เอเอฟพี - ชาวพุทธจำนวนมากเข้าทำลายมัสยิดหลังหนึ่งในภาคกลางของพม่าทำให้ชาวมุสลิมต้องหาที่หลบภัยตลอดคืนในสถานีตำรวจ หลังความขัดแย้งระหว่างชุมชนเปลี่ยนเป็นความรุนแรงทางศาสนา ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่และคนในพื้นที่
สถานการณ์ความรุนแรงต่อต้านชาวมุสลิม ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากทั่วประเทศนับตั้งแต่ปี 2555 และบรรยากาศของความขัดแย้งดังกล่าวสร้างความท้าทายต่อรัฐบาลใหม่ของอองซานซูจี
เหตุความรุนแรงครั้งล่าสุดปะทุขึ้นในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี (23) เมื่อกลุ่มม็อบชาวพุทธประมาณ 200 คน ออกอาละวาดไปทั่วพื้นที่ของหมู่บ้านชาวมุสลิมในเมืองพะโค หลังเกิดเหตุโต้เถียงระหว่างเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการสร้างโรงเรียนศาสนาของชาวมุสลิม
"มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อชายชาวมุสลิมและหญิงชาวพุทธโต้เถียงกัน และจากนั้นผู้คนก็เข้าต่อสู้กับชายชาวมุสลิมคนดังกล่าว มัสยิดถูกทำลายไปหลายส่วน พวกเขายังพังรั้วสุสานชาวมุสลิมด้วย" หล่า ติน ผู้ดูแลหมู่บ้าน กล่าว
ชาวมุสลิมประมาณ 70 คน รวมทั้งเด็ก ต้องหลบภัยในสถานีตำรวจตลอดช่วงกลางคืนของวันพฤหัสฯ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บร้ายแรงและทุกอย่างกลับสู่ความสงบในเวลาต่อมา
เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ดูแลมัสยิดยืนยันความเสียหายที่เกิดขึ้น ขณะที่ชาวมุสลิมที่อยู่อาศัยในพื้นที่เผยว่าชุมชนของพวกเขาที่มีผู้อยู่อาศัยราว 150 คน ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว
"เราต้องซ่อนตัว เพราะมีบางคนขู่ว่าจะฆ่าชาวมุสลิม สถานการณ์ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน" ติน ฉ่วย อู อายุ 29 ปี กล่าว และว่าครอบครัวของเขาพักอยู่ในสถานีตำรวจเล็กๆ ตลอดคืน
"ผมไม่กล้าไปพักที่บ้าน เพื่อความปลอดภัยของครอบครัว คงต้องไปอยู่ที่อื่นสักสัปดาห์"
ความรุนแรงระหว่างชาติพันธุ์และศาสนาที่เลวร้ายที่สุด เกิดขึ้นในภาคกลางและรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของพม่า ที่เป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญาไร้สัญชาติ และหลายหมื่นคนยังคงอาศัยอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศหลังเกิดเหตุจลาจล
ชาวพุทธชาตินิยมในพม่าคัดค้านความเคลื่อนไหวที่จะยอมรับชาวโรฮิงญาว่าเป็นชนกลุ่มน้อยอย่างเป็นทางการของประเทศ โดยระบุว่าคนเหล่านี้เป็นชาวเบงกาลี ที่หมายถึงผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ.
.
.
.
.
.