เอเอฟพี - ผู้นำรัฐบาลทหารพม่าให้คำมั่นในวันนี้ (3) ว่าจะตอบโต้กลับหลังกลุ่มพันธมิตรของกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์เข้ายึดเมืองต่างๆ และปิดกั้นเส้นทางการค้าไปจีน ในการนัดบุกโจมตีกองทัพครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ทหารเข้ายึดอำนาจในการรัฐประหาร
การต่อสู้ดำเนินมาเป็นเวลา 1 สัปดาห์ทั่วพื้นที่รัฐชานทางตอนเหนือ ส่งผลให้ประชาชนมากกว่า 23,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนของตน ตามการระบุของสหประชาชาติ ในสิ่งที่นักวิเคราะห์ระบุว่าเป็นการท้าทายทางทหารครั้งรุนแรงที่สุดต่อรัฐบาลทหารนับตั้งแต่กองทัพยึดอำนาจในปี 2564
กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติพม่า (MNDAA) กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) และกองทัพอาระกัน (AA) ระบุเมื่อวันพฤหัสฯ (2) ว่าพวกเขาได้ยึดฐานที่มั่นของกองทัพได้หลายสิบแห่ง ยึดเมือง 4 แห่ง และปิดกั้นเส้นทางการค้าสำคัญไปจีน
“รัฐบาลจะเปิดฉากโจมตีตอบโต้กลุ่มติดอาวุธ” พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวปราศรัยต่อสมาชิกสภาบริหารแห่งรัฐ ตามที่หนังสือพิมพ์โกลบอล นิว ไลท์ ออฟ เมียนมาร์ รายงาน
เขายังกล่าวหาว่ากองทัพเอกราชกะฉิ่น (KIA) ในรัฐกะฉิ่นที่อยู่ใกล้เคียงว่า ‘โจมตีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคม และฐานทหาร’ และเตือนว่ากองทัพจะตอบโต้
เมื่อวันพุธ (1) โฆษกของรัฐบาลทหารกล่าวว่ากองทัพสูญเสียการควบคุมเมืองชินชเวห่อ ศูนย์กลางการค้าสำคัญที่มีชายแดนติดกับมณฑลหยุนหนานของจีน
ผู้อยู่อาศัยในเมืองแสนหวี จุดเชื่อมต่อการเดินทางสำคัญห่างจากเมืองชินชเวห่อราว 90 กิโลเมตร บอกกับเอเอฟพีว่าชาวบ้านต่างหวาดกลัวหลบอยู่ในบ้านของตนเองขณะการสู้รบปะทะกันอย่างดุเดือด
“มันโกลาหลวุ่นวาย ทั้งทหารและกลุ่มพันธมิตรยังไม่มีฝ่ายใดควบคุมเมืองนี้ มีการต่อสู้เกิดขึ้นทุกวัน ทั้งยิงปืนใหญ่และโจมตีทางอากาศ” ผู้อยู่อาศัยในเมืองแสนหวีกล่าวกับเอเอฟพีทางโทรศัพท์ โดยขอไม่เปิดเผยชื่อเพื่อความปลอดภัย
เขากล่าวว่าสะพานสำคัญแห่งหนึ่งพังถล่มลงมา ส่งผลให้เมืองแยกเป็นสองฝั่ง ประชาชนจากหมู่บ้านห่างไกลอพยพเข้ามาหาที่หลบภัยในเมืองหลังเกิดการปะทะกันในพื้นที่ชนบท
“ผู้คนหลายพันคนติดอยู่ในเมือง เรายังมีอาหารกินจากการแบ่งปันกัน” ชาวเมืองกล่าว และเสริมว่ามีพลเรือนเสียชีวิต 10 คน และได้รับบาดเจ็บ 10 คน
การสื่อสารกับพื้นที่ห่างไกลติดขัดและเข้าถึงไม่ได้ในขณะที่เกิดการสู้รบ ทำให้เอเอฟพีไม่สามารถยืนยันยอดผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้
“คนที่มีความรู้ด้านการแพทย์กำลังช่วยรักษาคนที่ได้รับบาดเจ็บ ผู้คนไม่กล้าไปที่โรงพยาบาลแม้จะได้ยินว่าเปิดทำการอยู่” ชาวเมือง กล่าว.