เอเอฟพี - การเปิดฉากโจมตีอย่างน่าประหลาดใจของกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์พม่าได้ปิดกั้นถนนสายสำคัญทางยุทธศาสตร์ 2 แห่งไปจีน ที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศ ทำให้การค้าข้ามพรมแดนหยุดชะงัก และกระทบรายได้ภาษีและการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของรัฐบาลทหาร
การต่อสู้ลุกลามทั่วรัฐชานตอนเหนือมาเป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์ ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นเกือบ 50,000 คน ตามการระบุของสหประชาชาติ และเป็นความท้าทายทางทหารครั้งร้ายแรงที่สุดต่อเหล่านายพลนับตั้งแต่พวกเขายึดอำนาจในปี 2564
การปิดกั้นเส้นทางคมนาคมสำคัญ กำลังส่งผลให้ราคาสินค้าในตลาดสูงขึ้น และขัดวางความสามารถของรัฐบาลทหารในการส่งกำลังเข้ารับมือกับการโจมตี
“เราไม่เห็นรถบรรทุกสินค้าเข้ามาตั้งแต่การสู้รบเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 27 ต.ค.” ชาวเมืองมูเซะ บริเวณชายแดนจีนกล่าวกับเอเอฟพี โดยขอไม่เปิดเผยชื่อด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และเสริมว่าพวกเขาได้ยินเสียงยิงปืนและเสียงปืนใหญ่จากตัวเมือง
โดยปกติแล้วจะมีรถบรรทุกหลายร้อยคันขับผ่านแดน นำผักและผลไม้เข้าไปในฝั่งจีน หรือนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยา และสินค้าอุปโภคบริโภคกลับเข้ามาในฝั่งพม่า
ในเมืองล่าเสี้ยว ที่ห่างออกไปราว 160 กิโลเมตร ชาวเมืองกล่าวว่า พวกเขารู้สึกถึงผลกระทบของการต่อสู้ครั้งนี้
“ก่อนเกิดการสู้รบ ข้าวหนึ่งกระสอบราคา 160,000 จ๊าต (76 ดอลลาร์) แต่ตอนนี้ราคาขึ้นไปที่ 190,000 จ๊าต ถ้าการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป เราคงอยู่อย่างยากลำบาก” ชาวเมืองล่าเสี้ยว กล่าวกับเอเอฟพี
การขนส่งสินค้าจากเมืองมูเซะหยุดชะงักลงนับตั้งแต่ทหารของกองทัพอาระกัน (AA) กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า (MNDAA) และกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) เปิดฉากโจมตีในวันที่ 27 ต.ค.
เมืองชินชเวห่อ ศูนย์กลางการค้าอีกหนึ่งแห่งบริเวณชายแดนติดกับมณฑลหยุนหนานของจีน ก็ปิดลงเช่นกัน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา MNDAA ได้โพสต์คลิปวิดีโอที่เผยให้เห็นนักสู้ของกลุ่มชูธงที่ประตูด่าน และในเวลาต่อมา รัฐบาลทหารได้ยอมรับว่าพวกเขาสูญเสียการควบคุมเมืองไปแล้ว
การค้าชายแดนที่เมืองชินชเวห่อ และเมืองมูเซะ มีมูลค่ามากกว่า 1 ใน 3 ของการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านระหว่างเดือน เม.ย. ถึงต้นเดือน พ.ย. ที่มีมูลค่าทั้งหมด 5,320 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์
นักวิเคราะห์ระบุว่า การค้ามูลค่าราว 1 พันล้านดอลลาร์ มาจากก๊าซธรรมชาติที่ส่งผ่านท่อไปจีนผ่านเมืองมูเซะ
การค้ามีแนวโน้มที่จะดำเนินการผ่านตลาดมืดมากขึ้น และไม่รวมอยู่ในตัวเลขอย่างเป็นทางการ
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุเมื่อวันศุกร์ (10) ว่าจีนเข้าใจว่าโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้รับผลกระทบจากการปะทะที่เกิดขึ้น
ริชาร์ด ฮอร์ซีย์ จาก International Crisis Group ระบุว่า การปิดเส้นทางการค้าทางบกสายหลักไปจีน ที่เป็นพันธมิตรหลักและผู้จัดหาอาวุธนั้น ถือเป็น ‘การเย้ยหยัน’ กองทัพ
นับตั้งแต่รัฐประหาร รัฐบาลทหารได้พยายามที่จะปรับทิศเศรษฐกิจออกห่างจากประเทศตะวันตก ที่บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรกับนายพลและธุรกิจของพวกเขา และกระชับความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศให้แน่นแฟ้นขึ้น
เมื่อต้นเดือน ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติพม่าได้ประกาศเปิดตัวระบบชำระเงินระหว่างธนาคารข้ามพรมแดน ที่จะเพิ่มการค้าและการลงทุนทวิภาคีกับจีน ตามการรายงานของสื่อทางการ
แต่ตอนนั้นการต่อสู้ได้ปะทุขึ้นตามแนวชายแดนแล้ว ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยใกล้กับชายแดนต้องหลบหนีเข้าไปในจีนและจำกัดการขนส่งในท้องถิ่น
การปิดพรมแดนที่ยาวนานขึ้นจะส่งผลเสียต่อดุลการค้าของพม่า บัญชีกระแสรายวัน และการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ฮอร์ซีย์ระบุ
รัฐบาลทหารที่ขาดแคลนเงินสดหมดหวังที่จะแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อชำระสินค้านำเข้าและอาวุธที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้ต่อสู้กับกลุ่มต่อต้านที่หยั่งรากไปทั่วประเทศ
การสูญเสียการควบคุมการข้ามแดน “จะส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อรายได้ แต่ไม่ถึงกับทำให้เสียหายทั้งหมด” ฮอร์ซีย์ กล่าว
แต่สิ่งสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ที่เร่งด่วนกว่านั้นคือการสูญเสียการควบคุมถนนที่กองทัพใช้ส่งกำลังทหาร นักวิเคราะห์กล่าว
“การส่งกำลังทหารเข้าไปในรัฐชานตอนเหนือกลายเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้น และขณะนี้กองทัพต้องอาศัยเฮลิคอปเตอร์เพื่อส่งกำลังเสริมเข้าไปในพื้นที่ชายแดน” เจสัน ทาวเวอร์ จากสถาบันสันติภาพสหรัฐฯ กล่าวกับเอเอฟพี
กองทัพจะพบว่าเป็นเรื่องยากลำบากที่จะกู้โครงสร้างพื้นฐานชายแดนที่สูญเสียไปในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมากลับคืนมา
“แม้ว่าจะสามารถโจมตีทางอากาศเพื่อยึดที่มั่นต่างๆ กลับคืนได้ แต่ก็อาจเสี่ยงที่จะทำให้จีนขุ่นเคือง จากการทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” ทาวเวอร์ระบุ.