ความพ่ายแพ้ในการประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในอินโดนีเซียให้กับประเทศจีน ไม่เพียงเป็นบทเรียนอันเจ็บปวดซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นต้องทบทวนตัวเอง แต่ยังพิสูจน์ว่ารัฐบาลแดนมังกรสามารถใช้ทักษะเกมทุนนิยมแบบที่ญี่ปุ่นเคยชำนาญ ย้อนกลับมาเล่นงานญี่ปุ่นเอง
หลังจากรัฐบาลอินโดนีเซียแจ้งต่อญี่ปุ่นว่า อินโดนีเซียจะนำระบบรถไฟความเร็วสูงของจีนไปใช้ในเส้นทางรถไฟเชื่อมกรุงจาการ์ตา นครหลวงของอินโดนีเซียกับเมืองบันดุง ระยะทาง 140 กิโลเมตร นายโยะชิฮิเดะ ซุงะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุว่า “เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ” และแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจของรัฐบาลอินโดนีเซีย พร้อมยอมรับว่าความพ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้นับเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น
สิ่งที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุว่า “ไม่น่าเชื่อ” ก็คือ ข้อเสนอของรัฐบาลจีนที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูงให้กับอินโดนีเซียด้วยเงินทุนของรัฐบาลจีน โดยที่รัฐบาลอินโดนีเซียไม่ต้องใช้งบประมาณและไม่ต้องค้ำประกันเงินกู้ด้วย สอดคล้องกับคำยืนยันจากรัฐบาลแดนอิเหนาที่ระบุว่า โมเดลของฝ่ายจีนที่เป็นการลงทุนโดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเอกชน โดยรัฐบาลไม่ต้องเกี่ยวข้องนั้นถูกใจรัฐบาลอินโดนีเซียเป็นที่สุด เพราะไม่ต้องแบกรับภาระงบประมาณใดๆทั้งสิ้น
ญี่ปุ่นและจีนแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงสายแรกของอินโดนีเซีย จนทำให้ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย ประกาศระงับการตัดสินใจโครงการชั่วคราวเมื่อเดือนก่อน แต่สุดท้ายรัฐบาลแดนอิเหนาก็ได้มอบสิทธิ์การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงให้กับแดนมังกร ด้วยข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธดังกล่าว
ศึกศักดิ์ศรี หักเหลี่ยมเฉือนคม
รัฐบาลจีนและญี่ปุ่นพยายามช่วงชิงโครงการนี้ โดยการล็อบบี้ทั้งที่เปิดเผยและในทางลับ ข้อมูลจากฝ่ายอินโดนีเซียระบุว่า ช่วงริเริ่มโครงการในสมัยอดีตประธานาธิบดีซูชิโล บัมบัง ยุดโดโยโน่ ฝ่ายญี่ปุ่นได้เปรียบมากกว่าเพราะเสนอราคาต่ำกว่าที่ 4,500ล้านดอลลาห์สหรัฐฯ ขณะที่ฝ่ายจีนเสนอราคา 5,500 ล้านดอลลาห์
ฝ่ายญี่ปุ่นยังมั่นใจในเทคโนโลยีชินคันเซนที่มีความปลอดภัยสูง เหมาะสมกับประเทศที่ต้องประสบเหตุแผ่นดินไหวบ่อยครั้งอย่างอินโดนีเซีย รัฐบาลญี่ปุ่นยังเชื่อว่า การเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด และได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการสาธารณูปโภคมากมายในอินโดนีเซีย คือข้อได้เปรียบอย่างยิ่งของญี่ปุ่นในการแข่งขันเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูงแก่อินโดนีเซีย
แต่ฝ่ายญี่ปุ่นกลับคาดไม่ถึงว่า รัฐบาลจีนจะใช้เล่นเกม “เจ้าบุญทุ่ม” ซึ่งทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นปราชัยอย่างหมดรูป โดยที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยก็ยังคงแสดงอาการ “องุ่นเปรี้ยว” ตั้งข้อสงสัยว่ารัฐบาลจีนมีศักยภาพทางการเงินมากพอที่จะทุ่มทุนครั้งนี้จนสำเร็จได้หรือไม่?
เมื่อจีนคอมมิวนิสต์ชำนาญเกมทุนนิยม
รัฐบาลและนักวิชาการญี่ปุ่นที่ตอกย้ำแต่เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถไฟความเร็วสูงของจีน อาจลืมนึกไปว่า รัฐบาลจีนมองว่าการสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมภูมิภาคเอเชียนั้นเป็นยุทธศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องธุรกิจเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจีนจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้โครงการนี้ และจะแพ้ไม่ได้โดยเฉพาะแพ้ญี่ปุ่น
สื่อมวลชนญี่ปุ่นเองก็ยอมรับว่า กลยุทธ์ที่จีนใช้การคือการ “ก็อบปี้” แนวทางที่ญี่ปุ่นเคยใช้บุกตลาดโลกในอดีต คือ การเสนอสินค้าราคาประหยัดด้วยคุณภาพที่ยอมรับได้ แบบเดียวกับที่รถยนต์โตโยต้า ฮอนด้า ของญี่ปุ่นขายได้มากกว่ารถยนต์ยุโรปที่มีความแข็งแรงและปลอดภัยมากกว่า
ความเสียเปรียบอีกอย่างหนึ่งของฝ่ายญี่ปุ่น คือ การทำงานแบบอนุรักษ์นิยม จึงต้องให้รัฐบาลอินโดนีเซียค้ำประกันเงินกู้ ขณะที่ฝ่ายจีน “คิดนอกกรอบ” โดยเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นเงินของรัฐบาลหรือเอกชนก็คือเงินเหมือนกัน รวมทั้งทรัพย์สินอื่นๆก็สามารถแปรเป็นเงินได้ เหมือนกับที่ฝ่ายจีนเคยยอมรับข้อเสนอ “ข้าวแลกรถไฟ” ในสมัยรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งใช้ที่ดินและเหมืองทองคำในประเทศลาวเพื่อค้ำประกันการสร้างรถไฟมาแล้ว
แน่นอนว่าข้อเสนอใหม่ของฝ่ายจีนจะต้องมีการลดต้นทุนการก่อสร้างลง ซึ่งจะทำให้ความเร็วของรถไฟวิ่งที่ประมาณ150-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แทนที่จะเป็น 300-350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการเดินทางระหว่างสองเมืองใหญ่ของอินโดนีเซียจากปัจจุบัน 3 ชั่วโมง ที่ลดเหลือเพียง 1ชั่วโมงเท่านั้น
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังประกาศว่าสามารถสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ให้เสด็จได้ภายใน 3 ปี คือ ปี 2018 เพื่อเป็นเกียรติ์เป็นศรีกับประธานาธิบดีวิโดโดที่ยังมีวาระการดำรงตำแหน่งอยู่
รัฐบาลญี่ปุ่นที่พยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีลูกพระอาทิตย์ด้วยวิถีการต่างๆ ทั้งในด้านการลงทุนการเงินและบทบาททางการทูต ต้องไม่ลืมว่าการแข่งขันกับจีนนั้น คือ การแข่งกับรัฐบาลที่รวมศูนย์ทั้งอำนาจ,เงินทุน และกำลังทหาร ขณะที่แดนอาทิตย์อุทัยนั้น ศักยภาพต่างๆได้กระจายไปอยู่ในมือเอกชนเกือบทั้งหมด ซึ่งหากญี่ปุ่นไม่สามารถรวมองคาพยพได้อย่างเข้มแข็งแล้ว ก็ไม่แตกต่างจากการเอา “ไม้ซีกไปงัดไม้ซุง”.