตัวอักษร 明 (อะกิ) กับ 仁 (ฮิโตะ) อักษรตัวหลังนี้อ่านได้อีกเสียงหนึ่งว่า “นิง” (nin) จะเห็นได้ว่าใกล้เคียงกับเสียง “นิล” จึงนำไปประกอบกับ “ซะกะนะ” (魚; sakana) ที่แปลว่า ปลา และได้คำว่า仁魚 หมายถึง ปลานิง หรือ ปลานิน หรือ ปลานิล นั่นเอง และถือว่าเป็นการรำลึกถึง ‘เจ้าฟ้าชาย’ ผู้พระราชทาน
ทุกวันนี้ เด็กรุ่นหลัง ๆ (รวมทั้งผมด้วย) จำนวนมากคิดว่า (หรือเคยคิดว่า) ปลานิลคือปลาไทย แต่ดูเหมือนคนรุ่นก่อน ๆ จะรู้ดีกว่าว่าไม่ใช่ นิตยสาร “โซะโกะกุ โตะ เซเน็ง” (祖国と青年; Sokoku to sēnen) ของญี่ปุ่นฉบับเดือนมกราคม 2535 ลงว่า “ว่ากันว่าเมื่อไปถามประชาชนในตลาดถึงที่มาของปลา [นิล] ดูเหมือนผู้คนก็รู้ที่มาเป็นอย่างดี ดังนี้ ‘ปลานี้มาจากไหนล่ะเนี่ย รู้รึเปล่า’ ‘รู้สิ เจ้าฟ้าชายของญี่ปุ่น (มกุฎราชกุมาร) เอามาให้น่ะซี’ ” ผมทราบเรื่องนี้เมื่อมาอยู่ญี่ปุ่นแล้ว ทำให้รู้สึกขอบคุณประเทศนี้มากขึ้นกว่าเดิมที่ให้ทั้งการศึกษาและให้ปลาด้วย
นอกจากการเสด็จฯ เยือนไทยในฐานะมกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะแล้ว หลังจากขึ้นครองราชย์ในปี 2532 ก็ทรงเริ่มเสด็จฯ เยือนประเทศต่าง ๆ ในฐานะจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นโดยที่ทรงเลือกเยือนไทยเป็นประเทศแรก ในปี 2534 พระองค์เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระจักรพรรดินีเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3 ประเทศตามลำดับคือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน ถึง 3 ตุลาคม หมายกำหนดการคร่าว ๆ ของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จฯ เยือนไทยมีดังนี้
26 กันยายนเสด็จฯ ถึงกรุงเทพฯ
28 กันยายน สุโขทัย
29 กันยายน เชียงใหม่
30 กันยายนเสด็จฯ มาเลเซีย
ทางฝั่งไทยรับเสด็จฯ สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีในฐานะพระราชอาคันตุกะโดยจัดพิธีอย่างสมพระเกียรติในระดับสูงสุด วันที่ 26 กันยายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ยังท่าอากาศยานดอนเมืองด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติราชวงศ์ไทย และมีการยิงสลุตหลวง 21 นัด นอกจากการเสด็จฯ เยือนที่ต่าง ๆ แล้ว วันที่ 29 กันยายนช่วงบ่าย สมเด็จพระจักรพรรดิเสด็จฯ ทอดพระเนตรการเพาะเลี้ยงปลานิลในโครงการพระราชดำริด้วย หลังจากครั้งนั้นแล้ว การเสด็จฯ เยือนไทยอย่างเป็นทางการของสองพระองค์คือในปี 2549 เมื่อครั้งที่ทรงเข้าร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นี่คือแง่มุมหนึ่งของสองราชวงศ์ที่สนิทกันมานานและเชื้อพระวงศ์ยังคงไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนพระองค์อยู่บ่อย ๆ ทั้งในแบบที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว คงเพราะความคล้ายคลึงกันหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะนิสัยประจำชาติ ญี่ปุ่นกับไทยถึงได้เข้ากันง่าย ไม่ว่าในระดับประชาชน หรือคนในราชวงศ์ก็ตาม
**********
คอลัมน์ญี่ปุ่นมุมลึก โดย ดร.โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์ แห่ง Tokyo University of Foreign Studies จะมาพบกับท่านผู้อ่านโต๊ะญี่ปุ่น ทุกๆ วันจันทร์ ทาง www.manager.co.th