รอยเตอร์ - สมาชิกของกองกำลังท้องถิ่นที่ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าได้ถอนกำลังล่าถอยออกจากเมืองมินดัท ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ หลังถูกทหารพม่าโจมตียิงถล่มติดต่อกันหลายวัน ตามการเปิดเผยของสมาชิกกลุ่มวันนี้ (16)
สหรัฐฯ และอังกฤษ ได้เรียกร้องให้กองทัพหลีกเลี่ยงการทำให้พลเรือนได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย ขณะที่รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติที่ตั้งขึ้นโดยฝ่ายสนับสนุนอองซานซูจีเรียกร้องความช่วยเหลือจากนานาชาติ
การต่อสู้ที่เมืองมินดัท ในรัฐชิน ที่อยู่ห่างจากชายแดนอินเดียราว 100 กิโลเมตร ถือเป็นหนึ่งในการต่อสู้ที่หนักหน่วงที่สุดนับตั้งแต่การรัฐประหาร ที่ทำให้พม่าตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายจากการชุมนุมประท้วงรายวัน การหยุดงาน และการเกิดขึ้นของกองกำลังท้องถิ่นกลุ่มใหม่ๆ
“เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เราตัดสินใจถอนกำลังออกจากเมืองเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเมือง” สมาชิกคนหนึ่งของกองกำลังท้องถิ่น กล่าว และระบุว่า มีเพียงผู้หญิงและเด็กเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในเมือง ที่เวลานี้พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองถูกกองทัพยึดครอง
“เด็กชายและผู้ชายทุกคนมีส่วนร่วมในการต่อสู้นี้ และตอนนี้พวกเขาทั้งหมดอยู่ระหว่างการหลบหนี”
เว็บไซต์ RFA ที่ได้ทุนจากสหรัฐฯ รายงานอ้างคำกล่าวของสมาชิกกองกำลังท้องถิ่นระบุว่า ฝ่ายกองกำลังท้องถิ่นมีผู้เสียชีวิต 5 คน ขณะที่สถานีโทรทัศน์เมียวดีที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพรายงานวานนี้ (15) ว่า กองกำลังความมั่นคงบางส่วนถูกสังหาร และหลายคนสูญหาย หลังการโจมตีของคนที่ไม่คำนึงถึงศีลธรรม และระบุว่า กองกำลังความมั่นคงจะทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อย
การต่อสู้ดังกล่าวเป็นการเกิดขึ้นของกองกำลังป้องกันแห่งชินแลนด์ หนึ่งในกองกำลังท้องถิ่นที่ตั้งขึ้นใหม่หลายกลุ่มเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหาร ซึ่งสมาชิกของกองกำลังติดอาวุธท้องถิ่นนี้ยังกล่าวว่า พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังป้องกันของประชาชนของรัฐบาลเงา
“เราต้องการเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการทันทีเพื่อยุติความรุนแรงทั้งหมดของกองทัพ และปกป้องประชาชนชาวมินดัทที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้” รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ระบุในคำแถลง
ด้านสถานทูตสหรัฐฯ และอังกฤษ ในพม่าได้แสดงความวิตกต่อพลเรือนในเมืองมินดัท โดยระบุว่า การใช้อาวุธสงครามของทหารกับพลเรือน ที่รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ที่เมืองมินดัท เป็นการแสดงให้เห็นถึงการถลำลึกของรัฐบาลทหารต่อการยึดครองอำนาจ และเรียกร้องให้ทหารยุติความรุนแรงต่อพลเรือน หลักฐานของการกระทำที่โหดร้ายทารุณควรส่งถึงผู้สอบสวนของสหประชาชาติเพื่อดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด.